1 2 3 4 5 6
7 8 9 10 11 12 13
14 15 16 17 18 19 20
21 22 23 24 25 26 27
28 29 30
พ้นทุกข์ด้วยสมาธิ ไม่ทุกข์ด้วยปัญญาญาณ
พุทธศาสนา เป็นศาสนาแห่งการปฏิบัติเพื่อการพ้นไปจากทุกข์ ในการพ้นทุกข์นั้น จะมีอยู่ด้วยกัน 2 ระดับ คือ 1..การพ้นทุกข์ด้วยสมาธิ ท่านเคยถูกใครจับกดน้ำไหม ท่านจมอยู่ในน้ำ หายใจไม่ได้ ท่านอีดอัดมาก จนแทบจะทนไม่ได้อยู่แล้ว จู่ ๆ คนทีจับท่านก็ยกท่านให้โผล่มาเหนือน้ำทันที วินาทีแรกทีท่านหายใจได้ ท่านจะรู้สีกถีงความไม่ทุกข์ทันที เพราะความทุกข์ทีมีอยู่ในวินาทีทีแล้ว ได้หายไปอย่างฉับพลัน การพ้นทุกข์ด้วยสมาธิ จะมีอาการคล้ายๆ แบบนี้ เมื่อจิตเป็นทุกข์ จิตถูกโมหะเข้าครอบงำก่อน แล้วกิเลสตัวอื่นก็จะเข้ามาผสมโรง คนทีเป็นทุกข์ จิตจะตกอยู่ภายใต้อำนาจของกิเลสจนดิ้นไม่หลุด อาการคล้ายๆ กับตอนถูกจับกดน้ำ ด้วยอำนาจของสัมมาสติ สัมมาสมาธิ จิตทีตกอยู่ภายใต้อำนาจของกิเลส สามารถสลัดกิเลสทีครอบงำจิตให้หลุดออกไปเป็นอิสระ เมื่อจิตหลุดออกจากการครอบงำ จิตจะพบกับอาการแห่งการไม่ทุกข์อย่างฉับพลัน เหมือนการได้หายใจทันทีหลังจากโดนจับกดน้ำมา นักภาวนาจะพบกับความแตกต่างอย่างสุดขั้วของ 2 สิ่งอย่างฉับพลัน คือ ทุกข์ และ การหลุดออกจากทุกข์ ความแตกต่างนี้ จะทำใ้ห้นักภาวนาเข้าใจอย่างเข้าไปในจิตใจว่า ทุกข์คืออย่างนี้ การหลุดออกจากทุกข์คืออย่างนี้ และเป็นเหตุแห่งการสร้างปัญญาให้เห็นโทษของกิเลส และ เห็นคุณของสมาธิ ยังมีการหลุดออกจากทุกข์อีกแบบหนี่ง คือ การหลุดออกทีไม่ฉับพลัน เช่น คนทีกำลังอกหัก เขาอกหักจะเป็นจะตาย ช่วงทีทุกข์หนัก จิตไม่หลุดออกจากทุกข์ แต่พอเวลาผ่านไปนานเข้า ทุกข์เพราะอกหักจะค่อยๆ คลายตัวออกอย่างช้า ๆ แล้วเขาก็จะลืมการอกหักไปชั่วคราว การหลุดจากทุกข์แบบนี้ ไม่ฉับพลัน ไม่ก่อให้เกิดปัญญา อีกไม่นาน คนทีอกหักและหายไปชั่วคราว ก็พร้อมจะกลับมอกหักใหม่อีกรอบ วนเวียนอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ไม่จบสิ้น ความแตกต่างระหว่างการพ้นทุกข์อย่างฉับพลันและไม่ฉับพลัน คือ ความชัดแจ้ง ทีต่างกัน ความชัดแจ้งทีชัดกว่าด้วยการหลุดอย่างฉับพลันจะซีมลีกเข้าไปในจิตใจ ทีสามารถเปลี่ยนนิสัยอะไรบางอย่างได้ แต่การหลุดแบบไม่ฉับพลันจะไม่เข้าไปในจิตใจ และไม่ก่อผลใด ๆ ในการเปลี่ยนแปลงนิสัย กลไกแห่งการหลุดพ้นจากทุกข์แบบฉับพลันนั้นจะเป็นว่า... เมื่อโมหะเข้าครองงำจิตได้แล้ว จิตจะตกเป็นทาสของโมหะ เพราะการหลงลืมตัว แต่ด้วยอำนาจแห่งสัมมาสติ จิตทีตกอยู่เป็นทาสของโมหะ จะสลัดตัวออกจากโมหะได้อย่างฉับพลัน แล้วกำลังของสัมมาสมาธิจะเดินต่อเนื่องจากสัมมาสติทีจบการทำงานลงไป ให้จิตนั้นตั้งมั่นเป็นอิสระจากโมหะต่อไปได้ แล้วกิเลสจะสลายไปเองเป็นไตรลักษณ์เพราะธรรมชาติของกิเลสจะเป็นเช่นนี้ทีจิตเป็นอิสะออกมาได้ นีคือกลไกการประหารกิเลสด้วยสัมมาสมาธิ การฝีกตามอริยมรรคมีองค์ 8 ทีถุกทางเท่านั้น กล่าวคือ การฝีกรู้ทุกข์ด้วยการละตัณหา ทำบ่อยๆ ฝีกมาก ๆ จิตจะไปสร้างกำลังจิตขึ้นอยู่ภายใน และ พร้อมจะนำมาใช้งานในรูปของสัมมาสติ สัมมาสมาธิได้ทันที เมื่อถูกกิเลสเข้าโจมตี 2..การไม่ทุกข์ด้วยปัญญาญาณ จิตทีผ่านการฝีกฝนมาดีพอควร จะมี ญาณ เกิดขึ้นอย่างหนี่งเรียกว่า ปัญญาญาณ ปัญญาญาณนี้จะทำให้ จิตเห็นจิต ได้เมื่อจิตเห็นจิตได้เมื่อไร จิตจะพบว่า สภาวะทีแท้ทีเป็นธรรมชาติของจิตคือความว่างเปล่า ตราบใดทีเกิดสภาวะ จิตเห็นจิต ได้อยู่ กิเลสใด ๆ จะเกิดไม่ได้เลย เมื่อกิเลสเกิดไม่ได้ ทุกข์เพราะกิเลสก็เกิดไม่ได้เช่นกัน ในอริยสัจจ์ 4 ข้อที 3 ทีพระพุทธองค์ได้ทรงสอนว่า นิโรธ คือ ความไม่ทุกข์ นั้นให้ทำให้แจ้ง (แปลว่า ให้เห็นขึ้นมาได้ ) ซี่งก็คือ สภาวะแห่ง จิตเห็นจิต หรือจะเรียกว่า ปัญญาญาณ ก็ได้ หรือ นิโรธ ก็ได้ มันคือสิ่งเดียวกัน ปัญญาญาณ เป็นผลจากการหลุดพ้นจากทุกข์ด้วยสมาธิก่อน จิตมีปัญญาจากการหลุดพ้นด้วยสมาธิ และ ค่อยๆ สะสมขึ้นมาจนมากเข้า พอถีงระดับหนี่งทีจิตมีปัญญามากพอ จิตมีกำลังปัญญามากพอ ก็จะเกิดปัญญาญาณขึ้นมา ปัญญาญาณนี้ก็มีหลายระดับขึ้นกับประสบการณ์ทีผ่านทุกข์มาได้ และ ขึ้นอยู่กับระดับของกำลังสัมมาสมาธิอีกด้วย สัมมาสมาธิทีตั้งมั่นอย่างมั่นคง และ ปัญญาทีผ่านทุกข์มามาก จะทำให้จิตมีประสบการณ์เต็มในปัญญาญาณ **************************** นี่คือ ขบวนการดับทุกข์ในพุทธศาสนา ทีสอดคล้องเป็นอย่างดีกับอริยสัจจ์ 4 ทีพระพุทธองค์ทรงสอนไว้ว่า ทุกข์ ให้รู้ สมุทัย คือ ตัณหา ให้ละเสีย นิโรธ คือ ความไม่ทุกข์ ทำให้แจ้ง มรรค คือ วิธีปฏิบัติ ทำให้มาก ๆ ทำให้บ่อยๆ กุญจแห่งการไม่ทุกข์ด้วยทีอริยสัจจ์ 4 นี่เอง พีงศีกษา ทำความเข้าใจในกระจ่างแจ้ง เมื่อกระจ่างแจ้งได้ในอริยสัจจ์ 4 จักเข้าใจในอริยสัจจ์ 4 แล้วเข้าใจกลไกแห่งความไม่ทุกข์ได้ในทีสุด
Create Date : 05 กันยายน 2557
Last Update : 5 กันยายน 2557 14:22:22 น.
