เคร็ดวิชาการภาวนาแบบหลวงพ่อเทียน
เคร็ดวิชาการภาวนาแบบหลวงพ่อเทียน
หลวงพ่อท่านให้เคร็ดวิชาไว้ 2 อย่าง แต่ถ้าคนไม่สังเกตก็อาจจะมองข้ามไป และ ที่ผมเห็นในตอนนี้ นักภาวนาก็มีการข้ามไปแล้วเป็นจำนวนมากแล้ว ผมจึงนำมาจุดประเด็นไว้ในห้องคนเพียรนี้ให้ท่านพิจารณา
เคร็ดวิชาหลวงพ่อข้อที่ 1...ขยับมือไปเป็นจังหวะด้วยความรู้สึกตัว แล้ว **ให้รู้สึก** ที่เบา ๆ
ผมเน้นให้ท่านเห็นคำว่า *ให้รู้สึก* ท่านสามรถไปดูภาพหลวงพ่อเทียนได้ที่วัดสนามใน จะมีคำนี้อยู่ในภาพทุกจังหวะการขยับมือ การภาวนาแบบหลวงพ่อเทียน ไม่ใช่แค่รู้สึกตัว แต่ต้อง รู้สึกตัว และ *ให้รู้สึก* อีกด้วย
หมายเหตุ ให้รู้สึก นี้ ไม่ใช่ส่งจิตไปจ้อง เพียงแต่รู้สึกถึงได้ ดังตัวอย่างเช่น ถ้าท่านกำลังนั่งยกมือยก แล้วเกิดลมเย็นมากระทบกาย ท่านรู้สึกถึงลมที่มากระทบได้ใช่ใหมโดยไม่จ้องว่ามีลมมากระทบ
เคร็ดวิชาหลวงพ่อเทียนข้อที่ 2.. ทำเป็นจังหวะ เคลื่อน-หยุด เคลื่อน-หยุด ไม่ใช่ทำเคลื่อนติดต่อกันไปโดยไม่หยุดเลย
ในขณะที่นักภาวนาทำการเคลื่อนแล้วหยุด เคลื่อนแล้วหยุด จะมีความรู้สึกที่เกิดขึ้นคือ เมือเคลื่อน จะมีความรุ้สึกถึงการเคลื่อน การไหว เกิดขึ้น หรือ การสัมผัสในจังหวะที่ลูบลำตัวอยู่ ความรู้สึกเหล่านี้ นักภาวนาจะ**รู้สึกถึงได้** นี่คือ การรู้ความรู้สึกในเคร็ดข้อที่ 1
ถ้าท่านนักภาวนาใช้ความสังเกตอย่างสบาย ๆ ไม่เพ่งจ้อง นักภาวนาจะพบว่า ในจังหวะที่เริ่มเคลื่อน นักภาวนาบางคนจะสามารถรับรู้ถึงอาการที่เผลอไปนิดหนึ่งได้เมื่อเริ่มเคลื่อน เป็นการเผลอสั่น ๆ เพราะในขณะที่เริ่มเคลื่อน จะมีความคิดเกิดขึ้นเบาๆ ที่สั่งให้มีการเคลื่อนนั้น ๆ นักภาวนาไม่ต้องไปเครียดกับการเผลอสั้นๆ นี้ ถ้านักภาวนาสามารถสังเกตมันได้ ก็เป็นสิ่งที่ดีครับ
ในการภาวนาแบบเป็นจังหวะหยุดแล้วเคลื่อน นั้น ประโยชน์ที่ได้จะมีดังนี้
1.การหยุดแล้วเคลื่อน จะทำให้การเผลอแบบใจลอย (หรือ เพลินไป ) ลดน้อยลงกว่าการเคลื่อนติดต่อกันโดยไม่หยุด
2.การหยุดแล้วกำลังจะเคลื่อน มีสภาวะธรรมเบา ๆ เช่นอาการเผลอสั้น ๆ นิดหนึ่งที่เป็นสภาวะธรรมให้นักภาวนาได้สังเกตได้ การสังเกตสภาวะธรรมแบบนี้ จะช่วยเพิ่มกำลังแห่งสัมมาสติให้แก่นักภาวนา
3.การเคลื่อนหยุดแบบนี้ จะเป็นตัวเสริมให้เกิดความคิดทีไม่ตั้งใจคิดผุดขึ้นมา ซึ่งความคิดที่ไม่ตั้งใจคิดที่ผุดมานี้ พอมันมา ให้สลัดมันทิ้งไป แล้วล่อให้มันเกิดใหม่อีก แล้วก็สลัดทิ้งไปอีก ให้เป็นแบบนี้ไปเรื่อย ๆ การทีความคิดที่ไม่ตั้งใจคิดผุดออกมาเรื่อยๆ เป็นสิ่งที่ดี ที่จะช่วยให้ในการพัฒนากำลังสัมมาสติให้แน่นมากขึ้น ขอให้ทำความเข้าใจให้ตรงที่ว่า ความคิดผุดนี้ไม่ใช่ของไม่ดี ที่ไม่สมควรจะเกิด
เพราะเรากำลังเจริญสติ เราไม่ได้ทำความสงบแบบฌาน ดังนั้น ความคิดยิ่งผุด ก็ยิ่งดี เพียงแต่นักภาวนาเข้าใจการภาวนาให้ตรงตามที่หลวงพ่อท่านสอนไว้ที่ว่า พอความคิดผุด ก็ให้สลัดทิ้งไป ก็เพียงเท่านี้ อย่าไปอารมณ์เสีย หงุดหงิดกับความคิดผุด เพราะนี่คือสภาวะธรรมที่เป็นของดีทั้งนั้น ที่ช่วยในการพัฒนากำลังสัมมาสติครับ
****
คำว่า ให้รู้สึก ที่ผมเขียนไว้ในข้อ 1 ของเคร็ดวิฃานั้น นี่สำหรับมือใหม่ที่เข้ามาภาวนาที่เป็นการรู้ความรู้สึกที่กาย แต่ถ้านักภาวนามือเก่าสามารถรับรู้ความรู้สึกของจิตใจได้ ที่มันเบา ๆ สบายๆ ได้ ก็ให้รู้สึกถึงความรู้สึกนี้ ความรู้สึกของจิตใจที่สามารถรู้สึกถีงได้ นอกจากจะทำให้นักภาวนารู้สึกถึงสภาวะแห่งความสงบเย็นภายในจิตใจแล้ว แต่นักภาวนายังสามารถรู้สึกถึงความรู้สึกที่กายดังที่ผมเขียนไว้ในข้อ 1 พร้อมกันไปด้วยเช่นกัน แต่สำหรับนนักภาวนามือใหม่ ทียังรู้สึกถึงความสงบของจิตใจไม่ได้ ก็รู้สึกที่กายไปก่อนครับ
ผมขอเน้นย้ำ *ให้รู้สึก* ที่ว่า ให้เพียงรู้สึกถึงได้ ทีไม่ใช่เป็นการจ้อง ไม่ใช่เป็นการคิดถึง ไม่ใช่การส่งจิตไปจับบริเวณใดบริเวณหนึ่งที่ต้องการจะรู้สภาวะธรรม ถ้านักภาวนาได้เข้าใจคำว่า ให้รู้สึก ได้ตรงแล้ว ท่านจะภาวนาได้ก้าวหน้าได้ผลที่เร็วกว่า
Create Date : 09 มิถุนายน 2555 |
Last Update : 9 มิถุนายน 2555 9:14:07 น. |
|
0 comments
|
Counter : 2784 Pageviews. |
|
|