ความแตกต่างระหว่างสมาธิแบบฤาษีและสัมมาสมาธิ อ่านได้ที่ link นี้
ในสัมมาสมาธิที่เป็นแบบที่พระพุทธองค์ทรงสอนนั้น คือ การทำสมาธิที่มีลักษณะของ**จิตตั้งมั่น** จิตเป็น**อิสระ**และไม่ไหลไปยีดเกาะกับ*อารมณ์ (*คำว่า อารมณ์ คือ สิ่งที่จิตไปรับรู้เข้า) เมื่อจิตไม่ไหลไปยึดเกาะติดกับอารมณ์ จิตจะสามารถสัมผัสกับอารมณ์ต่างๆ ที่เป็นไตรลักษณ์ของ*สังขตธรรม (*สังขตธรรม คือ สภาวะธรรมที่แปรแปลี่ยนได้ เช่น ขันธ์ 5 ) แต่ถ้าจิตตั้งมั่นอย่างมาก ๆ ก็จะสามารถสัมผัสได้ถึง *อสังขตธรรม (*อสังขตธรรม คือ สภาวะธรรมที่ไม่แปรเปลี่ยน ) ได้อีกอย่างหนี่งด้วย
ซี่งสมาธิแบบฤาษี ไม่มีคุณสมบัติในข้อนี้ เพราะสมาธิแบบฤาษี เป็นสมาธิแบบกดข่มจิต จิตไร้อิสระ
จิตถึงแม้จะนิ่งได้ แต่ก็นิ่งเพราะการกดข่มเอาไว้
ในคนใหม่ ๆ ที่เพิ่งฝีกฝนแบบสัมมาสมาธิ เนื่องจากกำลังของจิตยังไม่ตั้งมั่นได้มากพอ จิตจึงยังวิ่งไปวิ่งมาเพื่อไปยีดเกาะของสภาวะธรรมบ้าง และ ตั้งมั่นบ้างเป็นจังหวะเป็นครั้ง ๆ ไปแต่ไม่นานนัก อาการนี้ จะเรียกว่า ขณิกสมาธิ
ในจังหวะที่จิตเป็นขณิกสมาธิ ตั้งมั่นเพียงชั่วครู่ แล้วในจังหวะนั่นเอง นักภาวนาเกิดมีความคิดที่หยาบ ๆ โผล่ขึ้นมา นักภาวนาจะสัมผัสได้ถึงความคิดหยาบ ๆ นั้นได้และเมื่อสัมผัสความคิดหยาบ ๆ นั้นได้ ความคิดหยาบ ๆ นั้นจะดับลงไปทันที นี่คืออาการของวิปัสสนาที่จิตไปพบความจริงของจิตปรุงแต่งหรือสังขารขันธ์ ในขันธ์ 5 ทีเป็นแปรปรวนเป็นไตรลักษณ์
(หมายเหตุ ความคิดนั้น จะมีแบบละเอียด ที่สัมผัสได้ยาก และ ความคิดหยาบ ทีสัมผัสได้ง่าย สำหรับนักภาวนาที่เพิ่งเริ่มต้น จิตยังไม่ตั้งมั่นมากนั้น จะสามารถสัมผัสความคิดหยาบ ๆ ได้ก่อน )
อาการที่จิตเห็นไตรลักษณ์แบบนี้คือ ปัญญา ที่เกิดขึ้นในจิต
******
กลับมาที่คำถามทีว่า ทำสมาธิให้จิตนิ่งไม่ได้ แล้วไปดูความคิดแทน ถูกหรือไม่
เรื่องนี้ มีประเด็นทีต้องพิจารณา 2 ประเด็น คือ
ประเด็นที่ 1... ทำสมาธิให้จิตนิ่งไม่ได้
ในคนที่จิตยังมี อวิชชา จิตจะแบ่งเป็น 2 ฝาก ฝากที่หนี่ง เรียกว่า จิต หรือ บางท่านเรียกว่า จิตผู้รู้ และ อีกฝากหนี่ง เรียกว่า มโน
ถ้านักภาวนายังไม่มีกำลังจิตที่ตั้งมั่นเป็นสัมมาสมาธิอย่างพอเพียง จิตผู้รู้ มักจะไหลรวมเข้าไปเกาะยีดกับสภาวธรรมต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นใน มโน ซี่งใน มโน นั้น อาการต่าง ๆ ของขันธ์ 5 จะแปรปรวนอยู่ในนั้นอยู่แล้ว ทำให้นักภาวนารู้สึกว่า จิตไม่นิ่ง
แต่สำหรับนักภาวนาที่มีสัมมาสมาธิพอสมควร จิตเป็นอิสระบางครั้ง จิตไม่ไหลเข้าไปเกาะติดกับสภาวธรรมต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นใน มโน ถ้าเป็นอาการอย่างนี้ นักภาวนาจะสัมผัสกับตัว จิตผู้รู้ ที่เป็นอิสระอยู่ และ จะเห็นได้เองว่า จิตผู้รู้ นี่นิ่งอยู่แล้ว โดยไม่ต้องไปทำอะไร มันก็นิ่งโดยธรรมชาติของมันอย่างนั้นเอง
สำหรับการทำสมาธิแบบฤาษี ที่ให้จิตไปยีดเกาะกับอะไรสักอย่างหนี่ง การยีดเกาะแบบนี้ ถ้าจิตยีดเกาะกับสภาวะที่ไม่ใช่เป็นสังขารขันธ์หรือจิตปรุงแต่งหรือความคิด นักภาวนาจะรู้สึกได้ว่า จิตมันนิ่ง เพราะการไปยีดเกาะของจิตนี้ จะไปกดความคิดเอาไว้ ไม่ให้โผล่ขึ้นมา แล้วนักภาวนาจะรู้สึกว่าดีจริง จิตนิ่งดีมาก แต่ว่า การทำแบบนี จิตไม่เป็นอิสระ จิตยังไปยีดเกาะกับอารมณ์ ซี่งไม่ใช่สัมมาสมาธิ แต่ก็มีคนพูดว่า นีคือการทำสมถภาวนา คำกล่าวนี้ไม่ผิด แต่ทว่ามีข้อควรพิจารณาต่อไปให้ละเอียดสักหน่อยในการใช้งานของสมถภาวนา......