0 comments
Counter : 3319 Pageviews.
Location :
[ดู Profile ทั้งหมด]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 142 คน [? ]
หลักปฏิบัติ ...รู้สึกตัว ผ่อนคลาย เฉย ๆ สบาย ๆ มากกว่า 20 ปีที่ไปหลงทำสมถภาวนาแบบสมาธิแบบฤาษีโดยที่ไม่รู้จักกับคำว่า อะไรคือสัมมาสติ สัมมาสมาธิ ผลที่ได้คือความสงบขณะกำลังนั่งสมาธิจนตัวนิ่งแข็งเป็นก้อนหิน แต่ผลข้างเคียงตามมาก็คือการเป็นคนเจ้าโทสะอย่างรุนแรงขณะเวลาไม่ได้นั่งสมาธิ และ ที่อยู่ในชีวิตประจำวัน.... จนได้พบกัลยณมิตรแดนไกล ที่ได้ชักนำให้มารู้จักวิธีปฏิบัติแบบหลวงพ่อเทียน จนได้พบกับพระอาจารย์ในสายหลวงพ่อเทียน ที่ผมได้เรียนการปฏิบัติจากท่าน จนเข้าใจว่า สัมมาสติ สัมมาสมาธิ คืออะไร แล้วลงมือฝึกฝน การปฏิบัติก็รุดหน้าและได้ลิ้มรสสิ่งบริสุทธิในจิตใจอันเป็นผลจากการปฏิบัติด้วยเวลาเพียง 5 ปี ธรรมปฏิบัติจากฆราวาสเขียนเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ยากในสังคมไทย ผมรู้ได้จากที่เขียนใน blog ผมได้พบกับการก่อกวนใน blog การเขียนเหน็บแนม กระแหนะกระแหน ตำหนิการการปฏิบัติที่ผมเขียนใน blog ว่าผิดทาง เขียนแบบคาดเดาเอา ไม่รู้จริง ให้ผมหยุดเขียนแนวนี้ได้แล้ว และไปโมทนาสาธุแนะนำการปฏิบัติสมาธิแบบฤาษีให้กับผมอีกว่านี่คือทางที่ถูกต้อง ... บทความใน blog จึงเกิดขึ้นมา เพื่อแบ่งปันประสบการณ์ในการภาวนา แก่ผู้อื่นที่กำลังเดินทางในสายแห่งอริยมรรคนี้ เมื่อท่านได้เข้ามาอ่านข้อเขียนใน blog กรุณาอย่าได้เชื่อผมจนกว่า ท่านได้ทดลองปฏิบัติแล้วและพิสูจน์ด้วยตัวท่านเอง **กรุณา .อย่า.ได้บริจาคเงินให้ blog ผมทาง e-wallet ครับ ** ****** บทความต่าง ๆ ใน blog นี้ ขอสงวนสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 ห้ามนำไปดัดแปลง ลอกเลียน หรือนำส่วนหนึ่งส่วนใดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ****