เส้นทางแห่งมรรค เดินตามเส้นนี้อย่างไร แล้ว จะพบอะไร
1.. บทความเรื่อง " เส้นทางแห่งมรรค เดินตามเส้นนี้อย่างไร แล้ว จะพบอะไร " เป็นความเห็นส่วนตัวของผู้เขียน ที่ไม่จำเป็นต้องไปเหมือนใคร ท่านที่เข้ามาอ่าน ผู้เขียนแนะนำว่า อย่าได้เชื่อถือโดยทันที ถ้าท่านไม่ได้ลงมือพิสูจน์ก่อน . 2..ในเส้นทางแห่งมรรค ผู้เขียนขอแบ่งไว้มี 3 ระดับดังนี้ (การแบ่งระดับนี้ ผู้เขียนแบ่งเอง ไม่มีในตำรา ) A...ระดับเบื้องต้น ระดับนี้ เริ่มจากปุถุชนที่สนใจการภาวนาได้เข้ามาสู่เส้นทางการภาวนา แล้วการภาวนาได้เริ่มขึ้นไปเรื่อยๆ จนสามารถพบไตรลักษณ์ของจิตปรุงแต่งได้ และ พบจิตผู้รู้ปรากฏออกมาให้พบได้ ระดับนี้ จะได้เขียนต่อไปในบทความนี้ให้อ่านกัน . B...ระดับกลาง ระดับนี้ เริ่มจากที่ นักภาวนาสมารถพบจิตผู้รู้ได้แล้ว จิตผู้รู้ปรากฏออกมาแล้ว ต่อมา นักภาวนาจะพบกับอาการทุกข์กายอย่างแสนสาหัส นักภาวนาต้องหาทางแก้ไขอาการทุกข์กายนี้ไปเรื่อยๆ จนกว่า ทุกข์กายจะเบาบางลงไป และนักภาวนาจะมีปัญญาเกิดขึ้นมาที่รู้ว่า ทุกข์กายนั้น เกิดได้อย่างไร และ ทุกข์กายทำไมถึงจางลงหรือหายไปได้ และนักภาวนาจะมีความรู้เหมือนแพทย์ที่รักษาทุกข์กายของตนเองได้เอง . ถ้านักภาวนามีปัญญารู้แบบนี้ได้ ก็คือ จบระดับกลางได้แล้ว . ระดับนี้ จะไม่สามารถเขียนให้อ่านได้ ซี่งนักภาวนาที่เดินทางมาถึงระดับนี้ได้แล้ว ต้องพากเพียร เรียนรู้ เฝ้าดูอาการของทุกข์กายที่เกิดขึ้น และ หาทางแก้ไขด้วยตนเอง จนสามารถเบาบางอาการของทุกข์กายลงไปเอง ระดับนี้เป็นระดับที่ยากและทรมานมาก เพราะไม่สามารถสอนกันได้ และมีความเจ็บป่วยมารังควาญอยู่เสมอ นักภาวนาต้องเรียนรู้ด้วยตนเอง แก้ไขด้วยตนเอง ถ้านักภาวนาผ่านระดับนี้ไปไม่ได้ บางคนอาจป่วยหนักถึงขั้นเสียชีวิตได้ . C...ระดับสูง ระดับนี้ เริ่มจาก นักภาวนาที่สามารถผ่านการแก้ปัญหาทุกข์กายให้เบาลงได้ ไม่หนักหนาสาหัส เหมือนตอนอยู่ในระดับกลาง นักภาวนาต้องเดินทางต่อด้วยตนเอง แล้ว หาสิ่งที่เรียก "สภาวะของญาณปัญญา และ สภาวะของการรู้ ให้พบ" เมื่อ พบได้ทั้งสองอย่างนี้แล้ว ก็หาทางต่อไปว่า จะนำ ญาณปัญญา และ สภาวะของการรู้ มาใช้งานอย่างไร จึงจะไม่ยึดมั่นถือมั่นในทุกข์อีก . ถ้าสามารถหาวิธีการใช้จนพบ นักภาวนาก็จะเป็นผู้ที่ไม่ยีดมั่นถือมั่นในทุกข์อีกต่อไป แต่ถ้าหาไม่พบ ก็ยังดีกว่า ค้างอยู่ที่ระดับกลางในข้อ B ถึงจะมีทุกข์ และยีดทุกข์บ้าง แต่ก็สามารถหลุดทุกข์ออกมาได้โดยไม่ลำบากนัก ระดับนี้ นักภาวนาต้องเดินทางเอง หาเอง และที่สำคัญที่สุด ต้องอ่านและพิจารณา กาลามาสูตร 10 นี้ให้ดี เพราะการเชื่อสิ่งที่กาลามสูตรบอกว่า อย่าได้เชื่อถือ จะทำให้ติดขัดไม่สามารถเข้าถึงปลายทางแห่งมรรคได้ ................................................ 