ความแตกต่างระหว่างการปล่อยวาง และ การละเลย
ในการปฏิบัติเพื่อการพ้นทุกข์นั้น จุดหมายปลายทางก็คือ การทีจิตผู้รู้ปล่อยวางในสภาวะธรรมทุกอย่าง เมื่อจิตผู้รู้ปล่อยวางแล้ว จิตผู้รู้ก็เป็นอิสระจากสิ่งทั้งปวง
ทีนี้ ในการภาวนา นักภาวนามักไม่เข้าใจกับคำว่าปล่อยวาง โดยเข้าใจว่า ไม่ต้องไปสนใจ ไม่ต้องไปรู้อะไรเลย เมื่อไม่สนใจ ไม่รู้ ก็คือการปล่อยวาง ตรงนี้เป็นการเข้าใจทีคลาดเคลื่อน
การไม่รู้อะไรเลย นีคือ ตัวจิตผู้รู้ มีโมหะครอบงำอยู่ เมื่อจิตผุ้รู้มีโมหะครอบงำ การรับรู้สิ่งต่างๆ ก็เป็นไปไม่ได้
การไม่สนใจ นีคือ การละเลย ไม่ใช่การปล่อยวาง เป็นเพิกเฉยในสิ่งทีควรทำ แต่กลับไม่ทำสะอย่างนั้น ในประวัติหลวงพ่อชา มีอยู่เรื่องหนี่ง ทีเข้ากับเรื่องนี้ได้ดี ก็คือ หลวงพ่อชาไปเห็นกุฏิหลังหนี่ง หลังคารั่วไม่ซ่อมแซมให้ดี เจ้าของกุฏิตอบหลวงพ่อชาว่า เขาปล่อยวางแล้วจีงไม่ซ่อมหลังคาทีเสียหายนั้น
ในการปฏิบัติเพื่อการพ้นทุกข์นั้น มีระดับการปล่อยวางอยู่ 3 อย่างด้วยกัน
1.. การปล่อยวางในโลกภายนอก ตรงนี้หมายความว่าอย่างไร ตรงนี้ ก็คือ การทีจิตไม่ไหลออกไปยังโลกภายนอก ยกตัวอย่างเช่น ชายหนุ่มเห็นหญิงสาวสวยเดินผ่านมา เขามองเห็นแล้วละ แต่จิตของเขาไม่ไหลออก ไปยังหญิงคนนั้น นีคือ จิตไม่ไหลออกไปยังสิ่งทีเห็น
2...การปล่อยวางในอาการของขันธ์ 5 อาการของขันธ์ 5 คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
การ **ไม่ปล่อยวาง** คือ จิตผู้รู้ไหลไปเกาะติดกับอาการในขันธ์ 5
การปล่อยวาง คือ จิตผู้รู้จะเห็นอาการของขันธ์ 5 อยู่ **ห่าง**ออกมา
3..การปล่อยวางในอาการของตัวจิต จิตนั้นมี 2 ส่วน คือ ส่วนทีเป็น จิตพลังงาน และ ส่วนทีเป็น จิตผู้รู้
เมื่อนักภาวนารู้จักและปล่อยวางในข้อ 1 และ 2 ได้แล้ว นักภาวนาฝีกฝนต่อไป นักภาวนาทีได้รู้เห็น การทำงานของจิตพลังงาน และ จิตผู้รู้ ได้อยู่เนือง ๆ ก็จะเข้าใจในธรรมได้เองว่า อันว่า ทุกข์นั้นเกิดจากการทำงานของจิตพลังงานและจิตผู้รู้ นั่นเอง
ถ้านักภาวนาไม่อาจปล่อยวางการทำงานของจิตพลังงานและจิตผู้รู้ได้ ก็ยังมีการยีดติดอยู่
ถ้านักภาวนาสามารถปล่อยวางได้ ก็จะเกิดการหลุดพ้นทีเกิดจากการปล่อยวาง ซี่งหลวงพ่อเทียน เรียกสภาวะแบบนี้ว่า เชือกขาด
คำว่า เชือก นั้นเป็นคำเปรียบเทียบของการยีดติด ทีนักภาวนาต้องเข้าใจว่า เชือกนั้นมีอาการเป็นเช่นไร เมื่อเข้าใจในอาการของเชือกได้แล้ว ก็จะเข้าใจวิธีการตัดเชือกให้ขาดได้เอง เมื่อตัดเชือกขาด ก็จะรู้ได้ว่า เชือกได้ขาดลงแล้ว และรู้ว่า จิตนั้นเป็นอิสระแล้ว
********** การปล่อยวางนั้น จิตจะต้องรู้ ไม่ใช่ไม่รู้ แต่จิตไม่ยีดติดในสิ่งทีรู้ ถึงไม่ยีดติด ก็ยังรู้ได้อยู่ เพราะจิตผู้รู้นั้นได้อบรมฝีกฝน จนจิตมีประสิทธฺิภาพ ในการรู้แล้วนั่นเอง ตรงนี้เป็นส่วนทีเป็น สัมมาสมาธิ
ส่วนปัญญานั้น คือ ปัญญาในการรู้เห็นอาการของเชือกทียีดติดสภาวะธรรมอยู่ เมื่อเกิดปัญญา รุ้เห็นเชือกได้แล้ว นักภาวนาจะรู้จักวิธีการตัดเชือกได้เอง
ในพระไตรปิฏกมีเขียนไว้หลายทีว่า เมื่อเบื่อหน่าย ก็สิ้นตัณหา เมื่อสิ้นตัณหา ก็หลุดพ้น เมื่อหลุดพ้น ก็รู้ว่าหลุดพ้น
การสิ้นตัณหา ก็คือ สภาวะเชือกขาด
Create Date : 03 สิงหาคม 2559 |
|
0 comments |
Last Update : 3 สิงหาคม 2559 8:05:11 น. |
Counter : 7180 Pageviews. |
|
|
|