สมถภาวนานั้น จิตสงบขึ้น นี่คือเป้าหมาย แต่อาการจิตสงบนั้น มี 2 แบบ คือ แบบที่ไม่เกื้อหนุนให้เกิดวิปัสสนาปัญญา คือ จิตไม่เป็นอิสระ จิตถูกกดข่มไว้ และอีกแบบ คือ จิตสงบแต่เกื้อหนุนวิปัสสนา ที่จิตสงบเพราะจิตตั้งมั่นเป็นสัมมาสมาธิ จิตไม่เข้าเกาะติดกับสภาวธรรมต่างๆ
สงบทั้ง 2 แบบไม่เหมือนกัน และ ผลที่ได้ก็ต่างกัน
การทำความสงบแบบกดข่มจิตนั้น เป็นสิ่งทีดีสำหรับทางโลกสเหมาะสำหรับคนทั่วๆไปที่กำลังจิตยังอ่อนแออยู่ ที่คนต้องกดข่มจิตใจตนเองไม่ให้ตกลงไปในความชั่วที่สังคมจะมองว่าการกระทำอย่างนั้นไม่ดี แต่ไม่เหมาะสำหรับทางธรรมเพื่อการหลุดพ้นออกจากกองทุกข์
แต่ถ้าคนที่มีกำลังจิตเป็นสัมมาสมาธิทีตั้งมั่นดี เขาไม่ต้องกดข่มจิตเลย เพราะจิตเขาเป็นอิสระ สงบอยู่แล้วโดยธรรมชาติของจิตเอง เป็นสมาธิที่ตั้งอยู่ได้เอง โดยไม่ต้องไปทำอะไร
ประเด็นที่ 2 เมื่อทำจิตนิ่งไม่ได้ ไปดูความคิดแทน ถูกหรือไม่
ประเด็นนี้ จะต่อเนื่องจากประเด็นที่ 1 ต่อไป การไปดูความคิดนั้น มีหลักการอยู่ว่า ถ้านักภาวนาไปเฝ้าดูความคิดด้วยความจงใจ ถ้าอย่างนี้ ผมไม่แนะนำให้ทำ
แต่ถ้าการไปเห็นความคิด เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเอง นักภาวนาเพียงแต่มีความรู้สึกตัวอยู่ ไม่ได้จงใจเฝ้าดูอาการสิ่งใดสิ่งหนี่งโดยเฉพาะ แล้วนักภาวนาเห็นความคิดมันโผล่มาแล้วดับลงไปในเวลาไม่นานนัก ถ้าเป็นอย่างนี้ คือ สิ่งที่ผมแนะนำให้ทำ
**********
สรุปสิ่งที่ถามมา
ในการฝีกฝนสัมมาสมาธิเพื่อให้จิตตั้งมั่นเป็นอิสระจากการยีดเกาะนั้น นักภาวนาไม่สมควรมีความอยากที่จะรู้สภาวะธรรม เช่น เวลาเดินจงกรม ก็ส่งจิตไปที่เท้าเพื่อดูอาการกระทบสัมผัสที่เท้า หรือ เวลาดูลมหายใจ ก็ส่งจิตไปรู้ลมที่ปลายจมูก เพราะการส่งจิตไปดังกล่าว จิตจะไม่ตั้งมั่นเป็นสัมมาสมาธิ จิตรู้สัมผัสก็จริง จิตรู้ลมหายใจก็จริง แต่จิตไม่ตั้งมั่น จิตไหลไปที่เท้าบ้าง ไหลไปที่ปลายจมูกบ้าง ถ้าทำอย่างนี้ ความก้าวหน้าสู่สัมมาสมาธิจิตตั้งมั่นจะไม่เกิดขึ้นเลย แต่จะได้สมาธิแบบฤาษีขึ้นมาแทน
เมื่อนักภาวนาฝีกฝนสัมมาสมาธิบบนี้ไปเรื่ีอย ๆ นักภาวนาจะเริ่มมีขณิกสมาธิเกิด พบสภาวะธรรมเป็นไตรลักษณ์เป็นครั้ง ๆ ไป การพบสภาวะธรรมแบบนี้ จะทำให้จิตมีปัญญา เมื่อจิตเริ่มมีปัญญา ก็จะส่งผลให้จิตตั้งมั่นมากขึ้น เมื่อจิตตั้งมั่นมากขึ้นอีก จิตก็จะพบกับสภาวธรรมทีเป็นไตรลักษณ์มากขึ้นอีก จิตก็ยิ่งมีปัญญามากขึ้นอีก มันจะส่งผลเสริมกันไปอย่างนี้เรื่อย ๆ จนจิตสามรถพบกับอสังขตธรรมได้ แล้วการพ้นทุกข์ก็จะเกิดขึ้นได้ด้วยเหตุและปัจจัยอย่างนี้
จิตตั้งมั่นเป็นอิสระอย่างถึงที่สุด ธรรมก็จะปรากฏให้สัมผัสได้เอง