ธรรม นั้นมีอยู่แล้ว เพียงแต่แปรเปลี่ยนไปตามเหตุปัจจัย คนเลยไม่เข้าใจธรรม
ธรรม นั้นมีอยู่แล้ว เพียงแต่แปรเปลี่ยนไปตามเหตุปัจจัย คนเลยไม่เข้าใจธรรม
จากน้ำที่จืดสนิท ถ้าใส่เกลือลงไปในน้ำนั้น น้ำจะเปลี่ยนรสไป การที่น้ำเปลี่ยนรส เพราะเหตุปัจจัยนี้
ธรรม นั้นก็เช่นกัน ของบริสุทธิมีอยู่ แต่เพราะเหตุและปัจจัย ทำให้ของบริสุทธิกลาย เป็นของไม่บริสุทธิขี้นมา แต่เพราะคนไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงนี้ คนจึงไม่เข้าใจธรรม เมื่อคนไม่เข้าใจธรรม ก็เป็นทุกข์เพราะเหตุและปัจจัยที่ผสมเข้ากับความบริสุทธิ
คนไม่เข้าใจธรรม เพราะ คนไม่เห็นการเปลียนแปลงนี้ว่าเกิดเพราะอะไร การเข้ามาปฏิบัติ เพื่อ่ให้เห็นการเปลี่ยนแปลงนี้ได้ เมื่อนักภาวนาสามารถเห็นการเปลี่ยนแปลงนี้ได้ จึงจะเรียกว่า เกิดดวงตาเห็นธรรม
การภาวนา เพื่อให้เกิดดวงตาเห็นธรรม เพื่อไปเห็นการเปลี่ยนแปลง
การจะเกิดดวงตาเห็นธรรมได้ ตัวจิตต้องไม่เข้าไปผสมร่วมกับการเปลี่ยนแปลง ที่ตัวจิตเข้าไปผสมร่วมกับการเปลี่ยนแปลง เพราะแรงของตัณหาที่ดึงตัวจิตเข้าไปผสม
สัมมาสมาธิที่จิตตั้งมั่นเท่านั้น จึงจะสามารถต้านแรงดึงของตัณหาได้
นี่คือกุญแจหลักที่จะเกิดดวงตาเห็นธรรม คือ สัมมาสมาธิจิตตั้งมั่น เมื่อจิตตั้งมั่นแล้ว ธรรมก็จะเห็นได้เอง
แล้วจะทำอย่างไรให้เกิดสัมมาสมาธิจิตตั้งมั่น คำตอบก็คือ การฝีกฝนหัดให้จิตตั้งมั่นครับ
ฝีกด้วยให้จิตสัมผัสอาการของขันธ์ 5 แต่อย่าตามอาการเหล่านั้นไป เพียงรู้ แล้วไม่ตามไป ฝีกอย่างนี้เรื่อยๆ จิตก็จะตั้งมั่นขึ้นมาทีละนิดอย่างช้า ๆ ขณะที่จิตเริ่มตั้งมั่นบ้างเล็กน้อย ที่เรียกว่า ขณิกสมาธิ จิตก็สามารถเห็นธรรม ได้ในระดับหนี่งแล้ว พอจิตเห็นธรรมได้บ้าง จิตก็เกิดปัญญาขึ้น ปัญญาที่เกิดนี้ ก็จะเป็นแรงส่งให้จิตตั้งมั่นมากขึ้นอีก เมื่อจิตตั้งมั่นมากขึ้นอีก ปัญญาก็เกิดมากขึ้นอีก ก็เป็นแรงส่งให้มากขึ้นอีก วนเวียนอย่างนี้ เป็น positive feedback จนจิตตั้งมั่นอย่างถึงที่สุด จิตก็จะพบกับธรรมที่บริสุทฺธิ ได้เอง
นักภาวนาที่พัฒนาจิตจนตั้งมั่นได้อย่างมากพอ เขาจะเห็นตัวจิตทีตั้งมั่นได้ เขาจะรูุ้ได้เองเลยว่า จิตตั้งมั่นมีอาการอย่างนี้ จิตไม่วิ่งออกจากฐานเพื่อ ไปวงกลมที่ 2 หรือไปวงกลมที่ 3 ใครเห็นจิตตั้งมั่นอย่างนี้ได้ คือ ผู้เห็นธรรม ที่แท้จริง เกิดดวงตาเห็นธรรมทีแท้จริง แต่ถ้ายังเห็นไม่ได้ แล้วบอกว่า ทำอย่างนี้ซิ ไม่มีทุกข์เลย แสดงว่า นั่นยังไม่ใช่ธรรมที่พบจริง แต่ยังเป็นเพียงความคิด ของตนเอง
เคร็ดลับการฝีก คือ รูุ้สัมผัสของขันธ์ 5 แต่ไม่ตามสัมผัสนั้นไป หรือ ทีผมเรียกว่า การรูุ้ทุกข์ที่ไร้ตัณหา รู้แล้วแต่ไม่ตามไป ฝีกอย่างนี้ไปเรื่อยๆ รู้แล้วแต่ไม่ตามไป
แล้วที่รู้แล้วตามไปละเป็นอย่างไร เช่น เดินจงกรมส่งจิตไปรู้การกระทบที่เท้า นั่งสมาธิดูลมหายใจ ส่งจิตไปรูุ้ลมที่ปลายจมูุก เวลาเคลื่อนมือแบบหลวงพ่อเทียน ส่งจิตไปจับการเคลื่อนไหวที่มือ สิ่งเหล่านี้ คือ การตามไป ซึ่งไม่สมควรกระทำแบบนี้
ฝีกไปเรื่อยๆ รู้อาการของขันธ์ 5 แต่ไม่ตามไป แล้วจิตจะตั้งมั่นขึ้นมาเรื่อยๆ เอง แล้วธรรมก็ปรากฏออกมาเอง ไม่ต้องไปถามใครในธรรมอีก เพราะเห็นธรรมได้เองแล้ว
อย่าท้อนะครับ เดินหลักนี รูุ้ทุกข์ที่ไร้ตัณหา เดินไปเรื่อย
*** fb 29 Aug 2012
Create Date : 29 สิงหาคม 2555 |
|
1 comments |
Last Update : 29 สิงหาคม 2555 20:20:00 น. |
Counter : 1592 Pageviews. |
|
|
|
กิจกรรมคร้งที่ 3
https://www.bloggang.com/mainblog.php?id=namasikarn&month=14-03-2012&group=15&gblog=111
และ
กิจกรรมเสริม 13 กรกฏาคม 2555
https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=namasikarn&month=07-2012&date=04&group=14&gblog=11