ทำไมเมื่อเกิดความรู้สึกตัวแล้วรู้สึกเป็นทุกข์ขึ้นมา
. 1...นักภาวนาทีภาวนามาได้สักระยะหนึ่ง มักจะเกิดอาการอย่างหนึ่งขึ้นคือ เมื่อมีความรู้สึกตัวขึ้นมาเมื่อใด จะเกิดความรู้สึกเป็นทุกข์ขึ้นมาทันที และเมื่อเกิดอาการนี้ขึ้น ก็มักจะพบว่า อาการความรู้สึกตัวนี้ จะเกิดอยู่ยาวนาน ไม่ค่อยเผลอ ดูเหมือนจะได้ผลดีในการภาวนาด้วยซ้ำไป ทีมีความรู้สึกตัวยาวนาน ไม่ค่อยเผลอเลย . แต่ความทุกข์ก็จะค้างอยู่อย่างนั้นยาวนาน ทำให้ไม่มีความสุขในชีวิต . ผลเสียอีกประการหนี่งของคนทีเกิดอาการนี้ขึ้นก็คือ เขาจะนอนหลับยาก หรือ นอนไม่ค่อยหลับ หรือ นอนแล้วฝันบ่อย ทำให้นอนไม่เต็มอิ่ม รู้สีกเหนื่อย เพลียเมื่อตื่นอยู่ . 2..สาเหตุทีเกิดอาการนี้ขึ้นเพราะอะไร ความเป็นปุถุชนนั้น ตัวจิตมักจะไหลออกไปสู่โลกภายนอกเสมอ นี่คือธรรมชาติที่สร้างมาให้เป็นเช่นนี้ เมื่อจิตไหลออกไปสู่โลกภายนอก อาการรู้สึกทุกข์จะไม่เกิดขึ้นเลย เพราะได้สูญเสียความรู้สึกตัวไป ทำให้จิตไม่รับรู้อาการทุกข์ทีเกิดขึ้นทีกายใจ . แต่เมื่อนักภาวนาได้ฝึกฝนมาสักระยะหนึ่ง จิตทีเคยไหลออกไปสู่โลกภายนอก ก็จะไหลออกน้อยลงไป ความรู้สึกตัวทีเคยหายไปตลอดเวลาเมื่อจิตไหลออกนอก ก็จะปรากฏมีมากขึ้น แต่จิตทีเคยไหลออกนอก ถึงไม่ไหลออกนอกก็จริง แต่จิตนั้นจะค้างอยู่แถวบริเวณหน้าผากส่วนหน้าของคนเรา อาการจิตค้างอยู่นี้ นักภาวนาบางคน อาจรู้สึกได้ว่า ทีบริเวณใบหน้าจะมีอะไรนูน ๆ ปรากฏอยู่ และบางครั้ง ก็จะรู้สึกหนัก ๆ ทีศรีษะด้วย . เมื่อจิตค้างอยู่แถวหน้าผาก อาการปรุงแต่งทางจิตจะเกิดขึ้นทันที อาการปรุงแต่งนี้แหละที่ทำให้เกิดความรู้สึกทุกข์ขึ้นมา ยิ่งถ้าการปรุงแต่งได้แปลภาษาออกมาเป็นเรื่องราวทางโลก ทีเป็นทุกข์ ความทุกข์ยิ่งปรากฏตัวหนักมากขึ้นไปอีก . ประกอบกับเกิดความรู้สึกตัวได้มากขึ้น นักภาวนาจึงรู้สึกว่า เมื่อรู้สึกตัวเมื่อใด ความทุกข์จะปรากฏขึ้นมาทันที และความทุกข์นั้นไม่หายไปไหน จะปรากฏค้างอยู่ทีตลอดทีมีความรู้สึกตัวอยู่ . 3..แนวทางแก้ไขทุกข์ทีเกิดขึ้นแบบนี้ จะทำอย่างไร . ในการแก้ไขอาการทางจิตทีเกิดจากการภาวนานั้น สามารถทำได้หลายอย่าง แล้วแต่ผู้ภาวนาจะทำอย่างไร หรือครูบาอาจารย์ทีสอน จะได้แนะนำอย่างไรแก่ลูกศิษย์ ซึ่งผมจะนำเสนอวิธีการแก้ไข 3 อย่างด้วยกันดังนี้ . 3.1 การแก้ไขด้วยการรู้สึกลงไปทีจิต วิธีนี้ ไม่ใช่ทุกคนจะทำได้ แต่ก็มีบางคนทีทำได้ วิธีการก็คือ เมื่อเกิดรู้สึกทุกข์ทีเกิดขึ้นแบบทีเขียนไว้ข้างต้น ให้นึกไปถีง อาการทางจิตทีดี เช่น ** อาการจิตทีสงบ ** อาการจิตเงียบ ** อาการจิตทีปลอดโปร่ง สดใส เพียงนึกอาการทางจิตอย่างใดอย่างหนี่งที่ทำได้ อาการรู้สึกเป็นทุกข์จะหายไปทันที . หมายเหตุ วิธีนี้เป็นสมถะภาวนา ถ้าใครจะหมั่นนึกแบบนี้ แล้วไม่ทุกข์ โดยนึกอยู่เสมอ ๆ เนืองๆ ก็จะเป็นการเจริญสมถะภาวนาอยู่เนือง ๆ ดังทีทราบกันแล้วว่าการเจริญสมถะนั้น มีผลดี แต่ไม่ทำให้เกิดปัญญา . 