รู้สึกตัว ผ่อนคลาย เฉย ๆ สบาย ๆ **กรุณา .อย่า.ได้บริจาคเงินให้ blog ผม ทาง e-wallet ครับ** **ผมขอสงวนสิทธิการเป็นเจ้าบ้านของ blog ลบข้อเขียนใดๆ ก็ได้ใน blog นี้ตามที่ผมเห็นสมควร**
Group Blog
 
<<
ธันวาคม 2560
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
31 
 
14 ธันวาคม 2560
 
All Blogs
 
คำอธิบายการฝีกฝนด้วยการดูทีวี วิธีฝีก การดูว่าฝีกแล้วคืออย่างไรที่ได้ผล



ผมได้อธิบายเรื่องการฝีกฝนด้วยการดูทีวีในกิจกรรมธรรมบรรยายมาได้ 3 ปี
แต่ก็ยังมีคนทีไม่เข้าใจในการปฏิบัติ
ขอให้อ่านเรื่องในนี้ และ ดูภาพประกอบทีมีอยู่ภายในเรื่อง
.
ภาพทีอยู่ในเรื่องนี้มี 5 ภาพ เป็นเรื่องการฝึกดูทีวี และ การนำเรื่องการมองภาพมีระยะห่างมาใช้ในชีวิตประจำวัน
.
ท่านทีสนใจการฝีกแบบนี้ แนะนำให้อ่านไปทีละหน้าด้วยความพินิจพิเคราะห์ อ่านให้เข้าใจ แล้วทดลองทำดู 
.
อย่าลืมว่า การฝีกดูทีวีนี้ ไม่ใช่เป็นการทำจิตให้นิ่ง
แต่เป็นการฝีกจิตให้มีความสามารถมากขึ้นในการรู้กิเลส และ การเผลอ หรือทางภาษาพระเรียกว่า การมีสติสัมปชัญญะ
เมื่อมีสติสัมปชัญญะมากขึ้น จะสามารถรู้เห็นความเป็นไตรลักษณ์ชองกิเลสได้ เมื่อรุ้เห็นไตรลักษณ์ของกิเลสมากขึ้นไปเรื่อย ๆ จิตจะเข้าใจสภาวะธรรมของกิเลสว่า มันหลอกลวง มันไม่มีตัวตน มันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของ ๆ เรา แล้วจะเกิดการปล่อยวางไปตามลำดับ จนหลุดพ้นไปจากกองทุกข์ได้ในทีสุด
.
.
สิ่งทีคนฝีกฝนเข้าใจคาดเคลื่อนแล้วทำให้ฝีกไม่ได้ผล
มักจะมีอย่างนี้ว่า
.
......เข้าใจผิดว่า การฝีกต้องการให้จิตนิ่ง 
ต้องการรู้ตัวตลอดว่าจิตนิ่ง
แล้วไปทำอะไรเพื่อให้จิตนิ่งขณะดูทีวี
ความเข้าใจผิดนี้ ค่อนข้างร้ายแรง จนส่งผลให้ฝีกผิดพลาด
แล้วไม่ได้ผล
.
การฝึกฝนนั้น เราไม่ต้องการจิตนิ่งนะครับ
เราต้องการฝีกจิตให้
1..รู้ทัน การเผลอไป 
2..รู้ทันการไหวตัวของจิต
.
คนทีฝีกดูทีวีใหม่ๆ จะพบตัวเองว่า 
การเผลอนั้นเกิดง่ายมาก ดูทีวีไมีถึง 5 นาที ก็เผลอไปแล้ว
กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็นานหลายนาทีว่า เผลอไป
ทีเป็นอย่างนี้ เพราะกำลัง สติสัมปชัญญะ อ่อนแอมาก
.
ในการฝีกฝน เผลอไม่เป็นไร ยอมให้เผลอนะครับ
พอเผลอแล้ว เมื่อรู้ตัวว่าเผลอ ก็กลับมาฝีกใหม่
กล่าวคือ เผลอแล้วให้กลับมาฝีกใหม่ ให้ทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆ 
อย่าอารมณ์เสียเด็ดขาดว่า ทำไมเผลอบ่อยมาก
ยิ่งอารมณ์เสีย ยิ่งฝีกไม่ได้ผล เมื่อเผลอไป ให้ใจเฉยๆ แล้วก็ฝีกใหม่
แค่นี้เอง ให้ทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆ พอฝีกไปมาก ๆ เข้าหลาย ๆ เดือน
