รู้สึกตัว ผ่อนคลาย เฉย ๆ สบาย ๆ **กรุณา .อย่า.ได้บริจาคเงินให้ blog ผม ทาง e-wallet ครับ** **ผมขอสงวนสิทธิการเป็นเจ้าบ้านของ blog ลบข้อเขียนใดๆ ก็ได้ใน blog นี้ตามที่ผมเห็นสมควร**
Group Blog
 
<<
พฤศจิกายน 2565
 
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
27282930 
 
19 พฤศจิกายน 2565
 
All Blogs
 
ถ้าได้ฟังหรือได้อ่านคำสอนขอบครูบาอาจารย์หลายๆ ท่าน จะพบว่า พวกท่านเหล่านั้น ยกสติว่าสำคัญที่สุด

11...ถ้าท่านนักภาวนาได้ไปอ่านหรือฟังคำสอนของครูบาอาจารย์หลาย ๆ ท่าน จะพบว่า
พวกท่านเหล่านั้น ยก *สติ* ให้เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด  บทความนี้ จะได้ชี้ให้ท่านดูว่า 
ทำไม สติ จึงเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด
.
22..ในการกระทำสิ่งใด  การเริ่มต้นทุกครั้ง จะต้องมาจากการมี สติ ก่อนเสมอทุกอย่างไป
สติ เหมือนเป็นการเตือนว่า จะต้องทำในสิ่งที่ทำแล้วนะ  ขอยกตัวอย่าง เพื่อให้ท่านเห็นภาพ
จะได้เกิดความเข้าใจ  ซี่งตัวอย่าง จะเริ่มจาก สติในทางโลกก่อน แล้ว จะชี้ให้เห็น สติในทางธรรมต่อไป

ตัวอย่างเรื่องสติทางโลก
AA...สมมุติว่า ท่านเป็นนักเรียน วันนี้ ท่านต้องไปเรียน รด.  ถ้าท่านมีสติ ท่านจะระลึกได้ว่า
วันนี้ ต้องแต่ตัวอย่างไร เพื่อไปเรียน รด.  ถ้าท่านขาด สติ ท่านก็อาจแต่งตัวเหมือนเดิม คือ ชุดนักเรียน ออกจากบ้านไป  นี่แหละ ท่านทำพลาดแล้ว
.
BB...สมมุติว่า ท่านเป็น ทันตแพทย์  ท่านกำลังจะถอนฟันคนไข้  
ถ้าท่านลืมฉีดยาชาให้คนไข้ก่อน  รับรองว่า พอท่านลงมือเอาคีมมาดึงฟันคนไข้ละก็
คนไข้จะร้องลั่นห้องที่เดียว
.
จากตัวอย่างข้างต้น  2 ตัวอย่าง ท่านจะเห็นว่า ขบวนการทุกอย่าง การเริ่มต้นนั้น
จะมาจาก สติ เสมอ  ถ้าการเริ่มต้นไม่มี สติ กำกับ ขบวนการหลังจากนั้น ก็จะเกิดการผิดพลาดขึ้นมาได้ เช่น  การไม่แต่งชุด รด. ไปเรียน รด.. หรือ การไม่ฉีดยาชา ให้กับคนไข้ตอนถอนฟัน
.
พอผ่านขบวนการของสติ แล้ว ลำดับต่อมา คือ ขบวนการของปัญญา 
พอท่านมีสติ ท่านแต่งชุด รด ไปยังสถานที่เรียน ท่านต้องรู้ว่า ท่านต้องไปที่ไหน เพื่อไปเริ่มต้นเรียน รด. ท่านต้องรู้ว่า ท่านต้องนั่งรถเมล์สายอะไรไป และต้องรุ้ว่า ต้องลงรถเมล์ที่ไหน ต่อจากนั้น ท่านก็จะพบว่า จะมีขบวนการอะไรตามมาอีก เช่น ท่านต้องรู้ว่า ท่านต้องไปที่ไหน เพื่อเช็คชื่อเข้าเรียน
ถ้าท่านรู้ว่า การไปเรียน รด มีขบวนการอย่างไร เริ่มจาก การแต่งกาย การเดินทาง การไปถึงสถานที่แล้ว ต้องทำอะไบ้าง นั่นคือ ท่านมีสติเริ่มต้นได้ถูก และท่านมีปัญญา เพื่อจะดำเนินเรื่องต่อไปได้ถูกต้อง
.
ในเรื่องของทันตแพทย์ก็เช่นกัน  ท่านมีสติ รู้ว่า ท่านต้องฉีดยาชาให้คนไข้ก่อน
ลำดับต่อไป อันเป็นขบวนการของปัญญา ท่านต้องรู้ว่า การฉีดยาชา ต้องทำอะไร
ใช้อะไรเป็นเครื่องมือ ยาชานำมาได้จากที่ไหน และ การฉีดยาชา ทำอย่างไร  ฉีดปริมาณเท่าใด
และ หลังฉีดยาชาแล้ว ท่านต้องรออีกกี่นาที จึงจะเริ่มถอนฟันได้
.
33...ต่อไปเป็นตัวอย่างของสติทางธรรม

