รู้สึกตัว ผ่อนคลาย เฉย ๆ สบาย ๆ **กรุณา .อย่า.ได้บริจาคเงินให้ blog ผม ทาง e-wallet ครับ** **ผมขอสงวนสิทธิการเป็นเจ้าบ้านของ blog ลบข้อเขียนใดๆ ก็ได้ใน blog นี้ตามที่ผมเห็นสมควร**
Group Blog
 
<<
มีนาคม 2564
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
 
26 มีนาคม 2564
 
All Blogs
 
รู้ มีกี่แบบ

1.....บทความเรื่อง <รู้ มีกี่แบบ> บทความนี้เป็นความเข้าใจส่วนตัวล้วน ๆ   ท่านทีเข้ามาอ่าน แนะนำให้อ่านด้วยวิจารณญาณ และใช้ปัญญาพิจารณาไตร่ตรอง เพื่อความเจริญในธรรมสืบต่อไป
.
2....รู้  มี 2 แบบ ซี่งสามารถแบ่งออกได้ดังนี้

>>แบบที 1...รู้สมมุติ การรู้แบบนี้จะเป็นการรู้ทีรับเข้ามาทางอายตนะ  เช่น ....ขับรถอยู่เห็นไฟเขียว ก็รู้ว่า รถวิ่งผ่านไปได้ ไม่ต้องหยุดรอ  ....เปิดทีวี เห็นน้ำตกใหญ่  จำได้ว่า น้ำตกนี้เคยไปเที่ยวมาแล้วอยู่ทีประเทศโน้น ชื่อนี้  ......คุยกับเพื่อนร่วมงานว่า ช่วยเร่งงานนี้ให้หน่อย ลูกค้าตามมาแล้ว เพื่อนร่วมงานตอบว่า ได้เลยเพื่อน  เราฟังก็เข้าใจความหมายว่าเพื่อนร่วมงานจะเร่งมือให้ตามทีขอ และ การรู้สมมุตินี้ยังมีอื่นๆ  อีกมาก ที่เกิดในชีวิตประจำวัน

          การรู้สมมุติ คนทั่วไปจะรู้จักกันดีอยู่แล้ว แต่คนทั่วไป จะไม่รู้ว่า สิ่งนี้ในทางพุทธศาสนา เรียกว่า การรู้สมมุติ
.
ในแง่ธรรม  การรู้สมมุตินี้ ทำงานโดยอายตนะรับเรื่องเข้ามา แล้วใช้สังขารขันธ์ หรือ ความคิดแปลสิ่งทีรับเข้ามา ถ้าสิ่งทีแปลเข้ามา มีอยู่ในความจำหรือสัญญาขันธ์  คนเราก็จะเข้าใจได้ในสิ่งทีรับรู้เข้ามา แต่ถ้าแปลแล้ว สิ่งทีแปล ไม่มีอยู่ในสัญญาขันธ์ คนเราก็จะไม่เข้าใจในสิ่งทีรับเข้ามา ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเราไม่รู้จักภาษารัสเซีย แล้วเราไปเที่ยวรัสเซีย เราจะฟังคนรัสเซียพูด เราได้ยิน แต่ไม่รู้ว่า เขาพูดอะไรกัน
.
ถ้ากล่าวในแง่ปรมัตถธรรม  ขบวนการทำงานของการรู้สมมุติ ถ้านักปฏิบัติเข้าใจได้ ก็เป็นปัญญาในธรรมอย่างหนี่งเช่นกัน
.
>>แบบที่ 2...รู้ปรมัตถ์ 
      การรู้แบบปรมัตถ์นั้น จะเป็นการรู้ด้วย *จิตตัวรู้* ทีทำหน้าทีรู้ โดยสิ่งทีถูกจิตตัวรู้ ไปรู้นี้ ทางพุทธศาสนา เรียกว่า ปรมัตถธรรม
       การรู้ปรมัตถ์นี้ จะใช้ในทางปฏิบัติธรรม เพื่อถ่ายถอนความเป็นอัตตาตัวตนออกไป 
การรู้ปรมัตถ์ ยังสามารถแยกย่อยออกได้อีก 2 แบบ (ในหัวข้อ AA, BB) 
.
AA..รู้ ด้วยการสัมผัสทีเป็น *ความรู้สีก*ทีรู้ได้ ยกตัวอย่างเช่น
        กินน้ำแข็ง ก็จะรู้สีกเย็น...
        มดกัด ก็จะรู้สีกเจ็บ ๆ คัน ๆ ...
        ปวดหัว ก็จะรู้สีกไม่สบายกาย  .....
        ได้กระทำผิดอะไรบางอย่าง  ก็จะรู้สีกความไม่สบายใจเกิดขึ้น...
        ไปซื้อของมามากมาย  หิ้วของก็หนัก ก็จะรู้สีกได้ถึง ความหนักขณะหิ้วของอยู่ ...

 BB...รู้ ด้วยการเห็นของจิต ต่อไป จะเรียกว่า **การเห็น**
         ซี่งการรู้ด้วยการเห็นนี้ ผู้ทีเห็นได้ จะต้องมี ดาใน หรือ ดวงตาเห็นธรรม เกิดขึ้นก่อน จึงจะเห็นได้ 
        การเห็น นี้ จะมุ่งการเห็นไปทีสภาวะธรรมทีเป็นปรมัตถธรรมทีเกิดขึ้นเท่านั้น ซี่งไม่เกี่ยวกับการเห็นวัตถุต่างๆ ทางโลกเลย 
        สภาวะปรมัตธรรมทีจะเห็นได้นี้ จะมี 2 อย่างคือ
                 >>สภาวะปรมัตถธรรมทีเป็น รูป 
                 >> ปรมัตถธรรมที ไม่มีรูป
.
       การเห็นแบบนี้จะยังแบ่งย่อยได้อีก 2 แบบ คือ
.
BB1...การเห็นด้วย ฌาน แบบนี้ จะเป็นการเพ่งจ้องสภาวะธรรมด้วยความตั้งใจเห็น
การเห็นด้วย ฌาน นั้น ตัวจิตตัวรู้ จะปรากฏขึ้นอย่างเด่นชัด ถ้าผู้ทีมีประสบการณ์ทางการภาวนามามากพอ ก็จะเห็นตัวจิตตัวรู้ได้ จาก การเห็นด้วย ฌาน 
        การเห็นด้วย ฌาน สามารถแบ่งย่อยออกได้อีก 2 แบบ คือ
       >>>>>***การเห็นด้วย ฌาน แบบที่ 1  เป็นการเห็นด้วยจิตตัวรู้ทีไปเห็นสภาวะธรรมทีเป็น รูปในขณะทีขบวนการวิปัสสนากำลังเกิดขึ้นอยู่ ซี่งขบวนการวิปัสสนานี้ อาจจะสั้น ๆ เพียวเสี้ยววินาทีก็ได้ หรือ อาจยาวนานสัก 2- 3 วินาทีก็ได้ แต่จะไม่มีขบวนการวิปัสสนาทีเกิดนานๆ เป็นนาทีเลย
           การเห็นด้วย ฌาน แบบที่ 1 นี้ จะเกิดขึ้นเอง ตัวนักปฎิบัติไม่สามารถไปยุ่งกับการเห็นนี้ได้เลย   การเห็นนี้จะจบลง เมื่อขบวนการวิปัสสนาจบลง

