เมื่อธรรมแท้ ๆ สอนกันไม่ได้ แล้วคนที่ปฏิบัติสติปัฏฐานจะรู้จักธรรมได้อย่างไรกัน
1..บทความเรื่อง " เมื่อธรรมแท้ ๆ สอนกันไม่ได้ แล้วคนที่ปฏิบัติสติปัฏฐานจะรู้จักธรรมได้อย่างไรกัน " เขียนขึ้นจากประสบการณ์ภาวนาของตัวผู้เขียนเอง เรื่องนี้ เป็นเรื่องสำคัญ ที่นักปฏิบัติธรรมที่คาดหวังมรรคผลควรศึกษาให้เข้าใจให้ดี เพื่อการเดินทางในองค์มรรคต่อไป . 2...ถ้าท่านเป็นนักภาวนา และได้ค้นหาในอินเตอร์เนท ท่านจะพบว่า นักปฏิบัติไทยจำนวนมากทีเดียว ที่เข้าใจว่า ถ้าได้นั่งสมาธิติดต่อกันนาน ๆ หลายชั่วโมง แล้วจะพบธรรมได้ ซึ่งความเข้าใจนี้ จากประสบการณ์ของผู้เขียนเองจะเป็นว่า ความเข้าใจนี้เป็นไปไม่ได้เลย . 3..การพบธรรมของนักปฏิบัติ มีทางเดียว คือ ต้องเกิดการ เห็นได้ด้วยญาณ ของกลไกการทำงานของตัวจิตเอง ขณะที่ ญาณ เกิด ในตอนที่เห็นกลไกการทำงานของจิตนั้น จะเป็นเวลาสั้น ๆ เพียงเสี้ยววินาทีเดียว และตัวจิตของนักปฏิบัติต้องสมบูรณ์พร้อมด้วย สติ สมาธิ และ ญาณ ที่เป็นธรรมชาติแท้ ๆ โดยไม่มีความจงใจ หรือ ไม่มีความคิดปรุงแต่งใด ๆ เกิดอยู่ในขณะนั้น . ถ้าใครได้อ่านพระไตรปิฏก จะพบข้อเขียนว่า เมื่อพระพุทธองค์ทรงปรินิพพานแล้ว ตอนนั้น พระอานนทื ได้เป็นโสดาบันแล้ว และต่อมา พระมหากัสสป มีดำริว่า จะทำสังคยานาคำสอนของพระพุทธองค์ และได้เชิญพระอานนท์มาเข้าทีมงานด้วย จากเหตุผลที่พระอานนท์ที่ได้เคยฟังธรรมจากพระโอษฐ์ของพระพุทธองค์มามาก แต่ติดที่พระอานนท์ยังไม่เป็นพระอรหันต์ พระอานนท์จีงพากเพียรอย่างมากเพื่อให้พบธรรมให้ทันต่อการสังคยานา . ตอนที่พระอานนท์พบธรรม นั้น ท่านได้เหนื่อยอ่อนจากการเดินจงกรมอย่างหนักมาก่อนหน้าแล้ว โดยท่านคาดหวังว่า จะต้องพบธรรมให้ได้ เพราะพรุ่งนี้ ก็จะเป็นวันเริ่มต้นของการทำสังคยานาแล้ว แต่ตัวพระอานนท์ท่านเดินจงกรมมากอย่างไร ก็ไม่อาจพบธรรม ต่อเมื่อ ท่านมีดำริว่า จะพักสักหน่อย ค่อยมาทำต่อในการภาวนา ในขณะที่ตัวท่านอยู่ในทาเอนกาย กี่งนั่งกึ่งนอน ท่านก็พบธรรม ทันที . เรื่องพระอานนท์พบธรรม ก็บอกได้ถึง ความเป็นธรรมชาติแท้ ๆ ได้เกิดขึ้น ในขณะที่กำลังเอนกายอยู่ แล้ว สติ สมาธิ ญาณ ได้ทำงาน เห็นกลไกการทำงานอะไรบางอย่างของตัวจิต เพียงแว๊บเสี้ยววินาทีเดียวเท่านั้น ท่านก็เห็นธรรมนั้นได้ . ทำไม การนั่งสมาธินาน ๆ จึงไม่อาจพบธรรมได้ เพราะการนั่งสมาธิ จิตยังเจือด้วยความจงใจในตัวจิตอยู่ ซี่งทำให้ จิตไม่เป็นธรรมชาติ เมื่อ จิตเจือความจงใจ สติ สมาธิ ญาณ ก็ไม่อาจเดินในการเห็นกลไกของตัวจิตได้ ... 