คำอธิบายการฝีกฝนด้วยการดูทีวี วิธีฝีก การดูว่าฝีกแล้วคืออย่างไรที่ได้ผล
ผมได้อธิบายเรื่องการฝีกฝนด้วยการดูทีวีในกิจกรรมธรรมบรรยายมาได้ 3 ปี แต่ก็ยังมีคนทีไม่เข้าใจในการปฏิบัติ ขอให้อ่านเรื่องในนี้ และ ดูภาพประกอบทีมีอยู่ภายในเรื่อง . ภาพทีอยู่ในเรื่องนี้มี 5 ภาพ เป็นเรื่องการฝึกดูทีวี และ การนำเรื่องการมองภาพมีระยะห่างมาใช้ในชีวิตประจำวัน . ท่านทีสนใจการฝีกแบบนี้ แนะนำให้อ่านไปทีละหน้าด้วยความพินิจพิเคราะห์ อ่านให้เข้าใจ แล้วทดลองทำดู .อย่าลืมว่า การฝีกดูทีวีนี้ ไม่ใช่เป็นการทำจิตให้นิ่งแต่เป็นการฝีกจิตให้มีความสามารถมากขึ้นในการรู้กิเลส และ การเผลอ หรือทางภาษาพระเรียกว่า การมีสติสัมปชัญญะเมื่อมีสติสัมปชัญญะมากขึ้น จะสามารถรู้เห็นความเป็นไตรลักษณ์ชองกิเลสได้ เมื่อรุ้เห็นไตรลักษณ์ของกิเลสมากขึ้นไปเรื่อย ๆ จิตจะเข้าใจสภาวะธรรมของกิเลสว่า มันหลอกลวง มันไม่มีตัวตน มันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของ ๆ เรา แล้วจะเกิดการปล่อยวางไปตามลำดับ จนหลุดพ้นไปจากกองทุกข์ได้ในทีสุด . . สิ่งทีคนฝีกฝนเข้าใจคาดเคลื่อนแล้วทำให้ฝีกไม่ได้ผล มักจะมีอย่างนี้ว่า . ......เข้าใจผิดว่า การฝีกต้องการให้จิตนิ่ง ต้องการรู้ตัวตลอดว่าจิตนิ่ง แล้วไปทำอะไรเพื่อให้จิตนิ่งขณะดูทีวี ความเข้าใจผิดนี้ ค่อนข้างร้ายแรง จนส่งผลให้ฝีกผิดพลาด แล้วไม่ได้ผล . การฝึกฝนนั้น เราไม่ต้องการจิตนิ่งนะครับ เราต้องการฝีกจิตให้ 1..รู้ทัน การเผลอไป 2..รู้ทันการไหวตัวของจิต . คนทีฝีกดูทีวีใหม่ๆ จะพบตัวเองว่า การเผลอนั้นเกิดง่ายมาก ดูทีวีไมีถึง 5 นาที ก็เผลอไปแล้ว กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็นานหลายนาทีว่า เผลอไป ทีเป็นอย่างนี้ เพราะกำลัง สติสัมปชัญญะ อ่อนแอมาก . ในการฝีกฝน เผลอไม่เป็นไร ยอมให้เผลอนะครับ พอเผลอแล้ว เมื่อรู้ตัวว่าเผลอ ก็กลับมาฝีกใหม่ กล่าวคือ เผลอแล้วให้กลับมาฝีกใหม่ ให้ทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆ อย่าอารมณ์เสียเด็ดขาดว่า ทำไมเผลอบ่อยมาก ยิ่งอารมณ์เสีย ยิ่งฝีกไม่ได้ผล เมื่อเผลอไป ให้ใจเฉยๆ แล้วก็ฝีกใหม่ แค่นี้เอง ให้ทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆ พอฝีกไปมาก ๆ เข้าหลาย ๆ เดือน อาจถึง 6 เดือนขึ้นไป การเผลอยังมีแน่นอน แต่เมื่อเผลอแล้ว จะกลับมารู้ตัวว่าเผลอนี่ซิ มีการพัฒนาตัวเองให้หดเวลาสั้นลงไป เรื่อยๆ นีคือ ผลของการฝีกฝนทีมาตรงทาง เวลาทีหดสั้นไปเรื่อยๆ นี่ ถ้ายิ่งฝีกฝนไปเรื่อยๆ ก็จะแทบว่า จะหดสั้นน้อยกว่า วินาที เสียอีก แต่นี่คือ การฝีกฝนทีต้องใช้เวลา อาจถึง 1 ปี 2 ปี จึงจะได้ เมื่อเผลอแล้วรู้ว่าเผลอไป หดเวลาสั้นลงไปมาก ๆ แสดงว่า จิตมีกำลังสติสัมปชัญญะดีขึ้นมาก เมื่อจิตมีสติสัมปชัญญะดีขึ้น เวลาจิตมีอารมณ์ปรุงแต่ง จะเห็นทันอารมณ์นั้นได้ แล้วอารมณ์นั้นจะสลายตัวไปเป็นไตรลักษณ์ ให้เห็นได้จะ จะ กันเลย เราต้องการแบบนี้ คือ เผลอหดเวลาสั้นลง แล้วจิตมีพลังสติสัมปชัญญะ เพื่อไปเห็นทันอารมณ์ปรุงแต่งเป็นไตรลักษณ์ได้ นี่คือ หลักการและเหตุผลของการฝีกดูทีวี . การรู้ทันอารมณ์ปรุงแต่งเป็นไตรลักษณ์นี้ ถ้าเห็นได้บ่อยๆ เห็นมาก ๆ จิตจะเกิดปัญญาตามมา ซึ่งตรงนี้ ก็จะยังมีกับดักอีก กล่าวคือ นักภาวนามักเชื่อว่า ภาวนาแล้วกิเลสจะลดลงไป เพราะได้ยิน ได้อ่านแบบนี้มามากในอินเตอร์เนท ทำให้นักภาวนา พอกิเลสโผล่มา แล้วเห็นไตรลักษณ์ได้ กลับไม่ชอบใจ เพราะมักคิดว่า ภาวนาผิดทาง ทำไมกิเลสมันมากจัง ก็หันไปทำจิตนิ่งอีก นี่เพราะไม่เข้าใจจึงทำให้ภาวนาไม่ได้ผล . ยิ่งภาวนาไป นักภาวนาจะยิ่งเห็นกิเลสในตัวเองได้มากขึ้น นีคือความจริง ซึ่งจะขัดแย้งกับคำสอนทีได้ยินได้ฟังทั่ว ๆ ไปในอินเตอร์เนท อาจารย์โกวิท เขมานันทะ ท่านได้พูดประโยคหนี่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า ...ยิ่งกว่ารังโจร...ซึ่งนี่คือความจริงครับ . นักภาวนาเห็นกิเลสมากขึ้นได้ แต่ด้วยจิตทีมีสติสัมปชัญญะ มากขึ้น จะเห็นกิเลสเหล่านั้น เกิด ดับ เป็นไตรลักษณ์ได้ ยิ่งกิเลสเกิดมาให้เห็นมากครั้งเป็นไตรลักษณ์ นี่ยิ่งสร้างปัญญาให้แก่จิตให้มากขึ้น . พอปัญญาของจิตแก่กล้ามากพอ เพราะเห็นไตรลักษณ์ของกิเลสมาก ๆ จิตจะเกิดการปล่อยวาง ไม่ยึดมั่นถือมั่น ต่อเมื่อจิตเกิดการปล่อยวางได้อย่างแท้จริง จะพบว่า กิเลสต่างๆ นั้นได้หายหัวไปหมดสิ้นในตอนนั้น . จะเห็นว่า ขบวนการปล่อยวางนี่เอง ได้กล่าวไว้ในพระไตรปิฏก เถรวาทอยุ่หลายแห่งด้วยกัน และ ขบวนการนั้น เกิดเพราะการเห็นทันกิเลสแล้วกิเลสเป็นไตรลักษณ์ ดังนั้น เมื่อยิ่งภาวนาไป ยิ่งเห็นกิเลสได้มาก ๆ แสดงว่า กำลังมาถูกทางแล้ว จิตกำลังสะสมปัญญาไว้เพื่อการปล่อยว่างในอนาคตต่อไป . ขอให้เข้าใจให้ตรง แล้วจะหลุดพ้นไปจากกองทุกข์ได้อย่างแน่นอน . พระไตรปิกฏก็กล่าวไว้ว่า ต้องเห็นไตรลักษณ์ได้ จะเป็นวิปัสสนา
Create Date : 14 ธันวาคม 2560 |
Last Update : 14 ธันวาคม 2560 8:36:25 น. |
|
4 comments
|
Counter : 3523 Pageviews. |
|
|
.
ไม่ได้มาโฆษณาชวนชื่อ แต่จะนำเหตุและผลมีเล่าให้ฟัง ขอให้พิจารณาเอาเองด้วยปัญญา
.
1..ธรรมชาติของจิตของปุถุชน เป็นเช่นไร
.
จิตปุถุชนนั้นเป็นจิตทีขาดสติสัมปชัญญะ และเป็นจิตทีไม่มีสัมมาสมาธิเอาเสียเลย มาดูกันก่อนว่า จิตแบบนี้จะส่งผลอะไรแก่เจ้าของจิต
** เมื่อมีผัสสะเข้ามาที่ ตา หู จิตจะไหลออกไปทีวัตถุทีตาเห็น ต้นเสียงทีได้ยินเสียงนั้น อย่างทันที
โดยคนนั้น ไม่รู้เลยว่า จิตตนเองไหลออกไปแล้ว ผลของการไหลออก ก็คือ เกิดโมหะ หรือความหลง เข้าครอบงำจิตทันที
** เมื่อโมหะครอบงำจิต การทีไปสัมผัสกับสิ่งทีชอบใจ หรือ ไม่ชอบใจ จะเกิดการปรุงแต่งตามมาได้ง่าย เป็นโทสะ โลภะ หรือภาษาชาวบ้านเรียกว่า กิเลสเกิดขึ้น
** เมื่อกิเลสเกิดขึ้นแล้ว จิตจะเข้าไปในกิเลสนั้น ทำให้เกิดรู้สึกถึงความทุกข์ หรือ ความสุขทีเกิดขึ้น กลายเป็นการหลงผิดทันที กลายเป็นเกิดตัวกู ของกู ขึ้น
** การวนเวียนตัวกู ของกู การหลงไปกับการติดของกิเลสนั้น ทำให้เกิดการเวียนว่ายตายเกิด หรือ ทีเรียกว่า สังสารวัฏ
*
**สรุปสั้น ๆ ก็คือ จิตปุถุชน ทีขาดสติสัมปชัญญะ ไม่มีสัมมาสมาธิ นี้ ทำให้เกิดการยึดติดในทุกข์ การปรุงแต่ง และการเวียนว่ายตายเกิด
.
2..การพัฒนาจิตปุถุชนทำได้อย่างไร
.
จากข้อ 1 ต้นเหตุของทุกข์ในจิตปุถุชน คือ การขาดสติ สัมปชัญญะ สัมมาสมาธิ การพัฒนาก็คือ การทำให้จิตมี สติ สัมปชัญญะ สัมมาสมาธิ
* สติ นั้นมี 2 อย่าง คือ สติในโลกภายนอก และ สติในโลกภายใน
ในคนทั่วไปนั้น มีแต่สติในโลกภายนอก แต่ไม่มีสติในโลกภายใน
การให้ดูทีวีนั้น ก็คือ การให้มีสติในโลกภายนอก การให้รู้การสัมผัสทีกายในขณะดูทีวี ก็คือ การฝีกให้จิตรับรู้สติในโลกภายใน
.
จะเห็นว่า การฝีกดูทีวี เป็นการฝีกทีตรงทีสุดในการพัฒนาสติ เพราะจะพัฒนาทั้งสติในโลกภายนอก และ สติในโลกภายใน
เนื่องจาก ปุถุชน ไม่มีสติในโลกภายในมาก่อน ดังนั้น พอฝีกให้ดูทีวี
แล้วให้รู้การสัมผัสทีกายไปด้วย จึงเป็นสิ่งทียากมาก เพราะพอดูทีวี ก็จะเผลอ ไม่รู้การสัมผัสทีกาย
ดังนั้น การเริ่มต้นใหม่บ่อยๆ เมื่อหลุดจากการไม่รู้การสัมผัสของกาย จะทำให้นักภาวนาค่อยๆ มีความคุ้นเคยกับสติในโลกภายในขึ้นทีละนิด ทีละนิด อย่างช้า ๆ ซึ่งการพัฒนาสติในโลกภายในนี้ จึงจะเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป ไม่สามารถจะพัฒนาได้รวดเร็วดังใจปรารถนา
.
*สัมมาสมาธิ นั้น คือความสามารถทีทนทานต่อการรบกวนการรู้ของสติในโลกภายในได้
ยิ่งต้านทานการรบกวนได้มาก ก็แสดงว่า สัมมาสมาธิดีมาก
ถ้าต้านทานการรบกวนได้น้อย มีการรบกวนนิดหน่อยก็หลุดแล้ว นี่คือ สัมมาสมาธิมีน้อย
.
การดูทีวีนั้น คือ สิ่งทีรบกวนการรู้ของสติในโลกภายใน
.