อาจถึง 6 เดือนขึ้นไป การเผลอยังมีแน่นอน แต่เมื่อเผลอแล้ว
จะกลับมารู้ตัวว่าเผลอนี่ซิ มีการพัฒนาตัวเองให้หดเวลาสั้นลงไป
เรื่อยๆ นีคือ ผลของการฝีกฝนทีมาตรงทาง
เวลาทีหดสั้นไปเรื่อยๆ นี่ ถ้ายิ่งฝีกฝนไปเรื่อยๆ 
ก็จะแทบว่า จะหดสั้นน้อยกว่า วินาที เสียอีก
แต่นี่คือ การฝีกฝนทีต้องใช้เวลา อาจถึง 1 ปี 2 ปี จึงจะได้
เมื่อเผลอแล้วรู้ว่าเผลอไป หดเวลาสั้นลงไปมาก ๆ 
แสดงว่า จิตมีกำลังสติสัมปชัญญะดีขึ้นมาก
เมื่อจิตมีสติสัมปชัญญะดีขึ้น 
เวลาจิตมีอารมณ์ปรุงแต่ง จะเห็นทันอารมณ์นั้นได้
แล้วอารมณ์นั้นจะสลายตัวไปเป็นไตรลักษณ์ ให้เห็นได้จะ จะ กันเลย
เราต้องการแบบนี้ คือ เผลอหดเวลาสั้นลง แล้วจิตมีพลังสติสัมปชัญญะ
เพื่อไปเห็นทันอารมณ์ปรุงแต่งเป็นไตรลักษณ์ได้
นี่คือ หลักการและเหตุผลของการฝีกดูทีวี
.
การรู้ทันอารมณ์ปรุงแต่งเป็นไตรลักษณ์นี้
ถ้าเห็นได้บ่อยๆ เห็นมาก ๆ จิตจะเกิดปัญญาตามมา
ซึ่งตรงนี้ ก็จะยังมีกับดักอีก กล่าวคือ
นักภาวนามักเชื่อว่า ภาวนาแล้วกิเลสจะลดลงไป
เพราะได้ยิน ได้อ่านแบบนี้มามากในอินเตอร์เนท
ทำให้นักภาวนา
พอกิเลสโผล่มา แล้วเห็นไตรลักษณ์ได้ กลับไม่ชอบใจ
เพราะมักคิดว่า ภาวนาผิดทาง ทำไมกิเลสมันมากจัง
ก็หันไปทำจิตนิ่งอีก
นี่เพราะไม่เข้าใจจึงทำให้ภาวนาไม่ได้ผล
.
ยิ่งภาวนาไป นักภาวนาจะยิ่งเห็นกิเลสในตัวเองได้มากขึ้น
นีคือความจริง ซึ่งจะขัดแย้งกับคำสอนทีได้ยินได้ฟังทั่ว ๆ ไปในอินเตอร์เนท
อาจารย์โกวิท เขมานันทะ ท่านได้พูดประโยคหนี่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า
...ยิ่งกว่ารังโจร...ซึ่งนี่คือความจริงครับ
.
นักภาวนาเห็นกิเลสมากขึ้นได้ แต่ด้วยจิตทีมีสติสัมปชัญญะ
มากขึ้น จะเห็นกิเลสเหล่านั้น เกิด ดับ เป็นไตรลักษณ์ได้
ยิ่งกิเลสเกิดมาให้เห็นมากครั้งเป็นไตรลักษณ์
นี่ยิ่งสร้างปัญญาให้แก่จิตให้มากขึ้น
.
พอปัญญาของจิตแก่กล้ามากพอ
เพราะเห็นไตรลักษณ์ของกิเลสมาก ๆ 
จิตจะเกิดการปล่อยวาง ไม่ยึดมั่นถือมั่น
ต่อเมื่อจิตเกิดการปล่อยวางได้อย่างแท้จริง
จะพบว่า กิเลสต่างๆ นั้นได้หายหัวไปหมดสิ้นในตอนนั้
.
จะเห็นว่า ขบวนการปล่อยวางนี่เอง ได้กล่าวไว้ในพระไตรปิฏก
เถรวาทอยุ่หลายแห่งด้วยกัน และ ขบวนการนั้น 
เกิดเพราะการเห็นทันกิเลสแล้วกิเลสเป็นไตรลักษณ์
ดังนั้น เมื่อยิ่งภาวนาไป ยิ่งเห็นกิเลสได้มาก ๆ 
แสดงว่า กำลังมาถูกทางแล้ว
จิตกำลังสะสมปัญญาไว้เพื่อการปล่อยว่างในอนาคตต่อไป
.
ขอให้เข้าใจให้ตรง แล้วจะหลุดพ้นไปจากกองทุกข์ได้อย่างแน่นอน
.
พระไตรปิกฏก็กล่าวไว้ว่า ต้องเห็นไตรลักษณ์ได้ จะเป็นวิปัสสนา










Create Date : 14 ธันวาคม 2560
Last Update : 14 ธันวาคม 2560 8:36:25 น. 4 comments
Counter : 3523 Pageviews.

 
ทำไมต้องฝึกดูทีวี ประโยชน์ทีได้รับคืออะไร เปรียบเทียบการฝีกแบบนี้ กับการฝึกปกติตามสำนักต่างกันอย่างไร
.
ไม่ได้มาโฆษณาชวนชื่อ แต่จะนำเหตุและผลมีเล่าให้ฟัง ขอให้พิจารณาเอาเองด้วยปัญญา
.
1..ธรรมชาติของจิตของปุถุชน เป็นเช่นไร
.
จิตปุถุชนนั้นเป็นจิตทีขาดสติสัมปชัญญะ และเป็นจิตทีไม่มีสัมมาสมาธิเอาเสียเลย มาดูกันก่อนว่า จิตแบบนี้จะส่งผลอะไรแก่เจ้าของจิต
** เมื่อมีผัสสะเข้ามาที่ ตา หู จิตจะไหลออกไปทีวัตถุทีตาเห็น ต้นเสียงทีได้ยินเสียงนั้น อย่างทันที
โดยคนนั้น ไม่รู้เลยว่า จิตตนเองไหลออกไปแล้ว ผลของการไหลออก ก็คือ เกิดโมหะ หรือความหลง เข้าครอบงำจิตทันที
** เมื่อโมหะครอบงำจิต การทีไปสัมผัสกับสิ่งทีชอบใจ หรือ ไม่ชอบใจ จะเกิดการปรุงแต่งตามมาได้ง่าย เป็นโทสะ โลภะ หรือภาษาชาวบ้านเรียกว่า กิเลสเกิดขึ้น
** เมื่อกิเลสเกิดขึ้นแล้ว จิตจะเข้าไปในกิเลสนั้น ทำให้เกิดรู้สึกถึงความทุกข์ หรือ ความสุขทีเกิดขึ้น กลายเป็นการหลงผิดทันที กลายเป็นเกิดตัวกู ของกู ขึ้น
** การวนเวียนตัวกู ของกู การหลงไปกับการติดของกิเลสนั้น ทำให้เกิดการเวียนว่ายตายเกิด หรือ ทีเรียกว่า สังสารวัฏ
*
**สรุปสั้น ๆ ก็คือ จิตปุถุชน ทีขาดสติสัมปชัญญะ ไม่มีสัมมาสมาธิ นี้ ทำให้เกิดการยึดติดในทุกข์ การปรุงแต่ง และการเวียนว่ายตายเกิด
.
2..การพัฒนาจิตปุถุชนทำได้อย่างไร
.
จากข้อ 1 ต้นเหตุของทุกข์ในจิตปุถุชน คือ การขาดสติ สัมปชัญญะ สัมมาสมาธิ การพัฒนาก็คือ การทำให้จิตมี สติ สัมปชัญญะ สัมมาสมาธิ
* สติ นั้นมี 2 อย่าง คือ สติในโลกภายนอก และ สติในโลกภายใน
ในคนทั่วไปนั้น มีแต่สติในโลกภายนอก แต่ไม่มีสติในโลกภายใน
การให้ดูทีวีนั้น ก็คือ การให้มีสติในโลกภายนอก การให้รู้การสัมผัสทีกายในขณะดูทีวี ก็คือ การฝีกให้จิตรับรู้สติในโลกภายใน
.
จะเห็นว่า การฝีกดูทีวี เป็นการฝีกทีตรงทีสุดในการพัฒนาสติ เพราะจะพัฒนาทั้งสติในโลกภายนอก และ สติในโลกภายใน
เนื่องจาก ปุถุชน ไม่มีสติในโลกภายในมาก่อน ดังนั้น พอฝีกให้ดูทีวี
แล้วให้รู้การสัมผัสทีกายไปด้วย จึงเป็นสิ่งทียากมาก เพราะพอดูทีวี ก็จะเผลอ ไม่รู้การสัมผัสทีกาย
ดังนั้น การเริ่มต้นใหม่บ่อยๆ เมื่อหลุดจากการไม่รู้การสัมผัสของกาย จะทำให้นักภาวนาค่อยๆ มีความคุ้นเคยกับสติในโลกภายในขึ้นทีละนิด ทีละนิด อย่างช้า ๆ ซึ่งการพัฒนาสติในโลกภายในนี้ จึงจะเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป ไม่สามารถจะพัฒนาได้รวดเร็วดังใจปรารถนา
.
*สัมมาสมาธิ นั้น คือความสามารถทีทนทานต่อการรบกวนการรู้ของสติในโลกภายในได้
ยิ่งต้านทานการรบกวนได้มาก ก็แสดงว่า สัมมาสมาธิดีมาก
ถ้าต้านทานการรบกวนได้น้อย มีการรบกวนนิดหน่อยก็หลุดแล้ว นี่คือ สัมมาสมาธิมีน้อย
.
การดูทีวีนั้น คือ สิ่งทีรบกวนการรู้ของสติในโลกภายใน
.
เมื่อเริ่มฝึก ผมให้ทำการรู้กายก่อน 2-3 นาทีแล้วดูทีวี
ในขณะทีเริ่มดูทีวีใหม่ๆ นักภาวนายังสามารถรู้กายได้อยู่ เพราะเพิ่งเริ่มต้นการดูทีวี แล้วไม่นานก็จะหลุด เพราะคนใหม่มีสัมมาสมาธิน้อยมากนั่นเอง
แต่เมื่อเริ่มต้นทียังไม่หลุดการรู้กายนี้ทีเป็นช่วงเวลาสั้น ๆ จะเป็นขณิกสมาธิ คือ มีสติรู้อยู่ในโลกภายนเป็นเวลาสั้น ๆ และสัมมาสมาธิยังไม่มั่นคงพอ สติจึงหลุดออกเมื่อไปดูทีวีได้ง่าย
.
แต่พอฝีกไปเรื่อยๆ มีการหลุดบ่อยๆ นักภาวนาจะมีประสบการณ์ทีพัฒนาขึ้นของจิตอย่างเงียบ ๆ ทีอยู่ภายใน โดยทีนักภาวนาไม่เห็นการพัฒนานี้เลย แต่สิ่งทีนักภาวนาจะรู้ได้ก็คือ เมื่อฝีกไป พอหลุดแล้วจะรู้ว่าหลุดได้เร็วขึ้นไปเรื่อยๆ
.
ผลแห่งการรู้หลุดได้เร็วขึ้นนี้ เมื่ออยู่ในชีวิตจริง พอกิเลสเกิดขึ้นในจิต นักภาวนาจะสามารถรู้การเกิดขึ้นของกิเลสได้เร็วขึ้นกว่าเดิม แต่กิเลสก็ยังมีและจิตก็กินกิเลสเข้าไปเช่นเดิม
เมื่อฝีกฝนไปแต่เมื่อรู้การเกิดของกิเลสได้เร็วพอ ก็จะส่งผลให้เห็นกิเลสได้ทัน
.
ผลแห่งการรู้หลุดได้เร็วนั้น เมื่ออยู่ในชีวิตประจำวัน เมื่อกิเลสเกิดขึ้น
สติทีมีสัมมาสมาธิพอสมควร จะยังมีหลงเหลืออยู่ ทำให้จิตไปเห็นกิเลสทีเกิดได้ทัน พอจิตเห็นกิเลสเกิดได้ทัน กิเลสจะดับลงไปเป็นไตรลักษณ์ต่อหน้าต่อตาทันที เมื่อเหตุการณ์นี้เกิดขึ้น นักภาวนาจะได้ปัญญาทีเห็นไตรลักษณ์ของกิเลสได้
*
สัมปชัญญะ คือ การเห็นคุณค่าว่า การฝีกแบบนี้ ทำให้หลุดจากกิเลสได้เร็วขึ้น อันเป็นประโยชน์ทีหลุดทุกข์ได้เร็วขึ้น
.
การพัฒนานี้ จะเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป และจะดีขึ้นไปเรื่อยๆ เมื่อการรู้การหลุดได้มีการพัฒนาตัวไปมากขึ้นไปเรื่อยๆ
.
3.. การฝึกปกติตามสำนัก
ถ้าใครเคยไปฝึกตามสำนักส่วนใหญ่จะฝีก 2 อย่าง คือ การนั่งสมาธิ และ การเดินจงกรม

ส่วนปลีกย่อย
สำหรับนั่งสมาธิ ก็จะมีแบบ การใช้คำบริกรรม หรือ ไม่ใช้คำบริกรรม
สำหรับการเดินจงกรม ก็จะมีแบบ การเดินเร็ว การเดินปกติ การเดินช้า ๆ
การฝึกตามสำนัก มักจะอยู่ในสถานทีเงียบสงบ ไม่มีการรบกวนจากสิ่งคต่าง ๆ รอบตัว ถ้านักภาวนาเข้าใจการฝึกได้ถูกต้อง ก็จะได้ สติในโลกภายใน อย่างเต็มที่
.
แต่เนื่องจากขาดการรบกวนจากสิ่งแวดล้อม สัมมาสมาธิ ทีได้จะค่อนข้างต่ำมาก ๆ เทียบกับการดูทีวี
การดูทีวี คือ มีการรบกวนการฝีกสติ แต่ถ้าฝีกแบบนี้ได้ การเพิ่มขึ้นของสัมมาสมาธิ จะเกิดได้เร็วกว่าการฝีกทีไม่มีสิ่งแวดล้อมรบกวน
.
การฝีกตามสำนักนั้น ในความเห็นของผม เหมาะสำหรับการฝีกให้เกิดปัญญารู้แจ้งในสุญญตา นั่นหมายความว่า นักภาวนาควรมีสัมมาสติ สัมมาสมาธิ ที่ค่อนข้างดีอยู่แล้ว
.
4..ขอให้พิจารณาข้อเขียนนี้ด้วยปัญญาของท่าน และ ปรับการนำไปใช้ในการฝีกให้เหมาะสมต่อไป