       >>>>>*** การเห็นด้วย ฌาน แบบที่ 2 เป็นการใช้ดวงตาเห็นธรรม ไปเพ่งจ้องสภาวะธรรมทีเป็นปรมัตถธรรมที่เป็น รูป ด้วยความจงใจของผู้ปฏิบัติเอง ซึ่งถ้าทำแบบนี้ จะเป็น สมถะภาวนา นักภาวนาจะทำนานเท่าใดก็ได้ ขึ้นอยู่กับความต้องการของตัวนักภาวนาเอง
.
BB2... การเห็นด้วย ญาณ 
        การเห็นด้วย ญาณ นี้จะต่างจากการเห็นด้วย ฌาน ทีตัวจิตตัวรู้ จะไม่ปรากฏเด่นขึ้นมา
ซี่ง การเห็นด้วย ญาณ จะใช้กับการเห็น สภาวะธรรมแท้ ๆ ของตัวจิตทีเป็นความว่างเปล่า ที่เป็นแบบไม่มีรูป  (ในทางมหายาน จะเรียก จิตเดิมแท้ ) 
       ซึ่งถ้าใช้ ฌาน จะไม่สามารถเห็น จิตเดิมแท้ ได้เลย เพราะฌาน จะใช้การเห็นได้เฉพาะปรมัตถธรรมทีเป็น รูป เท่านั้น
.
ภาพประกอบเนื้อหา



.
 


Create Date : 26 มีนาคม 2564
Last Update : 4 เมษายน 2564 9:35:43 น. 0 comments
Counter : 1706 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะ VIP Friend
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

นมสิการ
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 142 คน [?]




หลักปฏิบัติ ...รู้สึกตัว ผ่อนคลาย เฉย ๆ สบาย ๆ

มากกว่า 20 ปีที่ไปหลงทำสมถภาวนาแบบสมาธิแบบฤาษีโดยที่ไม่รู้จักกับคำว่า อะไรคือสัมมาสติ สัมมาสมาธิ ผลที่ได้คือความสงบขณะกำลังนั่งสมาธิจนตัวนิ่งแข็งเป็นก้อนหิน แต่ผลข้างเคียงตามมาก็คือการเป็นคนเจ้าโทสะอย่างรุนแรงขณะเวลาไม่ได้นั่งสมาธิ และ ที่อยู่ในชีวิตประจำวัน....

จนได้พบกัลยณมิตรแดนไกล ที่ได้ชักนำให้มารู้จักวิธีปฏิบัติแบบหลวงพ่อเทียน จนได้พบกับพระอาจารย์ในสายหลวงพ่อเทียน ที่ผมได้เรียนการปฏิบัติจากท่าน จนเข้าใจว่า สัมมาสติ สัมมาสมาธิ คืออะไร แล้วลงมือฝึกฝน การปฏิบัติก็รุดหน้าและได้ลิ้มรสสิ่งบริสุทธิในจิตใจอันเป็นผลจากการปฏิบัติด้วยเวลาเพียง 5 ปี

ธรรมปฏิบัติจากฆราวาสเขียนเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ยากในสังคมไทย ผมรู้ได้จากที่เขียนใน blog ผมได้พบกับการก่อกวนใน blog การเขียนเหน็บแนม กระแหนะกระแหน ตำหนิการการปฏิบัติที่ผมเขียนใน blog ว่าผิดทาง เขียนแบบคาดเดาเอา ไม่รู้จริง ให้ผมหยุดเขียนแนวนี้ได้แล้ว และไปโมทนาสาธุแนะนำการปฏิบัติสมาธิแบบฤาษีให้กับผมอีกว่านี่คือทางที่ถูกต้อง ...

บทความใน blog จึงเกิดขึ้นมา เพื่อแบ่งปันประสบการณ์ในการภาวนา
แก่ผู้อื่นที่กำลังเดินทางในสายแห่งอริยมรรคนี้

เมื่อท่านได้เข้ามาอ่านข้อเขียนใน blog กรุณาอย่าได้เชื่อผมจนกว่า ท่านได้ทดลองปฏิบัติแล้วและพิสูจน์ด้วยตัวท่านเอง

**กรุณา .อย่า.ได้บริจาคเงินให้ blog ผมทาง e-wallet ครับ **

******
บทความต่าง ๆ ใน blog นี้
ขอสงวนสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537
ห้ามนำไปดัดแปลง ลอกเลียน หรือนำส่วนหนึ่งส่วนใดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต

****
New Comments
Friends' blogs
[Add นมสิการ's blog to your web]
Links
 
MY VIP Friend


 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.