รู้สึกตัว ผ่อนคลาย เฉย ๆ สบาย ๆ **กรุณา .อย่า.ได้บริจาคเงินให้ blog ผม ทาง e-wallet ครับ** **ผมขอสงวนสิทธิการเป็นเจ้าบ้านของ blog ลบข้อเขียนใดๆ ก็ได้ใน blog นี้ตามที่ผมเห็นสมควร**
Group Blog
 
<<
มิถุนายน 2559
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
2627282930 
 
10 มิถุนายน 2559
 
All Blogs
 
เพียงจะลงมือปฏิบัติ จิตก็หนักเสียแล้ว

มีคำถามเข้ามา จึงนำมาแบ่งปัน อนุโมทนากับท่านทีถามมาครับ

*****************

ที่คุณเล่ามาว่า.... แค่คิดจะปฏิบัติ จิตก็หนัก กดแน่นที่โพรงจมูก บางทีลามไปถึงคอและระบบหายใจ ....

ผมเดาว่า คุณนั่งสมาธิ แล้วไปดูลมทีปลายจมูกใช่ใหมครับ
ยิ่งคุณทำแบบนี้ไปนานเท่าใด อาการอย่างนี้ ยิ่งติดแน่น
ไม่หายไปได้ง่าย ๆ เลย ภาษาพระเรียกว่า เกิดตัณหา นั่นแหละครับ

วิธีการก็คือ คุณต้องเลิกฝีกแบบเก่านะครับ เลิกไปเลย เพราะวิธีการแบบนี้ ไม่เหมาะสำหรับคุณแล้ว
อีกอย่างหนี่ง การไปดูลมทีปลายจมูก เป็นการฝีกแบบฤาษี
ไม่ใช่แบบพุทธ ซี่งผมไม่แนะนำให้ทำแบบนั้น ทีเป็น
แบบนี้ เพราะ การไปดูลมทีปลายจมูก จิตจะไปเกาะติดทีนั่น ซี่งคุณเรียกว่า การเพ่ง
ถ้าจิตไม่เกาะติดหรือการเพ่ง ไม่ยอมปล่อยคลายออกมา ผลก็คือ คุณจะเครียด แล้วเกิดอาการนอนไม่หลับ ปวดหัวหนัก ๆ
อ่านเรื่องสัมมาสมาธิดูครับ
//www.bloggang.com/mainblog.php?id=namasikarn&month=02-07-2010&group=8&gblog=53

การวางจิตในฝีก มี 2 วิธีนะครับ

วิธีที 1 เป็นแบบ วิปัสสนายานิก หรือ วิปัสสนานำหน้าสมถะ
แบบนี้ คุณปล่อยจิตให้รู้กระจายทั่ว ๆ ทั้งร่างกาย
คุณลองดูง่ายๆ ก็ได้ครับ ขอให้นั่งทีริมหน้าต่าง ทีเห็นวิวข้างนอกได้
นั่งให้สบายๆ นะครับ ถ้ามีพัดลม เปิดพัดลมส่ายไปมา ให้โดยตัวบ้างไม่โดนบ้าง ให้นั่งบนเก้าอี้ นั่งให้สบาย
ทีนี้ ให้ สังเกตดูดังนี้
เมื่อคุณนั่งสบาย ๆ ตามองไปข้างนอกหน้าต่าง แต่อย่าไปจ้องอะไร เหมือนมองวิวธรรมชาติธรรมดา คุณจะเห็นว่า ก้นทีคุณนั่งอยู่ทีเก้าอี้ ก็จะรู้สีกว่า ก้นมีการสัมผัสได้กับเก้าอี้ ลมจากพัดลมทีพัดไปมา ก็จะรู้สีกไว้ด่า เดียวมีลมพัดมาโดน เดียวลมหายไป หูก็ได้ยินเสียงนก เสียงลมพัดไปมาได้ ตาก็เห็นวิวได้สบายๆ ใจก็สบายๆ
ซี่งอาการพวกนี้ คุณไม่ต้องทำอะไรเลย เพียงนั่งสบายๆ อย่างทีผมว่าเล่านั้นแหละ คุณจะรู้สีกได้เองทั้งหมดทีผมเขียนมา การรู้สีกได้เองนี้ จะรู้สีกได้อย่างสบาย ๆ และเบา ๆ ซี่งอาการแบบนี้ ผมเรียกว่า อาการปกติของใจ
ซี่งคนทุกคนเป็นแบบนี้อยู่แล้ว โดยทีไม่ต้องไปทำอะไรเลย

ทีนี้พอคุณนั่งไปสักพัก คุณอาจไปสนใจทีตา เผอิญไปเห็นหญิงสาวสวยเดินอยู่ทีถนน พอคุณไปสนใจภาพหญิงสาวสวยเท่านั้น ทีนี้ คุณจะรู้สีกได้ว่า ลมทีเคยพัดมาโดนตัว ก็รู้สีกไม่ได้แล้ว ก้นทีนั่งอยู่สัมผัสเก้าอี้ ก็รู้สีกไม่ได้แล้ว
นี่เป็นเพราะว่า จิตไปเกาะติดภาพหญิงสาว การรู้แบบนี้ คือ วิปัสสนาอย่างอ่อน ๆ
ในการการปฏิบัติ เกิดได้ครับ ไม่ใช่ห้ามเกิด และเกิดบ่อยยิ่งดีเสียด้วย เพราะวิปัสสนาจะเกิดแบบนี้บ่อย ๆ คุณจะเก่งขึ้น กล่าวคือ ใหม่ๆ กว่า คุณจะรู้ตัวว่า จิตไปเกาะติดภาพหญิงสาวแล้ว นานหลายนานทีกว่าจะรู้สีกตัวได้ว่า ตอนนี้ จิตไม่ปกติไปแล้ว พอรู้สีกตัวได้ ขอให้กลับมาแบบเก่า คือ รู้กระจาย ๆ แบบเดิมทีเคยอธิบายไว้หรืออาการจิตปกติ

การพัฒนาของการฝีกแบบนี้ ก็คือ พอรู้ตัวว่าหลุดไปแล้วหรือไม่ปกติแล้ว รู้ได้เร็วขึ้นได้เรื่อยๆ นี่คือ พัฒนา เช่น ใหม่ ๆ พอหลุดไป กว่าจะรู้ตัว อาจผ่านไป 5 นาที
แต่ถ้าหลุดบ่อย ๆ แบบนี้ แล้วมีการพัฒนา เวลาทีกลับมารู้ตัวก็จะเร็วขึ้น เช่น จาก 5 นาที เหลือ 4 นาที พอพัฒนาอีก ก็เหลือ 3 นาที พอพัฒนาอีกก็เหลือ 1 นาที และสั้นลงเรื่อยๆ ยิ่งสั่นลงไปเท่าใด นี่แสดงว่า พัฒนาได้ดีขึ้นมาก คนทีพัฒนาได้เก่งมาก พอหลุดปุ๊บ เขาจะรู้ปั๊บทันทีเลย ไม่ถีงวินาที อย่างนี้ คือ เก่งมากแล้ว

สังเกตนะ ครับ ผมไม่ได้บอกว่า ต้องบังคับให้จิตนิ่ง จึงจะเก่ง เพราะการทำจิตนิ่ง เป็นสมาธิฤาษี ซี่งผมไม่สนับสนุนให้ทำจิตนิ่ง
ขอให้อ่านเรื่องนี้ประกอบ
//www.bloggang.com/mainblog.php?id=namasikarn&month=18-01-2010&group=5&gblog=67

แบบที 2 เป็นแบบสมถะยานิก หรือ สมถะนำวิปัสสนา

แบบนี้ คุณสามารถเพ่งได้ จ้องได้ แต่ **อย่า**ไปจ้องทีส่วนของร่างกายทีอยู่บริเวณศรีษะ เช่น อย่าไปจ้องลมทีปลายจมูก อย่าไปจ้องตาทีสามทีอยู่ที่ระหว่างคิ้ว เพราะการไปจ้องทีนั่น คุณจะปวดหัว แล้วหนักหัว นอนไม่หลับ
แต่คุณสามารถ จ้องได้ทุกอย่างนอกร่างกายได้ หรือ ร่างกายก็ได้ แต่สิ่งทีจ้องควรอยู่ต่ำกว่า ศรีษะ

ยกตัวอย่าง คุณนั่งอยู่ แล้วเอานิ้วมาแตะกันเล่น แตะปล่อย แตะปล่อย
คุณจะไปจ้องนิ้วทีกำลังแตะกันเล่น ก็ได้ แต่ขอให้สังเกดดูว่า คุณจะเห็นนิ้วทีคุณจ้องนั่น มันอยู่ห่างจากตาทีคุณมองอยู่ คุณจะเห็นระยะห่างระหว่างตาและนิ้ว คุณไม่ต้องไปวัดว่า ห่างกี่นิ้ว กี่ฟุต เพียงเห็นว่า นิ้วอยู่ห่างก็พอ ทีนี้ พอคุณแตะนิ้ว คุณก็จะรู้สีกได้ว่า มีการแตะเกิดขึ้น พอคุณปล่อยการแตะ คุณก็รู้สีกได้ว่า การสัมผัสแตะมันหายไปแล้ว ถ้าแตะ ปล่อย แตะปล่อย ก็จะเกิดว่า มีการแตะ แล้ว การแตะหายไป คุณทำไปสบายๆ ไม่ต้องเครียด
ทีนี้ พอคุณฝีกไป คุณจะมองนิ้วก็ได้ หรือ จะไปมองอะไรก็ได้ เช่นดูทีวีไปด้วยก็ยังได้ แต่อย่าลืมว่า คุณต้องเห็นว่า สิ่งทีคุณมองอยู่ห่างจากตัวคุณ เช่น คุณมองทีวี คุณต้องเห็นว่า ทีวี อยู่ห่างจากตัวคุณอยู่ ถ้าคุณมองไม่เห็นแบบนี้ทีวีอยู่ห่างจากตัวคุณ ใช้ไม่ได้นะครับ แล้วคุณก็แตะนิ้วเล่นไป ดูทีวีไป

ทีนี้ การพัฒนาดูอย่างไร แบบนี้
การพัฒนาให้ดูว่า
1..คุณยังเห็นสิ่งทีคุณดูอยู่ อยู่ห่างจากตาคุณ ห่างจากตัวคุณหรือไม่
ถ้าไม่เห็นแล้ว นี่คือ หลุดแล้ว ให้กลับมาใหม่แบบเดิม คือ เห็นระยะห่างจากตา ห่างจากตัวคุณ กับสิ่งทีคุณกำลังมองอยู่
2..เวลาทีคุณแตะนิ้วเล่น คุณดูทีวีไป แล้วคุณเผลอ ไม่แตะนิ้วเ่ล่นแล้ว
นี่คือ หลุดแล้ว เมื่อรู้ตัวว่าหลุด ให้กลับมาแตะใหม่
3..เวลาแตะนิ้วเล่น คุณไม่รุ้สีกถีงการแตะ และการไม่แตะกันของนิ้ว อย่างนี้ คือ หลุดแล้ว ให้คุณกลับมารู้สีกใหม่

การพัฒนาของทั้ง 3 ข้อ ก็เช่นกัน หลุดได้ครับ ยิ่งหลุดบ่อยยิ่งดีเสียด้วย
ให้หลุดแล้วคุณรู้ตัว แล้วกลับมาใหม่ ใหม่ ๆ ก็หลุดแล้วกว่าจะรู้ตัวก็นานหลายนาที พอฝีกไป มีการพัฒนาไป ก็จะหลุดแล้วรุ้ตัวเร็วขึ้น เหมือนแบบที 1 วิปัสสนายานิกทีผมเขียนข้างบน

ทีนี้ คุณอาจถามว่า ทั้ง 2 แบบ แบบใดดีกว่าแบบใด
สำหรับผู้ฝีกใหม่ ผมแนะนำแบบที 1 ก่อนครับ
ทำไปสัก 1 เดือน แล้วจะมาแบบที 2 ก็ได้
เพราะถ้าเริ่มแบบที 2 ไปเลย บางคนอาจทำได้
บางคนอาจทำไม่ได้ เพราะแบบที 2 ยากกว่าแบบที 1
อันนี้ แล้วแค่คน แต่แบบที 1
เป็นการปูพืนฐานให้กับคนทีทำไม่ได้นะครับ

ทีนี้ คุณอาจถามว่า ทำไปแล้วได้อะไร
ถ้าคุณทำไปอย่างทีผมว่า จิตจะมีการพัฒนาของสัมมาสติ สัมมาสมาธิ
ครับ การพัฒนานี้ จะเกิดอย่างช้า ๆ เพาะบ่มอย่างช้า ๆ เหมือนเด็กอ่อน
ทีกินข้าวแล้วค่อยๆ โตขึ้นมาเป็นวัยรุ่นได้
เมื่อฝีกไป หลุดได้ นะครับ ผมบอกแล้วว่า ยิ่งหลุดยิ่งดี
แต่คุณต้องฝีกไปด้วย ไม่ใช่ไม่ฝีกเลย

การหลุดจะทำให้มีการพัฒนาตัวเอง
เพราะนี่คือ ประสบการณ์จริงทีจิตพบ
พอจิตมีการพัฒนาสัมมาสติ สัมมาสมาธิ ได้ ต่อไป ก็จะมีการพัฒนาปัญญาญาณได้ต่อไป
แต่สิ่งทั้งหมด ไม่ใช่จะสำเร็จได้โดยเร็ว อาจใช้เวลาถีง 1 - 3 ปีในการพัฒนาสัมมาสติ สัมมาสมาธิ กว่า ปัญญาญาณจะเริ่มเกิดได้
ซี่งคุณทำไปแล้วจะพบเองว่า การพัฒนาการของสัมมาสติ สัมมาสมาธินั้น จะทำให้สามารถหลุดจากทุกข์ได้อย่างแน่นอนทีสุด






Create Date : 10 มิถุนายน 2559
Last Update : 7 ตุลาคม 2559 9:52:38 น. 0 comments
Counter : 1431 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะ VIP Friend
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

นมสิการ
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 142 คน [?]




หลักปฏิบัติ ...รู้สึกตัว ผ่อนคลาย เฉย ๆ สบาย ๆ

มากกว่า 20 ปีที่ไปหลงทำสมถภาวนาแบบสมาธิแบบฤาษีโดยที่ไม่รู้จักกับคำว่า อะไรคือสัมมาสติ สัมมาสมาธิ ผลที่ได้คือความสงบขณะกำลังนั่งสมาธิจนตัวนิ่งแข็งเป็นก้อนหิน แต่ผลข้างเคียงตามมาก็คือการเป็นคนเจ้าโทสะอย่างรุนแรงขณะเวลาไม่ได้นั่งสมาธิ และ ที่อยู่ในชีวิตประจำวัน....

จนได้พบกัลยณมิตรแดนไกล ที่ได้ชักนำให้มารู้จักวิธีปฏิบัติแบบหลวงพ่อเทียน จนได้พบกับพระอาจารย์ในสายหลวงพ่อเทียน ที่ผมได้เรียนการปฏิบัติจากท่าน จนเข้าใจว่า สัมมาสติ สัมมาสมาธิ คืออะไร แล้วลงมือฝึกฝน การปฏิบัติก็รุดหน้าและได้ลิ้มรสสิ่งบริสุทธิในจิตใจอันเป็นผลจากการปฏิบัติด้วยเวลาเพียง 5 ปี

ธรรมปฏิบัติจากฆราวาสเขียนเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ยากในสังคมไทย ผมรู้ได้จากที่เขียนใน blog ผมได้พบกับการก่อกวนใน blog การเขียนเหน็บแนม กระแหนะกระแหน ตำหนิการการปฏิบัติที่ผมเขียนใน blog ว่าผิดทาง เขียนแบบคาดเดาเอา ไม่รู้จริง ให้ผมหยุดเขียนแนวนี้ได้แล้ว และไปโมทนาสาธุแนะนำการปฏิบัติสมาธิแบบฤาษีให้กับผมอีกว่านี่คือทางที่ถูกต้อง ...

บทความใน blog จึงเกิดขึ้นมา เพื่อแบ่งปันประสบการณ์ในการภาวนา
แก่ผู้อื่นที่กำลังเดินทางในสายแห่งอริยมรรคนี้

เมื่อท่านได้เข้ามาอ่านข้อเขียนใน blog กรุณาอย่าได้เชื่อผมจนกว่า ท่านได้ทดลองปฏิบัติแล้วและพิสูจน์ด้วยตัวท่านเอง

**กรุณา .อย่า.ได้บริจาคเงินให้ blog ผมทาง e-wallet ครับ **

******
บทความต่าง ๆ ใน blog นี้
ขอสงวนสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537
ห้ามนำไปดัดแปลง ลอกเลียน หรือนำส่วนหนึ่งส่วนใดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต

****
New Comments
Friends' blogs
[Add นมสิการ's blog to your web]
Links
 
MY VIP Friend


 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.