3.2 การแก้ไขโดยการรู้สึกลงไปทีกาย วิธีนี้ จะง่ายกว่า 3.1 คนทีทำได้จะมีมากกว่า 3.1 มาก วิธีการก็คือ ให้รู้สึกถึงการสัมผัสลงไปทีผิวกายให้มากขึ้น เช่น รู้สีกถึงเสื้อผ้าโดนร่างกายอยู่ เป็นต้น . หมายเหตุ วิธีนี้ เป็นสมถะภาวนาเช่นเดียวกับข้อ 3.1 . 3.3 วิธีผสมผสาน ข้อ 3.1 และ 3.2 เพื่อให้เกิด สมถะ และ วิปัสสนา สลับไปมา วิธีการก็คือ เมื่อท่านทำข้อ 3.1 หรือ 3.2 อยู่ แล้วขณะที่ทำ อาการทุกข์ได้หายไป ขอให้ทำต่อไปอีกสัก 2 ถึง 3 นาที เพื่อให้ทุกข์หายไปนานขึ้นอีกสักหน่อย เมื่อทุกข์หายไปแล้ว ให้หยุดทำ เมื่อหยุดทำ ทุกข์ทีเคยเป็นอาจกลับมาใหม่ได้อีกเสมอ เมื่อทุกข์กลับมาใหม่ ให้ทำข้อ 3.1 หรือ 3.2 ซ้ำใหม่ได้ ต่อเมื่อทำแล้ว ทุกข์หายไป ก็ให้หยุดทำอีก แล้วรอเวลาให้ทุกข์มาใหม่ จึงทำใหม่ ให้ทำวนเวียนแบบนี้ไปเรื่อย ๆ . เมื่อทุกข์เกิด แล้วหายไปเพราะทำสมถะ แล้วเกิดใหม่อีกเมื่อหยุดทำสมถะนั้น จะเป็นการเจริญสมถะ เวียนไปกับการทำวิปัสสนา .
3.4 การแก้ไขโดยการทิ้งการภาวนาไปเลย แล้วกลับไปสู่สภาวะปุถุชนเหมือนเดิม วิธีนี้ ถ้าใครทำข้อ 3.1 หรือ 3.2 ไม่ได้เลย ให้ทำข้อนี้ คือ เลิกภาวนาไปชั่วคราว จนกว่าอาการนี้จะหายไป .
4..อาการนี้ จะหายไปเมื่อใด อาการนี้ ไม่หายไปได้เลย ถ้าตราบใดทีจิตไปค้างอยู่แถวบริเวณหน้าผาก แล้วนักภาวนาไปยึดอาการนี้ไว้ . แต่ถ้านักภาวนาสามารถผ่านอาการนี้ไปได้ก็คือ เมื่ออาการนี้เกิดขึ้นอยู่ก็ตาม แต่นักภาวนายังมีสติทีรู้ลงไปทีโลกภายในได้ด้วย เช่นรู้สึกถึงการสัมผัสทีเกิดขึ้นทีกาย หรือ รู้สึกได้ถึงอาการทางจิต ทีปลอดโปร่ง สดใจ ได้ด้วย เมื่้อนักภาวนาสามารถมีสติรู้อยู่ในโลกภายในได้ดีขึ้น อาการทุกข์แบบนี้ ถึงมีอยู่ แต่จะเบาบางลงไป และจะไม่รู้สึกทุกข์หนักเหมือนเดิมอีก . ขอให้นักภาวนาทำความเข้าใจกับสติปัฏฐานให้กระจ่าง การรู้สึกไปทีอาการเดียวทีเป็นทุกข์นั้น คือ การยึดติด เมื่อยึดติดแล้ว ผลที่ตามมาก็คือ ทำให้รู้สึกทุกข์ รู้สึกไม่สบายขึ้นมาได้ ความเป็นสติปัฏฐานนั้น เมื่อนักภาวนาทำการภาวนาได้ตรง ทาง นักภาวนาจะสามารถรู้สึกได้ทุกอย่างในสติปัฏฐานครบถ้วนทั้งหมด กล่าวคือ จะรู้หมด ทั้ง กาย เวทนา จิต ธรรม การรู้ถ้วนในสติปัฏฐาน คือ การมีสติระลึกได้ในสติปัฏฐาน ทีไม่มีการยึดติด แต่อย่างใด ผมเขียนอย่างนี้ คงค้านกับความเห็นความเข้าใจของนักภาวนาหลาย ๆคน อยู่ แต่ฝากไว้ให้ท่านพิจารณา
Create Date : 18 กุมภาพันธ์ 2561 |
Last Update : 18 กุมภาพันธ์ 2561 8:34:17 น. |
|
0 comments
|
Counter : 1088 Pageviews. |
|
|