3..ต่อไป จะได้เขียนถึง รายละเอียดเส้นทางแห่งมรรค ในระดับเบื้องต้นให้อ่านกัน เพื่อเป็นแนวทางสำหรับท่านนักภาวนา . การปฏิบัติในระดับเบื้องต้นนั้น จะมี 3 แบบ ด้วยกัน . >>>>แบบที่ 1 เป็นการฝึกในรูปแบบ เช่น การนั่งสมาธิ / เดินจงกรม หรือ อะไรก็แล้วแต่ ที่มีสอนกันตามสำนัก หรือ หาอ่านได้ในอินเตอร์เนท การฝีกแบบนี้ ให้ทำในขณะที่ไม่ได้ทำงานทางโลกอะไรเลย จึงสามารถทุ่มเทการฝีกฝนได้เต็มที่ . การฝีกแบบนี้ จะมีชื่อเรียกกันในวงการภาวนาว่า .. "การฝึกในรูปแบบ" . การฝีกในรูปแบบ ควรทำทุกวัน จะมากบ้างน้อยบ้าง ไม่เป็นไร มีเวลา 10 นาที ก็ฝีกไป 10 นาที ไม่จำเป็นว่า ต้องทำนาน ๆ อยู่ทีว่า ตัวเราว่างหรือไม่ว่าง แต่ถีงว่าง การฝึกในรูปแบบ ก็ไม่แนะนำให้ฝีกเกิน 30 นาทีในแต่ละรอบการฝีก เพราะถ้าฝึกนาน ๆ มากกว่านี้ จะเครียด แต่ตัวเราเองจะไม่รู้ว่าเครียด พอเครียด ฝีกไปก็ไม่ได้ประโยชน์แล้ว . แต่ถ้ามีเวลาว่างมาก ฝีกไป 1 รอบแล้ว 30 นาที ก็ให้พักสัก 1 ชั่วโมงก่อน แล้วมาฝีกรอบที่ 2 ต่อไปก็ได้ . ฝีกแบบที่ 1 นี้เป็นสมถะ เพื่อให้จิตมีความคุ้นเคยกับสภาวะธรรม ของการมีสติ เพื่อนำทางไปสู่การฝีกแบบที่ 2 ต่อไป . นักภาวนาจำนวนมาก มักเข้าใจว่า การฝึกในรูปแบบ ถ้าทำการฝีกติดต่อกันนาน ๆ จะทำให้พบธรรม บรรลุธรรมได้ ซี่งความเข้าใจแบบนี้ เป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน และไม่มีทางเกิดขึ้นได้เลย เพราะเพียงลงมือฝีก อัตตาตัวตนก็มาทันที แล้วจะพบธรรมได้อย่างไร . แต่ที่ต้องฝีก ถึงมีอัตตาตัวตนโผล่มา แต่การฝีก เพื่อให้จิตไปรู้จักกับอาการของสติ ให้ได้ก่อน ดังนั้น จุดมุ่งหมายของการฝีกฝนในระดับนี้ จึงเพื่อให้จิตรู้จักอาการของสติ ไม่ใช่การดับอัตตาตัวตน การพบธรรมจึงไม่สามารถเกิดได้ ด้วยเหตุนี้ . >>>> แบบที่ 2 เป็นการฝีกฝนในชีวิตประจำวัน แบบนี้ จะฝีกฝน เมื่อนักภาวนาใช้ชีวิตปกติประจำวันในบ้าน เช่น รดน้ำต้นไม้ ล้างรถ กวาดบ้าน ถูบ้าน รีดเสื้อ ซักเสื้อ ตากผ้า อาบน้ำ และ อื่น ๆ อีกมาก แบบนี้ ให้ทำงานบ้านไป ก็ฝึกไปด้วยแบบสบาย ๆ ไม่เร่งรีบ คล้าย ๆ กับการฝีกฝนในรูปแบบ แต่ให้ทำงานบ้านพร้อมกันไปด้วย . การฝีกแบบนี้ พอฝีกแบบที่ 1 ไปบ้างแล้ว พอมาฝึกแบบที่ 2 นี้ มักจะเผลอง่าย พอฝึกแบบ 2 ไป ถ้าขณะใด เกิดเผลอขึ้น แล้วไปรู้ทันว่า เมื่อกี้เผลอไป ก็จะได้สติ และ ปัญญา ตามมา . นักภาวนาอย่าไปทำอะไรไม่ให้เกิดการไม่เผลอขึ้น ให้ฝีกไปตามที่เขียนไว้ข้างบน การเผลอที่เกิดขึ้นนี้ จะเป็นครูที่ดีของนักภาวนา ถ้าเผลอแล้วรู้ทันเผลอได้บ่อยๆ อีกหน่อย อาการเผลอจะลดลงไปได้เอง แต่จะลดแบบช้า ๆ ค่อยเป็นค่อยไป . แต่ถ้าไปทำอะไร เพื่อไม่ให้เกิดเผลอ ประสบการณ์การรู้ทันการเผลอก็จะไม่มี แล้วการพัฒนาเรื่องการไม่เผลอ ก็ไม่เกิดขึ้น . >>>> แบบที่ 3 เป็นการปฏิบัติวิปัสสนา แบบนี้ นักภาวนาไม่ต้องทำอะไรในการฝีกฝนเลย ให้ทำตัวเป็นธรรมชาติของตัวเองในขณะที่ทำงานหาเลี้ยงชีพ ให้ลืมเรือ่งการฝีกปฏิบัติไปได้เลย . ในการประกอบอาชีพของคนเรา ไม่ว่าทำอะไร จะมีการคิด การพูด การวางแผนงาน พูดคุยกับคน ทะเลาะกับคน โต้เถียงกัน แต่ถ้าเมื่อใด ที่เกิดอาการไม่พอใจขึ้นมา สิ่งที่ฝีกมาในแบบที่ 1 และ 2 ที่ฝีกมามากพอแล้ว จะทำให้นักภาวนามีอารมณ์ปรุงแต่งที่แรงๆ โผล่ขึ้นมาเห็นได้ เช่นความโกรธ พอเห็นอารมณ๋ปรุงแต่งเกิดขึ้นมาปุ๊บ ก็จะเห็นอารมณ์ปรุงแต่งนั้นดับไปเป็นไตรลักษณ์ได้ทันที อย่างรวดเร็ว การเห็นไตรลักษณ์แบบนี้ จะได้ สติ สมาธิ ปัญญา เกิดขึ้นแก่จิต . นักภาวนาจะรู้จักแล้วว่า สิ่งที่เป็นไตรลักษณ์ มันเป็นอย่างนี้เอง ซี่งคนที่ไม่เคยพบไตรลักษณ์ของจริง ก็จะไม่มีวันรู้จัก มีแต่รู้แบบตำราว่า มันไม่เที่ยง มันแปรปรวน มันไม่ใช่เรา มันไม่ใช่ของเรา แล้วก็คิดเอง ต่าง ๆ นานาว่า เป็นอย่างนี้นะ ซี่งนั้นไม่ใช่ของจริงเลย . การฝีกวิปัสสนาแบบนี้ นักภาวนาต้องพร้อมที่จะแลก เพราะถ้าเกิดอารมณ์ปรุงแต่งที่รุนแรงเกิดแล้ว ถ้านักภาวนาไม่เห็นไตรลักษณ์ นั่นคือ ได้แพ้แก่พญามารแล้ว พญามารก็ลากจิตผู้รู้ไปกิน นี่เป็นสิ่งธรรมดาที่ต้องเกิดขึ้น ที่พร้อมจะประลองกำลังกับพญามาร . ถึงจะแพ้แก่พญามารในแบบที่ 3 ก็ไม่เป็นไร ฝีกแบบที่ 1 และ 2 ต่อไปเรื่อยๆ อย่าได้ท้อแท้ ตอนนี้แพ้ พรุ่งนี้แพ้ ในอนาคต อีกหน่อย ก็ชนะได้สัก 1 ครั้ง แล้วก็จะกลับมาแพ้อีก ถ้านักภาวนาไม่ท้อถอย ฝีกต่อไป นี่คือ การมีความเพียร ที่ไม่ย่อท้อกับการประลองกำลังกับพญามาร ก็จะกลับมาชนะได้อีก พอชนะได้อีกหลาย ๆ ครั้งมาก ๆ จิตจะมีพลัง สติ สมาธิ ปัญญาเพิ่มขึ้นมากทีเดียว แล้วต่อไป การประลองกำลังกับพญามาร นักภาวนาจะชนะได้บ่อยขึ้น แต่ก็ยังมีโอกาสแพ้ได้อยู่ดี และ ลดความถี่ของการแพ้ลงไปได้ ขอเพียง ให้ฝีกฝนต่อไปแบบนี้ 1 /2 /3 ไปเรื่อยๆ แล้ว สติ สมาธิ ปัญญา ก็จะค่อย ๆ เพิ่มขึ้นเองต่อไป จนวันหนี่ง ก็สามารถพบจิตผู้รู้ ที่โผล่ปรากฏตัวขึ้นมาให้พบได้เอง เมื่อ จิตผู้รู้ ปรากฏให้พบได้ใหม่ ๆ จิตผู้รู้ ก็จะหายไปได้อีกเช่นกัน ให้ฝีกแบบเดิมไปเรื่อย ๆ คือ ฝีกแบบ 1 /2 /3 แล้ว จิตผู้รู้ ก็จะปรากฏอยู่ได้ยาวนานมากขึ้นไปเรื่อยๆ . เมื่อมีจิตผู้รู้ปรากฏตัวขึ้นมาใด้ระยะหนี่ง แล้วต่อไป จะพบอาการทุกข์กาย ปรากฏขึ้น ให้นักภาวนาก็จะเดินทางเข้าสู่ระดับกลางต่อไป (ขอให้ย้อนกลับไปอ่านเรื่อง ระดับกลาง ข้างบน เพื่อทบทวนเรื่องราว) . 4...ผู้เขียนหวังว่า บทความนี้ คงเป็นประโยชน์บ้างแก่นักาภวนาผู้ที่กำลังเดินทางแห่งมรรคนี้ ระดับเบื้องต้น .....สติ / สมาธิ / ปัญญา ระดับสูง ......ญาณปัญญา /สภาวะรู้ / กาลามาสูตร
Create Date : 03 ตุลาคม 2565
Last Update : 3 ตุลาคม 2565 16:39:55 น.
0 comments
Counter : 506 Pageviews.
Location :
[ดู Profile ทั้งหมด]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 142 คน [? ]
หลักปฏิบัติ ...รู้สึกตัว ผ่อนคลาย เฉย ๆ สบาย ๆ มากกว่า 20 ปีที่ไปหลงทำสมถภาวนาแบบสมาธิแบบฤาษีโดยที่ไม่รู้จักกับคำว่า อะไรคือสัมมาสติ สัมมาสมาธิ ผลที่ได้คือความสงบขณะกำลังนั่งสมาธิจนตัวนิ่งแข็งเป็นก้อนหิน แต่ผลข้างเคียงตามมาก็คือการเป็นคนเจ้าโทสะอย่างรุนแรงขณะเวลาไม่ได้นั่งสมาธิ และ ที่อยู่ในชีวิตประจำวัน.... จนได้พบกัลยณมิตรแดนไกล ที่ได้ชักนำให้มารู้จักวิธีปฏิบัติแบบหลวงพ่อเทียน จนได้พบกับพระอาจารย์ในสายหลวงพ่อเทียน ที่ผมได้เรียนการปฏิบัติจากท่าน จนเข้าใจว่า สัมมาสติ สัมมาสมาธิ คืออะไร แล้วลงมือฝึกฝน การปฏิบัติก็รุดหน้าและได้ลิ้มรสสิ่งบริสุทธิในจิตใจอันเป็นผลจากการปฏิบัติด้วยเวลาเพียง 5 ปี ธรรมปฏิบัติจากฆราวาสเขียนเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ยากในสังคมไทย ผมรู้ได้จากที่เขียนใน blog ผมได้พบกับการก่อกวนใน blog การเขียนเหน็บแนม กระแหนะกระแหน ตำหนิการการปฏิบัติที่ผมเขียนใน blog ว่าผิดทาง เขียนแบบคาดเดาเอา ไม่รู้จริง ให้ผมหยุดเขียนแนวนี้ได้แล้ว และไปโมทนาสาธุแนะนำการปฏิบัติสมาธิแบบฤาษีให้กับผมอีกว่านี่คือทางที่ถูกต้อง ... บทความใน blog จึงเกิดขึ้นมา เพื่อแบ่งปันประสบการณ์ในการภาวนา แก่ผู้อื่นที่กำลังเดินทางในสายแห่งอริยมรรคนี้ เมื่อท่านได้เข้ามาอ่านข้อเขียนใน blog กรุณาอย่าได้เชื่อผมจนกว่า ท่านได้ทดลองปฏิบัติแล้วและพิสูจน์ด้วยตัวท่านเอง **กรุณา .อย่า.ได้บริจาคเงินให้ blog ผมทาง e-wallet ครับ ** ****** บทความต่าง ๆ ใน blog นี้ ขอสงวนสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 ห้ามนำไปดัดแปลง ลอกเลียน หรือนำส่วนหนึ่งส่วนใดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ****