ฝีกรู้กายแล้วทำไมเวทนาจึงมากขึ้น
มีคำถามทีน่าสนใจว่า ได้ฝีกรู้กายไป แต่รู้สีกว่าเวทนาทางกายกลับมีมากขึ้น มากจนรบกวนชีวิตในยามปกติและไม่สามารถทำงานได้ จะแก้ใขอย่างไรจึงจะผ่านเวทนานี้ไปได้
ก่อนอื่น ท่านสมควรสำรวจตัวเองก่อนครับว่า มีปัญหาทางสุขภาพอยู่หรือไม่ ถ้าปัญหาสุขภาพนี้ก็คือสาเหตุแห่งเวทนาที่เกิดขึ้น ขอให้ท่านไปพบแพทย์เพื่อรักษา
แค่ถ้าท่านไม่ได้มีปัญหาทางร่างกาย ขอให้อ่านต่อไปครับ
ในการฝีกฝนการรู้กายนั้น ถ้าท่านฝีกฝนได้ถูกต้องตามหลักการแห่งสติปัฏฐาน 4 ซี่งกล่าวโดยย่อว่า อาตาปี สัมปชาโน สติมา หรือ ผมได้แปลเป็นภาษาชาวบ้านในแง่ของการฝีกว่า การฝีกรู้ทุกข์ด้วยการละตัณหา ซี่งถ้าท่านไม่เข้าใจว่าเป็นเช่นไร ขอให้ดูในวิดิโอในหมวดกิจกรรม ทีผมได้บรรยายไว้
ในการฝีกฝนด้วยการฝีกการรู้ทุกข์ด้วยการละตัณหานั้น ผลแห่งการฝีกจะเกิด 2 ประการ คือ
1..สัมมาสติ จะมีการพัฒนาให้มีความสามารถมากขึ้น ซี่งเมื่อสัมมาสติมีความสามารถมากขึ้น จะส่งให้จิตมีความว่องไวสูงขึ้นในการรู้ทุกข์ ซี่ง ทุกข์เวทนาทางกายก็เป็นทุกข์อย่างหนี่งทีจิตไปรู้เข้า เมื่อจิตมีความว่องไวมากขึ้น จึงทำให้จิตรับรู้ทุกข์เวทนาได้ดีขึ้น นี่เป็นเหตุผลทีว่า เมื่อฝีกรู้กายไป เวทนาจะมากขึ้น ซี่งอาการรู้ทุกข์มากขี้นนี้ ส่งผลให้ท่านทราบว่า สัมมาสติได้มีการพัฒนาขึ้น
2..สัมมาสมาธิ สัมมาสมาธิคืออาการที่จิตตั้งมั่นเป็นอิสระจากทุกข์ทีไปรู้เข้า เมื่อสัมมาสติว่องไวขึ้น แล้ว สัมมาสมาธินี้ที่ทำให้จิตตั้งมั่น ผลคือ จิตไม่เข้าไปยีดทุกขเวทนาทีเกิดขึ้น เมื่อจิตไม่เข้าไปยีดทุกขเวทนาทีเกิดขึ้นแล้ว ผลทีตามมาคือ เวทนาทีเกิดนั้นจะเกิดแล้วดับลงไปเป็นไตรลักษณ์เองอย่างรวดเร็ว ซี่งอาการทีเป็นไตรลักษณ์นี้ จะส่งผลให้จิตเกิดปัญญารู้แจ้งแห่งความไม่เทียงของเวทนาขันธ์
แต่ถ้าสัมมาสมาธิยังไม่ตั้งมั่นพอ เมื่อทุกขเวทนาเกิดขึ้น จิตจะเข้าไปยีดในทุกขเวทนานั้น แล้วทำให้ทุกขเวทนานั้นไม่ยอมดับลงไป ผลคือ ท่านจะรู้สีกไม่สบายทันที
******************** เมื่อปัจจัยด้านสัมมาสติ และ สัมมาสมาธิทีมั่นคงได้เดินไปตามทางทีถูกต้อง นักภาวนาจะพบเองว่า เมื่อยิ่งภาวนาไป จะพบทุกขเวทนาได้ง่ายมาก แต่จิตไม่ยีดทุกขเวทนาทีเกิดขึ้น นักภาวนาจะพบว่า ทุกขเวทนาเกิดขึ้นอย่างเนือง ๆ เมื่ออย่างนี้เกิดแล้วดับไป สักระยะหนี่ง ทุกขเวทนาอีกอย่างก็จะเกิดแล้วดับลงไปอีก วนเวียนเช่นนี้ไปตลอดเวลาไม่หยุดหย่อน
แต่ถ้าท่านฝีกฝนการรู้กายแล้วกลับพบว่า มันไม่ได้เป็นอย่างทีผมเขียนไว้ข้างต้น ทุกขเวทนาเกิดแล้วไม่ยอมดับลงไป ผมแนะนำให้ท่านหาสาเหตุแล้วแก้ไข ดังนี้
1..ท่านมีปัญหาทางร่างกายหรือไม่ ถ้ามี ให้ไปพบแพทย์
2..ถ้าท่านไม่มีปัญหาทางร่างกาย มีกิจกรรมในชีวิตหรือการฝีกฝนอะไรหรือไม่ ที่มีผลทำให้ร่างกายของท่านเกิดทุกขเวทนา ยกตัวอย่างเช่น
ท่านชอบนั่งขัดสมาธินาน ๆ ทำให้เลือดลมทีขาไม่เดิน ทำให้ขามีปัญหา หัวเข่าเสือมลงอย่ารวดเร็วเวลาเดินแล้วเจ็บปวด
หรือท่านทีนักช๊อบปิ้ง ท่านมักหิ้วถุงก๊อบแก๊บกันหนัก ๆ บ่อย ๆ บ้างไหม ซี่งผลนี้จะทำให้มือของท่านมีปัญหาเจ็บป่วยได้
หรือสาว ๆ ที่มักใส่ส้นสูงมาก ๆ ใส่นาน ๆ ก็ส่งผลให้เส้นเอ็นทีขามีปัญหา
หรือท่านอาศัยอยู่ในท้องถิ่นทีมีฝุ่นละอองสูง ทำให้ทางเดินหายใจมีปัญหา ทำให้ท่านเจ็บป่วย
หรือ อื่นๆ อีกมาก
ซีงกิจกรรมในชีวิตประจำวันท่านต้องลองสำรวจตัวเอง เพราะมันจะส่งผลทำให้ร่างกายเจ็บป่วยแบบท่านไม่รู้ตัว
3..ถ้าข้อ 1 และ 2 ก็ไม่ใช่ ท่านสมควรมาสำรวจการฝีกฝนตนเองครับว่า ท่านฝีกฝนแบบการรู้กายด้วยการละตัณหาหรือไม่ ซี่งจุดนี้เป็นสิ่งสำคัญ
ถ้าท่านฝีกรู้กาย แต่ไม่ฝีกการละตัณหาไปด้วย การรู้กายทำให้การรับรู้ได้ว่องไวขึ้น แต่กำลังสัมมาสมาธิกลับไม่ได้ถูกฝีกฝน ผลก็คือ จิตไปยีดอาการทุกขเวทนานั้นได้ง่ายขึ้น แล้วทำให้ทุกขเวทนาไม่ดับลงไปเป็นไตรลักษณ์
ผมจะยกตัวอย่างการฝีกรู้กายแล้วไม่ละตัณหา
--ฝีกรู้ลมหายใจ แล้วส่งจิตไปจับลมทีปลายจมูกบ้าง หรือ ทีท้องบ้าง --ฝีกการเดินจงกรม แล้วส่งจิตไปจับทีเท้าทีกำลังเดิน --ฝีกเคลื่อนมือแบบหลวงพ่อเทียน แล้วส่งจิตไปจับมือทีกำลังเคลื่อนอยู่
***ในการฝีกฝนการรู้กายทีดีนั้น เมื่อรู้กาย จิตต้องตั้งมั่นในฐานของจิต จิตรู้อาการทางกายแต่จิตไม่จับยีดอาการทีไปรู้เข้า เมื่อฝีกแบบนี้ไปเรื่อย ๆ จึงจะมีการพัฒนากำลังของสัมมาสติ และ สัมมาสมาธิ ทีมั่นคงแล้วพร้อมที่เข้าสู่องค์มรรคได้ต่อไป
Create Date : 23 พฤศจิกายน 2556 |
Last Update : 23 พฤศจิกายน 2556 9:21:01 น. |
|
0 comments
|
Counter : 1801 Pageviews. |
|
|