4...ยังมีความเข้่าใจทีคลาดเคลือนของนักภาวนาไทยอีกเรื่องก็คือ ถ้าได้พบธรรม เพียงครั้งเดียว ก็จะสำเร็จธรรมเป็นพระอรหันต์ เรื่องนี้ เป็นไปไม่ได้อีกเช่นกัน . ในตัวจิตนั้น จะมีกลไกทำงานอยู่ 2 ส่วน คือ จิตผู้รู้ และ จิตพลังงาน . เมื่อนักภาวนามือใหม่ มาปฏิบัติสติปัฏฐาน การเห็นธรรมของนักภาวนามือใหม่ เมื่อได้ ปฏิบัติสติปัฏฐานที่ตรงทางแห่งมรรคได้มากพอก็จะเกิดขึ้นได้ การเห็นธรรมในนักภาวนาระดับนี้ ด้วย ญาณ จะเป็นการเห็นกลไกการทำงานของตัวจิตพลังงาน . แต่ถ้านักภาวนามือเก่า ที่ผ่านการเห็นกลไกของจิตพลังงานมาอย่างโชกโชนแล้ว การเห็นธรรมด้วย ญาณ จะเป็นการเห็นกลไกการทำงานของตัวจิตผู้รู้ การเห็นธรรมที่เกียวเนื่องกับกลไกของจิตพลังงานและจิตผู้รู้ ไม่ใช่เห็นเพียงครั้งเดียว แต่จะเห็นได้ นับสิบ นับร้อยครั้งที่เดียว กว่า จะเข้าใจกลไกของจิตทั้งสองได้ดีพอ การได้เห็นกลไกการทำงานของจิตทั้งสอง ยิ่งเห็นมากเท่าใด จะส่งผลให้มีประสบการณ์ในการเห็นกลไกของจิตมากขึ้นการเห็นกลไกการทำงานของจิตได้หลายครั้ง ที่สร้างประสบการณ์การเห็นตัวจิตได้ จะส่งผลให้ ตัวสติ นั้นมีการทำงานที่รวดเร็วมากขึ้น ยิ่งเห็นกลไกของจิตมากครั้งเท่าใด สติ ก็จะยิ่งทำงานได้รวดเร็วมากขึ้นเท่านั้น การทีสติทำงานรวดเร็ว สติจะประสานการทำงานกับ สมาธิ และ ญาณ พอจิตไหวตัวเพราะกิเลสกำลังก่อตัว แต่ยังไม่เกิดกิเลสออกมา สติที่ว่องไว ทำงาน ร่วมกับ สมาธิ และ ญาณ ก็จะเห็น แล้ว กิเลสที่กำลังก่อตัวแต่ยังไม่เกิดขึ้น ก็สลายตัวไปทันทีอย่างรวดเร็ว โดยทีตัวนักภาวนาไม่ต้องทำอะเไรเลย กลไกการสลายตัวของกิเลส เกิดขึ้นเองแวีบเดียวสั้น ๆ พระพุทธองค์ได้ทรงเปรียบธรรมดังใบไม้ในกำมือ และ ใบไม้ในป่าใหญ๋ ธรรมก็่เช่นเดียวกัน การเห็นธรรมที่เป็นกลไกของตัวจิตได้ จะไม่มีวันหมดสิ้น นักภาวนาทีสามารถเห็นธรรมได้แล้ว ก็จะเห็นได้เรือยๆ เป็นการเห็นธรรมใหม่ๆ ไม่ซ้ำของเดิมอีก การเห็นธรรมได้เองแบบนี้ จะเหมือนการต่อ Jigsaw ที่ประติดประต่อ เรื่องราวของจิตได้ดีขึ้นไปเรื่อย ๆ ทำให้เข้าใจธรรมได้ดีขึ้นไปเรื่อยๆ สรุป ก็คือ ธรรม นั้น สอนกันไม่ได้ บอกไปก็ไม่เข้าใจ ต้องปฏิบัติตามเส้นทางแห่ง มรรคไปเรื่อย ๆ แล้ว รอเวลาให้ สติ สมาธิ ญาณ ทำงานไปเห็นกลไกของจิตได้เอง การเห็นได้นี่แหละ จะเป็นสิ่งที่บอกว่า ท่านได้พบธรรมได้บ้างแล้ว แต่ยังไม่มากพอ ที่จะต่อการต่อสู้กับกิเลสได้เด็ดขาด . ขอให้ฝีกฝนต่อไปเรื่อย ๆ ถ้า สติ สมาธิ ญาณ มีพลังมากและว่องไว กิเลส ถึงยังมีอยุ่ ก็ไม่อาจโผล่ออกมาได้ จะถูกทำลายทันทีตั้งแต่ยังไม่ปรากฏตัว 5..