ดูสภาวะธรรมอย่างไรในการปฏิบัติตามแนวทางหลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ
เรื่องก่อนหน้าที่ได้เขียนไว้แล้ว แนะนำให้อ่านก่อนถ้าท่านยังไม่เคยอ่านมา
เรื่องที่ 1 เคร็ดวิชาการภาวนาแบบหลวงพ่อเทียน
เรื่องที่ 2 ให้รู้สึกของหลวงพ่อเทียน คือ ??
เรื่องที่ 3 รู้สึกตัวอย่างไรในการภาวนา
เมื่อท่านได้ศึกษาหลักการตามเรื่องทั้ง 3 เรื่องข้างบนเข้าใจดีแล้ว ทีนี้ก็ได้เวลาลงมือการภาวนาได้จริง ๆ กันสักที
วิธีการเคลื่อนมือของหลวงพ่อเทียนนั้น ไม่ใช่สักแต่ว่า ขยับมือไปตามรูปแบบทีท่านสอนพร้อมด้วยความรู้สึกตัว หลวงพ่อท่านเน้นหนักว่า **ให้รู้สึก** ท่านก็สมควรจะ *ให้รู้สึก* ตามที่หลวงพ่อท่านสอน มาลงมือกันเลยครับ
เมื่อท่านนั่งได้ที่แล้ว อย่าเพิ่งได้ขยับมือ ขอให้ท่านนั่งเฉยๆ สบายๆ นั่งอย่างผ่อนคลาย อย่าได้เกร็งร่างกาย สักครู่หนึ่ง นี่คือท่าเริ่มต้น ที่สำคัญมาก ๆ แต่คนจะมองข้ามไป ทำให้การภาวนาไม่ตรงครับ
นั่งเฉยๆ สบาย ๆ เพื่ออะไร ... ท่าแรกเริ่มนี้ ท่านสมควรนั่งเฉยๆ สบาย ๆ อย่าได้คิดอะไร อย่าได้ทำอะไร เฉยๆ อย่างนั้นแหละ ให้นั่งสักครู่้ แล้วขอให้ท่านสังเกตจิตใจของท่านเอาไว้ว่า มันจะเฉยๆ นิ่ง ๆ อยู่ เพราะท่านไม่ได้ทำอะไร ไม่ได้คิดอะไร อาการที่ท่านรู้สึกถึงได้ของอาการนิ่งๆ เฉยๆ ของจิตใจนี้แหละ สำคัญมาก ผมจะเปรียบเหมือนผ้าที่วางไว้แล้วแผ่ออกที่พื้น แต่ไม่มีรอยยับอะไรเลย
ถ้าท่านสังเกตอาการของจิตที่เฉยๆ นี้ได้แล้ว ค่อยเริ่มขยับมือทีละจังหวะไปตามรูปแบบที่หลวงพ่อท่านสอน
เนื่องจากการเีขียนของผม เป็นการบอกถึงวิธีการ *ให้รู้สึก* แก่ท่านในการปฏฺบัติจริง ผมขอให้ท่านผ่านไปที่จังหวะยกมือขึ้นเลย โดยข้ามจังหวะพลิกผ่ามือไปก่อน เพราะจังหวะพลิกผ่ามือ การพลิกมือจะใช้เวลาสั้นและเบาเกินไป มือใหม่อาจจะรับรู้อาการ * ให้รู้สึก * ไม่ได้
ขอให้ท่านจากท่านั่งนิ่งแล้วเคลื่อนมือยกขี้นไปเลย
ขอให้ท่านสังเกต เวลาที่มือเคลื่อนขึ้้น จากความรู้สึกที่นิ่งๆ ตอนนั่งเฉยๆ ท่านจะสามารถรับรู้อาการ *กระฉอก* ของจิตใจได้ มันจะวูบขึ้นมาในความนิ่งของจิตใจนั้น ขอให้ท่านลองทำหลาย ๆ ครั้งว่า สามารถรับรู้อาการกระฉอกนี้ได้หรือไม่
อาการกระฉอก ก็คือ สภาวะที่แปรเปลี่ยนไปที่เกิดในจิตใจที่นิ่ง ๆ เมื่อก่อนหน้านี้ เมื่อกี้นิ่ง แต่พอเคลื่อนมือ มันจะไหว ๆ วูบ ๆ ไม่นิ่งแล้ว ซึ่งเปรียบเหมือนผ้าที่เรียบ ๆ เมื่อกี้นี้ มีรอยยัีบย่นเกิดขึ้น
ถ้าท่านรุ้สึกได้ถึง อาการนิ่ง อาการกระฉอก ได้แล้ว ถือว่า ท่านเข้าใจ *ให้รู้สึก*ได้แล้ว
อาการกระฉอกที่เกิดขึ้นในขณะเคลื่อนมือ นั้นจะมีอาการที่ไหวตัวอันเนื่องมาจากการเคลื่อนมือ และ บางครั้งนักภาวนาจะพบอาการเผลอวูบหนึ่งสั้น ๆ ในขณะที่เริ่มเคลือนมือด้วย หรือ บางครั้งอาการคิดก็เกิดขึ้น ก็จะวูบแบบนี้เหมือนกัน
พอท่านเคลื่อนมือขึ้นแล้วหยุด จังหวะหยุดนี้แหละ ก็ให้ท่านค้างไว้ที่ท่านั้นก่อน นั่งนิ่ง ๆ ค้างมือไว้ แล้วสังเกตอาการจิตใจนิ่งๆ เหมือนตอนท่าแรกเริ่ม แล้วก็เคลื่อนต่อไป แล้วหยุด วนเวียนแบบนี้ไปจนครบ 14 จังหวะ
หลวงพ่อท่านสอนการเคลื่อนมือนี้ ถ้าทำอย่างที่ผมว่าไว้ จะตรงกับคำสอนในพระไตรปิฏกเลยว่า อาตาปี สัมปชาโน สติมา การรับรู้วูบ ๆ นี่แหละ คือ ตัวสติที่ไปรับรู้อาการของกายหรืออาการของจิตใจทีมันสั่นไหว แปรเปลี่ยน
นักภาวนามือใหม่ ๆ นั้น พอเกิดวูบขึ้น จิตของนักภาวนาอาจจะไหลไปยึดอาการวูบ แล้วเกิดเผลอไปแว๊บหนึ่ง เผลอไม่เป็นไรนะครับ ให้เริ่มนิ่งใหม่แล้วเคลื่อนต่อไป เช่นเดียวกับอาการเผลอไปคิด ก็ไม่เป็นไร ให้เริ่มใหม่แล้วเคลื่อนต่อไป
เมื่อท่านสามารถสัมผัส อาการเผลอ อาการคิด ได้ที่มันวูบ ๆ นี่ ท่านไม่ต้องไปกังวลใจแต่ประการใด อย่าได้ไปทำอะไรเพิ่ม เพื่อไม่ให้เผลอ เพื่อไม่ให้คิด เช่นไปเพ่งมือ หรือไปตรึงความรู้สึกตัว อย่าได้ไปทำเด็ดขาดเลยนะครับ
พอท่านฝึกไปเรื่อย ๆ ระยะแรก ๆ ท่านอาจจะเผลอมาก หลงไปคิดมาก นี่เป็นเพราะว่ากำลังสัมมาสติของท่านอ่อนแอ เมื่อท่านฝึกไปตามที่ผมบอก ซึ่งก็คือ อาตาปี สัมปชาโน สติมา ฝึกบ่อยๆ กำลังสัมมาสติของท่านจะเพิ่มขึ้นเอง พอกำลังสัมมาสติเพิ่มขึ้นเองเพราะการฝึกฝนให้จิตไปรับรู้อาการต่างๆ ที่มันกระฉอกบ่อยๆ ในขณะฝึก อาการเผลอ อาการหลงคิดก็จะค่อยๆ ดีขึ้นไปเอง แต่ถึงอย่างไรก็ยังมีอยู่นะครับ มันไม่หายไปหรอก เพราะนี่คืออาหารของจิต เพื่อให้จิตของท่านกิน ให้จิตมีกำลังวังชาแน่นขึ้น พอท่านจะฝึกไปนาน ๆ หลายๆ เดือน และได้ผลแล้วนั่นแหละ จึงจะเข้าที่เข้าทาง
** ทำไมวิธีการของหลวงพ่อต้องวนมือไปมามากแบบในการฝึุก.... คำตอบก็คือ วิธีการของหลวงพ่อเป็นวิธีการที่ชาญฉลาดมากครับ ที่ท่านคิดแบบฝึกนี้ออกมา เพื่อให้ผุ้นักภาวนาเกิดการเผลอ เกิดการคิดขึ้นในขณะฝึกฝน แล้วให้สติไปรับรู้อาการเผลอ อาการคิดนี่แหละครับ เพื่อช่วยเพิ่มกำลังสัมมาสติ สัมมาสมาธิ นี่คือ สิ่งที่หลวงพ่อเท่านบอก * ให้รู้สึก * ซึ่งก็คือ การรับรู้อาการกระฉอกเหล่านี้นั้นเอง
**รับรู้อาการกระฉอกไปเรื่อยๆ ผลจะเป็นอย่างไร คำตอบก็คือ เกิดสัมมาสติ สัมมาสมาธิทีตั้งมั่นครับ พอจิตมีกำลังสัมมาสมาธิตั้งมั่นได้พอประมาณ จิตจะเกิดการแยกตัวออกเป็นผุ้รู้ ผุ้ดู แล้วไปเห็นความคิดได้ พอจิตแยกตัวออก แล้วเห็นความคิดได้ นี่คือ การเริ่มได้ผลในการภาวนาตามที่หลวงพ่อท่านบอกไว้ การเห็นความคิดนี้ จะทำให้นักภาวนาเข้าใจคำสอนของพระพุทธเจ้าได้ว่า ขันธ์ 5 ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ท่านจะเข้าใจได้เองทันทีที่เห็นความคิดได้ นี่คือปัญญาในการภาวนา
ถ้าท่านยังไม่เห็นความคิดแบบนี้ว่า ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของ ๆ เรา แต่หลงไปว่า ดีจริงๆ ไม่มีความคิดเกิดเลย ไม่มีกิเลสเกิดเลย เพราะปฏิบัติผิดทาง ท่านก็จะไม่มีปัญญา ท่านสมควรจะพิจารณาตรวจสอบการฝึกของท่านใหม่ได้แล้ว
ผลของการภาวนานั้น การเห็นความคิดเป็นเพียงการได้ผลขั้นเริ่มต้นเท่านั้น ขอให้ท่านหมั่นฝึกไปเรื่อย ๆ แบบนี้ *ให้รู้สึก* ไปเรื่อยๆ กำลังสัมมาสมาธิยิ่งตั้งมั่นมากขึ้น แล้ว ปัญญาในการเห็นสภาวะธรรมก็จะเพิ่มมากขึ้นไปเรื่อย ๆ เอง ท่านไม่ต้องเปลี่ยนวิธีการฝึกเลย เริ่มต้นอย่างไร ปลายทางก็ฝึกแบบนั้นได้
ผมเชื่อว่า สิ่งที่ผมเขียนเรื่องนี้ จะมีผู้ชำนาญการฝึกสายหลวงพ่อเทียนหลายๆ ท่านไม่เห็นด้วย ผมฝึกแบบหลวงพ่อเทียนมาประมาณ 5 ปี ผมเข้าใจสิ่งที่หลวงพ่อท่านสอนเอาไว้แบบนี้ และได้ผลออกมาแบบนี้ ผมก็มาเขียนแนะนำให้ท่านที่กำลังสนใจแนวทางนี้ เมื่อท่านอ่านแล้วขอให้พิจารณาเอาเองด้วยปัญญาของท่านก็แล้วกันครับ
**คำสอนในพระไตรปิฏก **
สติปัฏฐานสูตร .. อาตาปี สัมปชาโน สติมา สมาธิสูตร ..ภิกษุจงเจริญสมาธิเถิด เมื่อจิตตั้งมั่น จักเห็นธรรมตามความเป็นจริง
Create Date : 14 มิถุนายน 2555 |
Last Update : 14 มิถุนายน 2555 16:44:57 น. |
|
0 comments
|
Counter : 3001 Pageviews. |
|
|