โดย: นมสิการ วันที่: 9 มกราคม 2561 เวลา:9:58:28 น.  

 
ในการฝึกฝนด้วยการดูทีวีนั้น
อาการต่อไปนี้ คือ สภาวะดั้งเดิมของการมีสติสัมปชัญญะ
1..ตาเห็นกว้าง เห็นมีความลึกเป็น 3 มิติ ๆ
2..รู้สีกเสื้อผ้าสัมผัสร่างกาย
3..รู้การสัมผัสของร่างกายกับที่นั่ง
4..ตาเห็นทีวีได้
5.หูได้ยินเสียงทีวีได้
ทั้ง 5 ข้อนี้ จะเรียกว่า สภาวะดั้งเดิม
.
..ทีนี้ การหลุดจากสภาวะดั้งเดิมจะมี ดังนี้
1...ตาไม่เห็นภาพ 3 มิติ
2...เกิดการเผลอไป ไม่รู้การสัมผัสของร่างกายกับเก้าอี้ที่นั่งอยู่
3...จิตไหลเข้าไปในทีวี
4...อารมณ์ของตนเองทีแปรเลี่ยนไปกับเรื่องราวของทีวี
5.. มีจิตพลังงานโผล่ทีหัว
6...จิตพลังงานหลุดออกจากสติพุ่งไปข้างหน้า
...
การหลุดเหล่านี้ ไม่ใช่ไม่ดี
แต่การฝีกด้วยการดูทีวีนี้
จะเป็นการเรียนรู้เพิ่มประสบการณ์การหลุด
ถ้าหลุดแล้วรู้ได้ ถือว่าดี
ถ้าหลุดแล้วรู้ได้เร็วขึ้น ถือว่า มีการพัฒนา
ถ้าหลุดปุ๊บ รู้ปั๊บ ถือว่าดีเยี่ยม
.
ถ้าไม่หลุดเลย นี่ซิ ต้องไปดูแล้วว่า
ไปทำอะไรพิเศษเพิ่มขึ้นมาหรือไม่
การทำพิเศษนี้แล้วไม่หลุด อย่างนี้ไม่ดี
.
ผู้ทีฝึกฝนการดูทีวี แล้วเกิดการไม่หลุดนี้
จะเกิดได้ 2 กรณี คือ
1..ไปทำอะไรพิเศษเพิ่มขึ้นมาแล้วไม่หลุด
2...เกิดจากคนทีฝึกฝนมาดีจนชำนาญมาก
แต่อาการของคนทีฝึกมาดีจนชำนาญนั้น เขาจะรู้ตัวเองได้ว่า
เขาฝีกมาดีแล้ว เช่น เขามีดวงตาเห็นธรรมได้แล้ว เขาเคยเห็น
ไตรลักษณ์ของอารมณ์ปรุงแต่งต่างๆ มาแล้วอย่างโชกโชน
แต่ถ้าไม่มีดวงตาเห็นธรรม ไตรลักษณ์ก็ไม่เคยเห็นมาก่อน
อย่างนี้ ต้องไปดูตัวเองแล้วว่า ไปทำอะไรขึ้นมาแล้วไม่หลุดหรือไม่


โดย: นมสิการ วันที่: 22 มกราคม 2561 เวลา:6:45:08 น.  

 
มีผู้ถามเข้ามาว่า.....
การฝีกดูทีวีพร้อมรู้การสัมผัสทีกายไปด้วยตามทีเขียนไว้นี้
เมื่อฝีกฝนไปแล้วสักระยะหนี่ง ควรฝีกฝนอะไรเพิ่มอีกหรือไม่
จึงจะเข้าสู่ทางแห่งมรรคได้
=========================
ตอบ....ผมขอตอบท่านทีถามเข้ามาดังนี้ครับ
1...ถ้าท่านทีเข้ามาอ่านคำถามคำตอบนี้ ยังไม่ได้
อ่านและทดลองฝีกฝนดู ขอให้กลับไปอ่านและทดลองฝีกฝนดูก่อน
.
2..สำหรับที่ท่านทีเคยอ่านและได้เคยฝีกฝนมาบ้างแล้ว
ขอให้อ่านต่อไป
.
3..ถ้าท่านสังเกตการฝีกฝนในเรื่องนี้ ท่านจะพบว่า
Operation ของการฝีกฝนนี้จะมี 2 อย่างทีเกิดขึ้นในคราวเดียวกัน
นั่นคือ
.
Operation ที่ 1.....
การดูทีวี ทีดูแบบเห็นมีระยห่างว่าตัวเครื่องทีวีอยู่ห่าจากตัวเรา
หรือ จะพูดว่าการดูทีวีแบบเห็นภาพ 3 มิติ ทีมีความลึกทีเห็นได้
หรือ จะพูดว่า การดูทีวีทีดูแบบ Bird Eye View
หรือ จะพดว่า การดูทีวีทีเห็นภาพกว้าง ๆ ทีเห็นตัวเครื่องทีวี
และ เห็นสิ่งต่างๆ ทีอยู่ใกล้ๆ ตัวเครื่องทีวีด้วย
.
ซึ่งทั้งการพูดทั้ง 4 แบบจะเป็นสิ่งเดียวกันทั้งสิ้น สุดแต่ว่า คำพูดแบบใด
จะทำให้ท่านผู้อ่านเข้าใจได้ดีทีสุด
.
Operation ที 2 .....
การรู้สีกการสัมผัส่ทีเกิดขึ้นทีกาย เช่น เมื่อนั่งดูทีวีอยู่
ก็สามารถรู้ได้เองถึงก้นทีสัมผัสทีนั่งอยู่
หรือ สามารถรู้ได้เองถึงแผ่นหลังทีสัมผัสทีพิงหลังได้อยู่
หรือ สามารถรู้ได้เองถึงเสื้อผ้าทีสัมผัสโดนร่างกายได้อยู่
.
ขอให้สังเกตว่า ผมใช้คำว่า รู้ได้เอง
ซึ่งหมายความว่า ท่านไม่ต้องไปสนใจมองทีแผ่นหลัง หรือ มองไปทีผิวกาย
เพื่อจะรู้การสัมผัสเลย ท่านก็รู้สึกถึงการสัมผัสนี้ได้เองอยู่แล้ว
เพราะเป็นคุณสมบัติของจิตเมื่อมีสติ สัมปชัญญะอยู่
ขอให้ท่านทดลองการรู้การสัมผัสนี้ด้วนตนเอง
ท่านจะสามารถเข้าใจได้ทันที และจะพบว่าไม่ยากเลยทีจะสัมผัสเองได้จริง
.
ซึ่งการฝีกฝนใน Operation ที่ 2 นี้ ถ้าท่านทำอย่างทีผมเขียนไว้คือ
รู้สีกได้เองถึงการสัมผัสทีกายทีเกิดขึ้นนั้น
ท่านกำลังฝีกสติปัฏฐานอยู่แล้วครับ
.
4...เพื่อความสดวกทีจะเขียนต่อไป ผมขอใช้คำศัพท์ขึ้นมาใหม่ 2 คำคือ
Primary และ Secondary
.
คำว่า Primary คือ การกระทำสิ่งแรก เช่นการดูทีวีแบบเห็นระยะห่าง
ส่วนคำว่า Secondary คือ สิ่งทีเกิดขึ้นมาเองเมื่อมีการกระทำสิ่งแรกขึ้น
เช่นการรู้การสัมผัสทีกายได้ นี้จะเป็น Secondary ทีเกิดเมื่อท่านนั่งดูทีวี
.
สำหรับการดูทีวีด้วยการเห็นทีวีแบบมีระยะห่างนั้น ก็คือ Primary
ท่านทำสิ่งนี้เป็นตัวหลัก
ทีนี้ เมื่อท่านรู้การสัมผัสทีกายได้ ซึ่งเป็นสติปัฏฐาน ทีรู้สีกได้เอง
อันนี้เป็น Secondary ท่านไม่ได้ทำ Secondary เลย
แต่ Secondary เกิดขึ้นมาได้เอง และ ท่านก็รู้สีกได้ด้วย
.
ถ้าท่านยังเข้าใจคำว่า Primary และ Secondary ขอให้อ่านทบทวนให้เข้าใจ
.
5...เมื่อท่านฝีกดูทีวี การดูทีวีเป็น Primary และ การรู้สัมผัสทีกายเป็น Secondary
นั่น ถ้าท่านได้ทดลองฝีกดูจริงๆ จะพบว่า Secondary นั้น ฝีกได้ยากมาก
เมื่อท่านดูทีวีไม่นานเลย
Secondary จะหลุดหายแล้วท่านก็จะรู้ไม่ได้
ทีเป็นอย่างนี้ เพราะว่า กำลังสติ สัมปชัญญะของท่านอ่อนแอมากนั่นเอง
.
ถึงท่านจะหลุดเพราะสติ สัมปชัญญะอ่อนแอ ท่านก็อย่าได้ย่อท้อ
ขอให้ฝีกต่อไป เมื่อหลุดได้ ก็เริ่มฝีกใหม่ได้
ทำอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ
เมื่อท่านฝีกอย่างนี้ไปเรื่อยๆ แล้วประสบการณ์การหลุด
จะช่วยให้ท่านมีการพัฒนาสติ สัมปชัญญะให้แข็งแรงขึ้นอย่างช้า ๆ
ท่านอาจต้องฝีกแบบนี้ไปเป็นเวลานาน เช่น 6 เดือนขึ้นไป
หรือ 1 ปีหรือมากกว่า ท่านจะพบว่า ท่านถึงจะหลุดแต่จะรู้ว่ามีการหลุดได้เร็วขึ้น
เรื่องนี้คือ การพัฒนาสติ สัมปชัญญะ ซึ่งผมมีเขียนอธิบายไว้แล้ว
ในเรื่องข้างบนใน Blog นี้
.
หมายเหตุ ท่านทีฝีก อย่าได้เปลี่ยนการรู้การสัมผัสทีกายจาก
Secondary เป็น Primary เด็ดขาด
เพราะถ้าท่านเปลี่ยน ท่านจะเห็นว่า การหลุดไม่ใคร่เกิดเหมือนเป็น secondary
แต่การกระทำดังกล่าง ทีเป็นการรู้การสัมผัสทีกายเป็น Primary จะไม่ทำให้
สติ สัมปชัญญะของท่านมีการพัฒนาจากอ่อนแอให้แข็งแรงขึ้น
.
เมื่อสติ สัมปชัญญะทีเป็น Secondary ได้ถูกพัฒนาตัวขึ้นมาให้แข็งแรงขึ้น
เพราะการฝีกฝนดังกล่าว
ท่านจะเริ่มพบกับประสบการณ์ทางธรรมะได้ ทีละอย่างไปเรื่อย ๆ เช่น
ท่านจะเห็นอารมณ์จิตปรุงแต่งของท่านได้
และจะสามารถดับอารมณ์จิตปรุงแต่งได้อย่างอัตโนมัติ
ทานจะเห็นความคิดของท่านได้
ท่านจะเผลอลดลงไปเรื่อย ๆ
ท่านจะเกิดดวงตาเห็นธรรมได้
เป็นต้น
.
เมื่อกำลังแห่ง สติ สัมปชัญญะ นี้ได้มีการพัฒนาและเติบใหญ่ขึ้น
ต่อไป เมื่อท่านมาฝีกดูทีวีแบบนี้อีก การดูทีวี
ยังเป็น Primary เช่นเดิม
แต่ Secondary นั่น จิตท่านจะมีความสามารถมากขึ้นแล้ว
กล่าวคือ นอกท่านท่านจะรู้การสัมผัสทีกายได้แล้ว
ท่านยังสามารถรู้ การหายใจ ของท่านได้อีกอย่างด้วย
ซึ่งถ้าท่านสามารถรู้ การหายใจ ได้ด้วย เพิ่มขึ้นมาจากการรู้กาย
ขอให้ท่านรู้ การหายใจ และ รู้การสัมผัสทีกาย พร้อมกันในคราวเดียวกัน
ผมขอเน้นย้ำว่า การรู้การหายใจ รู้กาย นี้ ยังเป็น Secondary อยู่
.
ท่านอย่าได้ย้าย Primary จากการดูทีวี เป็นมาสนใจ การหายใจ
ถ้าท่านสนใจ การหายใจ
ท่านกำลังเปลี่ยน Primary จาก การดูทีวีแบบมีระยะห่าง
มาเป็น Primary ที การหายใจ แทน
การเปลี่ยน Primary ดังกล่าว ไม่เป็นผลดีต่อ การพัฒนา สติสัมปชัญญะ
.
เมื่อท่านฝีกจนสติ สัมปชัญญะของท่านแข็งแรงขึ้นได้
ดังทีเขียนไว้ข้างต้น
ท่านจะเริ่มพบกับธรรมะต่างๆ ทีเกิดขึ้นทีละอย่าง
การพบเห็นธรรมะนี้หลาย ๆ ครั้ง ท่านจะเริ่มเข้าใจธรรมะมากขึ้นไปเรื่อย ๆ
เป็นการเข้าใจธรรมะได้เอง ไม่ใช่มาจากการอ่านตำรา หรือ ฟังใครเขาพูดมา
ตรงนี้ก็คือ ภาวนมยปัญญา ทีเกิดขึ้นในจิตของท่าน
.
ภาวนามยปัญญานี้ เมื่อเห็นได้หลาย ๆ ครั้ง จนเข้าใจ
ท่านจะปล่อยวางทุกข์ และ เกิดการหลุดพ้นไปจากสังสารวัฏได้ต่อไป
แต่ทั้งนี้ ท่านต้องรอเวลา เพราะธรรมะต่าง ๆ นั้น จะเกิดขึ้นมาเอง
แล้วแต่จังหวะ เวลา ท่านไม่สามารถทำให้เกิดขึ้นมาได้
ท่านมีหน้าทีเพียงฝีกฝน สติสัมปชัญญะให้พร้อมไว้เท่านั้่นเอง



โดย: นมสิการ วันที่: 9 กุมภาพันธ์ 2561 เวลา:13:46:15 น.  

 
อีกบทความหนี่งของการฝีกดูทีวี
.
https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=namasikarn&month=10-2016&group=17&date=11&gblog=151


โดย: นมสิการ วันที่: 3 กันยายน 2561 เวลา:5:29:36 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะ VIP Friend
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

นมสิการ
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 142 คน [?]




หลักปฏิบัติ ...รู้สึกตัว ผ่อนคลาย เฉย ๆ สบาย ๆ

มากกว่า 20 ปีที่ไปหลงทำสมถภาวนาแบบสมาธิแบบฤาษีโดยที่ไม่รู้จักกับคำว่า อะไรคือสัมมาสติ สัมมาสมาธิ ผลที่ได้คือความสงบขณะกำลังนั่งสมาธิจนตัวนิ่งแข็งเป็นก้อนหิน แต่ผลข้างเคียงตามมาก็คือการเป็นคนเจ้าโทสะอย่างรุนแรงขณะเวลาไม่ได้นั่งสมาธิ และ ที่อยู่ในชีวิตประจำวัน....

จนได้พบกัลยณมิตรแดนไกล ที่ได้ชักนำให้มารู้จักวิธีปฏิบัติแบบหลวงพ่อเทียน จนได้พบกับพระอาจารย์ในสายหลวงพ่อเทียน ที่ผมได้เรียนการปฏิบัติจากท่าน จนเข้าใจว่า สัมมาสติ สัมมาสมาธิ คืออะไร แล้วลงมือฝึกฝน การปฏิบัติก็รุดหน้าและได้ลิ้มรสสิ่งบริสุทธิในจิตใจอันเป็นผลจากการปฏิบัติด้วยเวลาเพียง 5 ปี

ธรรมปฏิบัติจากฆราวาสเขียนเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ยากในสังคมไทย ผมรู้ได้จากที่เขียนใน blog ผมได้พบกับการก่อกวนใน blog การเขียนเหน็บแนม กระแหนะกระแหน ตำหนิการการปฏิบัติที่ผมเขียนใน blog ว่าผิดทาง เขียนแบบคาดเดาเอา ไม่รู้จริง ให้ผมหยุดเขียนแนวนี้ได้แล้ว และไปโมทนาสาธุแนะนำการปฏิบัติสมาธิแบบฤาษีให้กับผมอีกว่านี่คือทางที่ถูกต้อง ...

บทความใน blog จึงเกิดขึ้นมา เพื่อแบ่งปันประสบการณ์ในการภาวนา
แก่ผู้อื่นที่กำลังเดินทางในสายแห่งอริยมรรคนี้

เมื่อท่านได้เข้ามาอ่านข้อเขียนใน blog กรุณาอย่าได้เชื่อผมจนกว่า ท่านได้ทดลองปฏิบัติแล้วและพิสูจน์ด้วยตัวท่านเอง

**กรุณา .อย่า.ได้บริจาคเงินให้ blog ผมทาง e-wallet ครับ **

******
บทความต่าง ๆ ใน blog นี้
ขอสงวนสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537
ห้ามนำไปดัดแปลง ลอกเลียน หรือนำส่วนหนึ่งส่วนใดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต

****
New Comments
Friends' blogs
[Add นมสิการ's blog to your web]
Links
 
MY VIP Friend


 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.