****สติ ทางธรรม นั้นจะมีลักษณะ คือ ตัวจิตตัวรู้ ต้องไม่ถูกโมหะครอบงำอยู่  ตรงนี้เป็นหัวใจของการมีสติทางธรรม***
.
ถ้าเมื่อใด ที่จิตตัวรู้ ถูกโมหะครอบงำอยู่ ท่านจะไม่รู้การทำงานของระบบประสาทเลย
เช่น นั่่งอยู่ ก้นสัมผัสที่นั่ง ก็ไม่รู้ได้ // ลมจากพัดลมพัดมาโดนตัว ก็ไม่รู้ว่ามีลมจากพัดลมพัดมาโดนตัว // ตา มองเห็นสิ่งของ ท่านก็ไม่รู้ว่า ตา นี้กำลังทำงานในการมองอยู่ แต่ท่านจะเห็นแต่สิ่งของที่มอง ไม่เห็นการทำงานของตา  // หู ที่ได้ยินเสียง ท่านก็ไม่รู้ว่า หู นี้กำลังทำงานอยู่  ท่านจะรู้แต่เสียงที่ได้ยิน 
.
ท่านจะเห็นว่า เพียงมี สติทางธรรม อยู่ จิตตัวรู้ ก็ไม่ถูกโมหะครอบงำได้แล้ว
แต่ว่า การให้มีสติทางธรรม ดำเนินต่อเนื่องได้ต่อไปยาวนานขึ้น
เพื่อทำให้ สติทางธรรม ไม่หายไป
ขบวนการนี้ จะมีชื่อเรียกว่า   *สมาธิ*  
.
นักภาวนาไทยส่วนใหญ่  จะเข้าใจว่า การปฏิบัติธรรม คือ การทำสมาธิ โดยไม่สนใจ
จุดเริ่มต้น คือ การมี สติ นำก่อน เรื่องนี้ เป็นจุดพลาดที่ยิ่งใหญ่ของนักภาวนา ที่คาดหวังถึงมรรคผลเพื่อความไม่ทุกข์


การฝีกสมาธิแบบพุทธ นั้น ท่านจำเป็นต้องเริ่มจาก การมี สติ ก่อน เพื่อให้ จิตตัวรู้ ไม่ถูกโมหะครอบงำก่อน
หลังจากนั้น ท่านก็ฝีกฝนตามเทคนิคของคนสอนท่านว่า ท่านควรทำอย่างไร เพื่อให้ สติ นี้ดำเนิน
อย่างต่อเนื่องต่อไปได้  ถ้าสติต่อเนื่องได้จริง นั้นแหละ คือการ มีสมาธิ ได้เกิดขึ้น อันเป็น ลำดับต่อไปของการมี สติ นำก่อน
.
ถ้าท่านไม่รู้หลักการภาวนาที่ว่า สติ นั้นต้องนำก่อน เพื่อให้จิตตัวรู้ ไม่ถูกโมหะครอบงำก่อน
หลังจากนั้น ท่านก็มาฝีก สมาธิ ต่อ โดยดูว่า สตินั้น ยังเกิดอยู่ต่อไปอยู่หรือไม่
การไม่รู้ ไม่เข้าใจ หลักการของ สติ นำสมาธิ นี้ พอท่านลงมือฝีก ท่านก็จะเป็นการฝีกสมาธิฤาษีไป
ซี่ง สมาธิฤาษี นี้ พระพุทธองค์สมัยยังไม่ตรัสรู้ พระองค์ก็ทรงรู้มาก่อนว่า สมาธิฤาษี ไม่ใช่ทางแห่งมรรค
.
พอท่านนักภาวนา มี สติ นำ แล้วไปฝีกสมาธิต่อไป ถ้าได้ผลดี สติ จะเกิดได้ต่อเนื่องยาวนานขึ้น
อาการที่ สติ ต่อเนื่องยาวนานขึ้น ก็จะมี ชื่อเรียกว่า อุปจาระสมาธิ  
.
การมี  สติ นำ แล้ว มีสมาธิ ระดับ อุปจาระสมาธิได้ ผลก็คือ นักภาวนา จะเริ่มรู้จัก หรือ เห็นกลไกการทำงานของทุกข์ได้ การเห็นกลไกของทุกข์ได้นี้ ทางพุทธศาสนา จะเรียกว่า เริ่มเกิดปัญญาขึ้นมาได้บ้างแล้ว  

การที่ เห็นกลไกของทุกข์ได้นี้อยู่บ่อยๆ   จะทำให้ สติ และ สมาธิแบบพุทธ กล้าแข็งขึ้น
เรื่องนี้ เป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะนักภาวนาไทยส่วนใหญ่ จะเข้าใจว่า การมีสมาธิที่กล้าแข็ง
คือการได้ฝีกโดยการนั่งสมาธินาน ๆ หลาย ๆ ชั่วโมงติดต่อกัน
.
ผลจากที่ได้เห็นกลไกของทุกข์ได้อยู่บ่อย ๆ ก็คือ สมาธิ จะเพิ่มระดับจาก อุปจาระสมาธิ เป็น อัปปนาสมาธิ ( สมาธิระดับฌาน ) และ สติ ก็มีการพัฒนาให้เติบใหญ่ โดยมีการรู้ได้ที่รวดเร็วเพิ่มขึ้น
.
การมี สติ นำ แล้ว มีสมาธิพุทธ ระดับ ฌาน ได้ของนักภาวนา เมื่อได้ผ่านการพบเห็นกลไกของทุกข์
ได้มากขึ้นอีก และ เห็นได้อยู่เนืองๆ  ผลก็คือ นักภาวนาจะเกิด ญาณ ขึ้นมาได้
นักภาวนา ที่มี ประสบการในทาง ญาณ อย่างโชกโชนมากพอ จะเห็นกลไกของทุกข์
และ กลไกของการไม่มีทุกข์ ได้ดีขึ้น 


44...ตนเป็นที่พี่งแห่งตน
ท่านนักภาวนาที่เป็นนักอ่าน นักฟัง ท่านจะพบว่า ทำไม การภาวนาในระดับสูง เพื่อเข้าสู่
การหลุดพ้นจากกองทุกข์นั้น จึงไม่มีการสอนกันเลย  แม้แต่สมัยพุทธกาล ก็มีเพียงเขียนไว้ว่า
นั่นป่า นั่นเรือนว่าง แล้วให้ภิกษุ ไปภาวนากันเอง
.
แล้วการหลุดพ้นจากกองทุกข์จะเกิดได้อย่างไรกัน เมื่อไม่มีการสอน....
.
เมื่อท่านนักภาวนา เริ่มต้นจาก การมีสติ นำ แล้วฝีกสมาธิ เพื่อให้มีสติเกิดต่อได้ยาวนานขึ้น ซี่งมีชื่อเรียกว่า สมาธิ จนได้สมาธิระดับอัปปนาสมาธิเกิดขึ้น ( สมาธิระดับฌาน )
หลังจากนั้น นักภาวนาจะพบทุกข์และไม่ทุกข์ได้มากขึ้น จนเกิด ญาณ ขึ้นมาเองได้

**หมายเหตุ  เรื่อง การเกิดขึ้นของ ญาณ มันเหมือน ขนตา ที่ตามองไม่เห็น แต่อยู่ชิดกับตามาก
ถ้า ญาณ ยังไม่เกิด ให้รอเวลา จนกว่า ญาณ จะเกิดขึ้นมาได้เอง ***
.
เมื่อนักภาวนา มีประสบการในทาง ญาณ มากพอ นักภาวนาจะรู้จักสภาวะธรรมด้วยตนเองว่า สภาวะธรรมแบบนี้ คือ ทุกข์ 
สภาวะธรรมแบบนี้ คือ ไม่ทุกข์ 
แล้วท่าน นักภาวนาที่เห็นสภาวะธรรมของ ทุกข์ และ ไม่ทุกข์ หลายๆ ครั้ง
ก็จะจับทางได้ว่า ทุกข์เกิดได้อย่างไร และ การไม่ทุกข์ เกิดได้อย่างไร

***หมายเหตุ ตรงนี้ จะขึ้นกับตัวนักภาวนาเอง ถ้านักภาวนาที่มีปัญญา
การรู้จัก ทุกข์ / ไม่ทุกข์ ได้ ไม่กี่ครั้ง ก็อาจจับทางได้  แบบนี้ เป็นการได้ผลเร็ว
ในขณะที่นักภาวนาบางคน อาจต้องใช้เวลายาวนาน นับปี กว่าจะจับทางได้ ****
.
ถ้านักภาวนาจับทางได้ ต่อไป ท่านนักภาวนา ก็ต้องหาทางอีกว่า 
เมื่อทุกข์เกิดขึ้นแล้ว ทำอย่างไร จึงจะไม่ทุกข์  ซี่ง การจะทำอย่างนี้ได้
นักภาวนา ก็จะต้องเริ่มต้นจากการมี สติ นำก่อน เหมือน ทันตแพทย์
ต้องรู้ว่า จะถอนฟัน ต้องฉีดยาชา ก่อน แล้วก็ลงมือฉีดยาชา
ในเรื่องของทุกข์  พอทุกข์เกิด นักภาวนา ก็ต้องมี สติ รู้ว่า ทุกข์เกิดขึ้นแล้ว
ต้องมี สมาธิ เพื่อให้สตินั้น ยังคงดำเนินอยู่ต่อไปได้ และ มีปัญญาต่อไปว่า
ต้องทำอย่างนี้ ซิ แล้วทุกข์ ก็จะดับลงไป หรือ ทำอย่างนี้ซิ แล้วทุกข์จะไม่เกิดขึ้น

ซึ่ง " ทำอย่างนี้ซิ "  เป็นสิ่งที่นักภาวนาต้องหาทางเอง และ พบได้เอง 
เป็นสิ่งที่สอนกันไม่ได้ แม้แต่พระพุทธองค์ก็สอนให้ไม่ได้
ในการพบ ทำอย่างนี้ซิ จะออกมาหลายอย่างอีกเช่นกัน ไม่มีสูตรสำเร็จ
นักภาวนา ต้องนำมาทดลองใช้เองด้วยตนเองว่า ทำอย่างนี้ซิ แบบนี ้ผลจะดีไหม
อาจดีบางอย่าง แต่ไม่ดีสำหรับบางอย่าง ก็ต้องหาต่อไป จนพบ ทำแบบนี้ซิ หลาย ๆ อย่าง
เพื่อใช้กับสถานการณ์แบบต่างๆ  ของชีวิต
ขอยกตัวอย่าง 
สมมุติว่า ท่านนั่งหรือนอนทำสมาธิ ท่านทำอย่างนี้ซิ ท่านพบว่าใช้ได้ดี
แต่ท่านจะ ทำอย่างนี้ซิ มาใช้ ตอนที่ท่านกำลังวิ่งออกกำลัง
ท่านจะพบว่า ทำอย่างนี้ซิ ตอนนั่งสมาธิไม่เหมาะกับการนำมาใช้ตอนออกกำลังกาย
หรือ ถ้าท่านนักภาวนากำลังทำงาน ใช้สมองคิดงาน ตาอ่านคอมพิวเตอร์
ท่านจะพบว่า ทำอย่างนี้ซิ ของการนั่งสมาธิหรือตอนวิ่ง ก็ไม่เหมาะกับตอนที่ทำงาน
ด้วยการใช้สมองคิดงาน
ถ้าท่านคาดหวังถึงการไม่ทุกข์ในทุกกิจกรรมของตนเอง
ท่านต้องใช้เวลาหา ทำอย่างนี้ซิ ออกมาหลาย ๆ แบบ เพื่อให้เหมาะกับ
แต่ละกิจกรรม.
แต่ถ้าจะเอาเพียงว่า ทำอย่างนี้ซิ ในแค่การนั่งสมาธิหรือนอนสมาธิเพื่อเตรียมตัวก่อนตายละก็
แบบนี้ไม่ยากสักเท่าใด ก็จะพบได้ ขอเพียงท่านมี สติ สมาธิ และ ญาณ และทำเป็นเท่านั้น
.
ผู้เขียนหวังว่า บทความนี้จะช่วยจุดประกายให้ท่านนักภาวนา เห็นความสำคัญของการฝีกฝน
ที่มี สติ เป็นตัวนำ เพื่อเดินทางในแนวพุทธ เข้าสู่องค์มรรค พบความไม่ทุกข์ในชีวิตได้ต่อไป
........................

 


Create Date : 19 พฤศจิกายน 2565
Last Update : 19 พฤศจิกายน 2565 9:29:58 น. 0 comments
Counter : 514 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะ VIP Friend
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

นมสิการ
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 142 คน [?]




หลักปฏิบัติ ...รู้สึกตัว ผ่อนคลาย เฉย ๆ สบาย ๆ

มากกว่า 20 ปีที่ไปหลงทำสมถภาวนาแบบสมาธิแบบฤาษีโดยที่ไม่รู้จักกับคำว่า อะไรคือสัมมาสติ สัมมาสมาธิ ผลที่ได้คือความสงบขณะกำลังนั่งสมาธิจนตัวนิ่งแข็งเป็นก้อนหิน แต่ผลข้างเคียงตามมาก็คือการเป็นคนเจ้าโทสะอย่างรุนแรงขณะเวลาไม่ได้นั่งสมาธิ และ ที่อยู่ในชีวิตประจำวัน....

จนได้พบกัลยณมิตรแดนไกล ที่ได้ชักนำให้มารู้จักวิธีปฏิบัติแบบหลวงพ่อเทียน จนได้พบกับพระอาจารย์ในสายหลวงพ่อเทียน ที่ผมได้เรียนการปฏิบัติจากท่าน จนเข้าใจว่า สัมมาสติ สัมมาสมาธิ คืออะไร แล้วลงมือฝึกฝน การปฏิบัติก็รุดหน้าและได้ลิ้มรสสิ่งบริสุทธิในจิตใจอันเป็นผลจากการปฏิบัติด้วยเวลาเพียง 5 ปี

ธรรมปฏิบัติจากฆราวาสเขียนเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ยากในสังคมไทย ผมรู้ได้จากที่เขียนใน blog ผมได้พบกับการก่อกวนใน blog การเขียนเหน็บแนม กระแหนะกระแหน ตำหนิการการปฏิบัติที่ผมเขียนใน blog ว่าผิดทาง เขียนแบบคาดเดาเอา ไม่รู้จริง ให้ผมหยุดเขียนแนวนี้ได้แล้ว และไปโมทนาสาธุแนะนำการปฏิบัติสมาธิแบบฤาษีให้กับผมอีกว่านี่คือทางที่ถูกต้อง ...

บทความใน blog จึงเกิดขึ้นมา เพื่อแบ่งปันประสบการณ์ในการภาวนา
แก่ผู้อื่นที่กำลังเดินทางในสายแห่งอริยมรรคนี้

เมื่อท่านได้เข้ามาอ่านข้อเขียนใน blog กรุณาอย่าได้เชื่อผมจนกว่า ท่านได้ทดลองปฏิบัติแล้วและพิสูจน์ด้วยตัวท่านเอง

**กรุณา .อย่า.ได้บริจาคเงินให้ blog ผมทาง e-wallet ครับ **

******
บทความต่าง ๆ ใน blog นี้
ขอสงวนสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537
ห้ามนำไปดัดแปลง ลอกเลียน หรือนำส่วนหนึ่งส่วนใดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต

****
New Comments
Friends' blogs
[Add นมสิการ's blog to your web]
Links
 
MY VIP Friend


 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.