เมื่อเริ่มฝึก ผมให้ทำการรู้กายก่อน 2-3 นาทีแล้วดูทีวี
ในขณะทีเริ่มดูทีวีใหม่ๆ นักภาวนายังสามารถรู้กายได้อยู่ เพราะเพิ่งเริ่มต้นการดูทีวี แล้วไม่นานก็จะหลุด เพราะคนใหม่มีสัมมาสมาธิน้อยมากนั่นเอง
แต่เมื่อเริ่มต้นทียังไม่หลุดการรู้กายนี้ทีเป็นช่วงเวลาสั้น ๆ จะเป็นขณิกสมาธิ คือ มีสติรู้อยู่ในโลกภายนเป็นเวลาสั้น ๆ และสัมมาสมาธิยังไม่มั่นคงพอ สติจึงหลุดออกเมื่อไปดูทีวีได้ง่าย
.
แต่พอฝีกไปเรื่อยๆ มีการหลุดบ่อยๆ นักภาวนาจะมีประสบการณ์ทีพัฒนาขึ้นของจิตอย่างเงียบ ๆ ทีอยู่ภายใน โดยทีนักภาวนาไม่เห็นการพัฒนานี้เลย แต่สิ่งทีนักภาวนาจะรู้ได้ก็คือ เมื่อฝีกไป พอหลุดแล้วจะรู้ว่าหลุดได้เร็วขึ้นไปเรื่อยๆ
.
ผลแห่งการรู้หลุดได้เร็วขึ้นนี้ เมื่ออยู่ในชีวิตจริง พอกิเลสเกิดขึ้นในจิต นักภาวนาจะสามารถรู้การเกิดขึ้นของกิเลสได้เร็วขึ้นกว่าเดิม แต่กิเลสก็ยังมีและจิตก็กินกิเลสเข้าไปเช่นเดิม
เมื่อฝีกฝนไปแต่เมื่อรู้การเกิดของกิเลสได้เร็วพอ ก็จะส่งผลให้เห็นกิเลสได้ทัน
.
ผลแห่งการรู้หลุดได้เร็วนั้น เมื่ออยู่ในชีวิตประจำวัน เมื่อกิเลสเกิดขึ้น
สติทีมีสัมมาสมาธิพอสมควร จะยังมีหลงเหลืออยู่ ทำให้จิตไปเห็นกิเลสทีเกิดได้ทัน พอจิตเห็นกิเลสเกิดได้ทัน กิเลสจะดับลงไปเป็นไตรลักษณ์ต่อหน้าต่อตาทันที เมื่อเหตุการณ์นี้เกิดขึ้น นักภาวนาจะได้ปัญญาทีเห็นไตรลักษณ์ของกิเลสได้
*
สัมปชัญญะ คือ การเห็นคุณค่าว่า การฝีกแบบนี้ ทำให้หลุดจากกิเลสได้เร็วขึ้น อันเป็นประโยชน์ทีหลุดทุกข์ได้เร็วขึ้น
.
การพัฒนานี้ จะเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป และจะดีขึ้นไปเรื่อยๆ เมื่อการรู้การหลุดได้มีการพัฒนาตัวไปมากขึ้นไปเรื่อยๆ
.
3.. การฝึกปกติตามสำนัก
ถ้าใครเคยไปฝึกตามสำนักส่วนใหญ่จะฝีก 2 อย่าง คือ การนั่งสมาธิ และ การเดินจงกรม
ส่วนปลีกย่อย
สำหรับนั่งสมาธิ ก็จะมีแบบ การใช้คำบริกรรม หรือ ไม่ใช้คำบริกรรม
สำหรับการเดินจงกรม ก็จะมีแบบ การเดินเร็ว การเดินปกติ การเดินช้า ๆ
การฝึกตามสำนัก มักจะอยู่ในสถานทีเงียบสงบ ไม่มีการรบกวนจากสิ่งคต่าง ๆ รอบตัว ถ้านักภาวนาเข้าใจการฝึกได้ถูกต้อง ก็จะได้ สติในโลกภายใน อย่างเต็มที่
.
แต่เนื่องจากขาดการรบกวนจากสิ่งแวดล้อม สัมมาสมาธิ ทีได้จะค่อนข้างต่ำมาก ๆ เทียบกับการดูทีวี
การดูทีวี คือ มีการรบกวนการฝีกสติ แต่ถ้าฝีกแบบนี้ได้ การเพิ่มขึ้นของสัมมาสมาธิ จะเกิดได้เร็วกว่าการฝีกทีไม่มีสิ่งแวดล้อมรบกวน
.
การฝีกตามสำนักนั้น ในความเห็นของผม เหมาะสำหรับการฝีกให้เกิดปัญญารู้แจ้งในสุญญตา นั่นหมายความว่า นักภาวนาควรมีสัมมาสติ สัมมาสมาธิ ที่ค่อนข้างดีอยู่แล้ว
.
4..ขอให้พิจารณาข้อเขียนนี้ด้วยปัญญาของท่าน และ ปรับการนำไปใช้ในการฝีกให้เหมาะสมต่อไป