ถ้าท่านเป็นนักภาวนาที่คาดหวังมรรคผล และปฏิบัติมานานเกินกว่า 5 ปีขึ้นไป ถ้าท่านยังไม่เคยเห็นกลไกการทำงานของจิตแม้แต่ครั้งเดียวละก็ ผู้เขียนขอแนะนำว่า ท่านน่าจะมีอะไรปฏิบัติผิดไปจากองค์มรรคแล้ว หาสิ่งนั้นให้พบ แล้วปฏิบัติใหม่ให้เข้ากับองค์มรรค 6..บทความนี้ ไม่ได้ให้เชื่อ แต่แนะนำให้ท่านพิสูจน์เอง
Create Date : 26 ตุลาคม 2565
Last Update : 26 ตุลาคม 2565 18:49:36 น.
0 comments
Counter : 371 Pageviews.
Location :
[ดู Profile ทั้งหมด]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 142 คน [? ]
หลักปฏิบัติ ...รู้สึกตัว ผ่อนคลาย เฉย ๆ สบาย ๆ มากกว่า 20 ปีที่ไปหลงทำสมถภาวนาแบบสมาธิแบบฤาษีโดยที่ไม่รู้จักกับคำว่า อะไรคือสัมมาสติ สัมมาสมาธิ ผลที่ได้คือความสงบขณะกำลังนั่งสมาธิจนตัวนิ่งแข็งเป็นก้อนหิน แต่ผลข้างเคียงตามมาก็คือการเป็นคนเจ้าโทสะอย่างรุนแรงขณะเวลาไม่ได้นั่งสมาธิ และ ที่อยู่ในชีวิตประจำวัน.... จนได้พบกัลยณมิตรแดนไกล ที่ได้ชักนำให้มารู้จักวิธีปฏิบัติแบบหลวงพ่อเทียน จนได้พบกับพระอาจารย์ในสายหลวงพ่อเทียน ที่ผมได้เรียนการปฏิบัติจากท่าน จนเข้าใจว่า สัมมาสติ สัมมาสมาธิ คืออะไร แล้วลงมือฝึกฝน การปฏิบัติก็รุดหน้าและได้ลิ้มรสสิ่งบริสุทธิในจิตใจอันเป็นผลจากการปฏิบัติด้วยเวลาเพียง 5 ปี ธรรมปฏิบัติจากฆราวาสเขียนเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ยากในสังคมไทย ผมรู้ได้จากที่เขียนใน blog ผมได้พบกับการก่อกวนใน blog การเขียนเหน็บแนม กระแหนะกระแหน ตำหนิการการปฏิบัติที่ผมเขียนใน blog ว่าผิดทาง เขียนแบบคาดเดาเอา ไม่รู้จริง ให้ผมหยุดเขียนแนวนี้ได้แล้ว และไปโมทนาสาธุแนะนำการปฏิบัติสมาธิแบบฤาษีให้กับผมอีกว่านี่คือทางที่ถูกต้อง ... บทความใน blog จึงเกิดขึ้นมา เพื่อแบ่งปันประสบการณ์ในการภาวนา แก่ผู้อื่นที่กำลังเดินทางในสายแห่งอริยมรรคนี้ เมื่อท่านได้เข้ามาอ่านข้อเขียนใน blog กรุณาอย่าได้เชื่อผมจนกว่า ท่านได้ทดลองปฏิบัติแล้วและพิสูจน์ด้วยตัวท่านเอง **กรุณา .อย่า.ได้บริจาคเงินให้ blog ผมทาง e-wallet ครับ ** ****** บทความต่าง ๆ ใน blog นี้ ขอสงวนสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 ห้ามนำไปดัดแปลง ลอกเลียน หรือนำส่วนหนึ่งส่วนใดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ****