รู้ มีกี่แบบ
1.....บทความเรื่อง <รู้ มีกี่แบบ> บทความนี้เป็นความเข้าใจส่วนตัวล้วน ๆ ท่านทีเข้ามาอ่าน แนะนำให้อ่านด้วยวิจารณญาณ และใช้ปัญญาพิจารณาไตร่ตรอง เพื่อความเจริญในธรรมสืบต่อไป . 2....รู้ มี 2 แบบ ซี่งสามารถแบ่งออกได้ดังนี้
>>แบบที 1...รู้สมมุติ การรู้แบบนี้จะเป็นการรู้ทีรับเข้ามาทางอายตนะ เช่น ....ขับรถอยู่เห็นไฟเขียว ก็รู้ว่า รถวิ่งผ่านไปได้ ไม่ต้องหยุดรอ ....เปิดทีวี เห็นน้ำตกใหญ่ จำได้ว่า น้ำตกนี้เคยไปเที่ยวมาแล้วอยู่ทีประเทศโน้น ชื่อนี้ ......คุยกับเพื่อนร่วมงานว่า ช่วยเร่งงานนี้ให้หน่อย ลูกค้าตามมาแล้ว เพื่อนร่วมงานตอบว่า ได้เลยเพื่อน เราฟังก็เข้าใจความหมายว่าเพื่อนร่วมงานจะเร่งมือให้ตามทีขอ และ การรู้สมมุตินี้ยังมีอื่นๆ อีกมาก ที่เกิดในชีวิตประจำวัน
การรู้สมมุติ คนทั่วไปจะรู้จักกันดีอยู่แล้ว แต่คนทั่วไป จะไม่รู้ว่า สิ่งนี้ในทางพุทธศาสนา เรียกว่า การรู้สมมุติ . ในแง่ธรรม การรู้สมมุตินี้ ทำงานโดยอายตนะรับเรื่องเข้ามา แล้วใช้สังขารขันธ์ หรือ ความคิดแปลสิ่งทีรับเข้ามา ถ้าสิ่งทีแปลเข้ามา มีอยู่ในความจำหรือสัญญาขันธ์ คนเราก็จะเข้าใจได้ในสิ่งทีรับรู้เข้ามา แต่ถ้าแปลแล้ว สิ่งทีแปล ไม่มีอยู่ในสัญญาขันธ์ คนเราก็จะไม่เข้าใจในสิ่งทีรับเข้ามา ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเราไม่รู้จักภาษารัสเซีย แล้วเราไปเที่ยวรัสเซีย เราจะฟังคนรัสเซียพูด เราได้ยิน แต่ไม่รู้ว่า เขาพูดอะไรกัน . ถ้ากล่าวในแง่ปรมัตถธรรม ขบวนการทำงานของการรู้สมมุติ ถ้านักปฏิบัติเข้าใจได้ ก็เป็นปัญญาในธรรมอย่างหนี่งเช่นกัน . >>แบบที่ 2...รู้ปรมัตถ์ การรู้แบบปรมัตถ์นั้น จะเป็นการรู้ด้วย *จิตตัวรู้* ทีทำหน้าทีรู้ โดยสิ่งทีถูกจิตตัวรู้ ไปรู้นี้ ทางพุทธศาสนา เรียกว่า ปรมัตถธรรม การรู้ปรมัตถ์นี้ จะใช้ในทางปฏิบัติธรรม เพื่อถ่ายถอนความเป็นอัตตาตัวตนออกไป การรู้ปรมัตถ์ ยังสามารถแยกย่อยออกได้อีก 2 แบบ (ในหัวข้อ AA, BB) . AA..รู้ ด้วยการสัมผัสทีเป็น *ความรู้สีก*ทีรู้ได้ ยกตัวอย่างเช่น กินน้ำแข็ง ก็จะรู้สีกเย็น... มดกัด ก็จะรู้สีกเจ็บ ๆ คัน ๆ ... ปวดหัว ก็จะรู้สีกไม่สบายกาย ..... ได้กระทำผิดอะไรบางอย่าง ก็จะรู้สีกความไม่สบายใจเกิดขึ้น... ไปซื้อของมามากมาย หิ้วของก็หนัก ก็จะรู้สีกได้ถึง ความหนักขณะหิ้วของอยู่ ...
BB...รู้ ด้วยการเห็นของจิต ต่อไป จะเรียกว่า **การเห็น** ซี่งการรู้ด้วยการเห็นนี้ ผู้ทีเห็นได้ จะต้องมี ดาใน หรือ ดวงตาเห็นธรรม เกิดขึ้นก่อน จึงจะเห็นได้ การเห็น นี้ จะมุ่งการเห็นไปทีสภาวะธรรมทีเป็นปรมัตถธรรมทีเกิดขึ้นเท่านั้น ซี่งไม่เกี่ยวกับการเห็นวัตถุต่างๆ ทางโลกเลย สภาวะปรมัตธรรมทีจะเห็นได้นี้ จะมี 2 อย่างคือ >>สภาวะปรมัตถธรรมทีเป็น รูป >> ปรมัตถธรรมที ไม่มีรูป . การเห็นแบบนี้จะยังแบ่งย่อยได้อีก 2 แบบ คือ . BB1...การเห็นด้วย ฌาน แบบนี้ จะเป็นการเพ่งจ้องสภาวะธรรมด้วยความตั้งใจเห็น การเห็นด้วย ฌาน นั้น ตัวจิตตัวรู้ จะปรากฏขึ้นอย่างเด่นชัด ถ้าผู้ทีมีประสบการณ์ทางการภาวนามามากพอ ก็จะเห็นตัวจิตตัวรู้ได้ จาก การเห็นด้วย ฌาน การเห็นด้วย ฌาน สามารถแบ่งย่อยออกได้อีก 2 แบบ คือ >>>>>***การเห็นด้วย ฌาน แบบที่ 1 เป็นการเห็นด้วยจิตตัวรู้ทีไปเห็นสภาวะธรรมทีเป็น รูปในขณะทีขบวนการวิปัสสนากำลังเกิดขึ้นอยู่ ซี่งขบวนการวิปัสสนานี้ อาจจะสั้น ๆ เพียวเสี้ยววินาทีก็ได้ หรือ อาจยาวนานสัก 2- 3 วินาทีก็ได้ แต่จะไม่มีขบวนการวิปัสสนาทีเกิดนานๆ เป็นนาทีเลย การเห็นด้วย ฌาน แบบที่ 1 นี้ จะเกิดขึ้นเอง ตัวนักปฎิบัติไม่สามารถไปยุ่งกับการเห็นนี้ได้เลย การเห็นนี้จะจบลง เมื่อขบวนการวิปัสสนาจบลง
>>>>>*** การเห็นด้วย ฌาน แบบที่ 2 เป็นการใช้ดวงตาเห็นธรรม ไปเพ่งจ้องสภาวะธรรมทีเป็นปรมัตถธรรมที่เป็น รูป ด้วยความจงใจของผู้ปฏิบัติเอง ซึ่งถ้าทำแบบนี้ จะเป็น สมถะภาวนา นักภาวนาจะทำนานเท่าใดก็ได้ ขึ้นอยู่กับความต้องการของตัวนักภาวนาเอง . BB2... การเห็นด้วย ญาณ การเห็นด้วย ญาณ นี้จะต่างจากการเห็นด้วย ฌาน ทีตัวจิตตัวรู้ จะไม่ปรากฏเด่นขึ้นมา ซี่ง การเห็นด้วย ญาณ จะใช้กับการเห็น สภาวะธรรมแท้ ๆ ของตัวจิตทีเป็นความว่างเปล่า ที่เป็นแบบไม่มีรูป (ในทางมหายาน จะเรียก จิตเดิมแท้ ) ซึ่งถ้าใช้ ฌาน จะไม่สามารถเห็น จิตเดิมแท้ ได้เลย เพราะฌาน จะใช้การเห็นได้เฉพาะปรมัตถธรรมทีเป็น รูป เท่านั้น . ภาพประกอบเนื้อหา
.
Create Date : 26 มีนาคม 2564 |
Last Update : 4 เมษายน 2564 9:35:43 น. |
|
0 comments
|
Counter : 1706 Pageviews. |
|
|
|
|
|