1 2 3 4
5 6 7 8 9 10 11
12 13 14 15 16 17 18
19 20 21 22 23 24 25
26 27 28 29 30
จะพ้นไปจากกองทุกข์ได้อย่างไร
พุทธศาสนา เป็นศาสนาแห่งการมีปัญญา ปัญญาอะไรละ.... คำตอบก็คือ ปัญญาทีพ้นไปจากกองทุกข์ทั้งปวงได้ แล้วพระพุทธองค์ก็ทรงตรัสสอน การพ้นไปจากกองทุกข์ทั้งปวงก็คือ อริยสัจจ์ 4 อันเป็นแก่นของพุทธศาสนา ชาวพุทธทีไม่ได้สดับ ไม่มีปัญญาแยกแยะอะไรคือแก่นแห่งพุทธศาสนา ย่อมไม่มีวันทีจะหลุดพ้นไปจากกองทุกข์ได้ แต่ยิ่งศีกษาหลักธรรมทีผิดเพี้ยนไป ก็กลับยิ่งหลงทางห่างออกไปจากทางแห่งมรรคเข้าไปทุกที ในอริยสัจจ์ 4 ข้อที 1 พระพุทธองค์ได้ตรัสสอนไว้ ได้ความว่า ทุกข์ ให้รู้ ในข้อนี้ จะมี 2 คำทีต้องใส่ใจ คำแรกคือ ทุกข์ คำทีสองคือ ให้รู้ คำแรก ทุกข์ หมายถีงอะไร คำว่า ทุกข์ นี้จะหมายถีง สรรพสิ่งทีไม่เที่ยงแท้ สรรพสิ่งทีมันเปลี่ยนแปลงได้ การรู้ทุกข์นี้ ต้องรู้แบบไม่ยีดติดด้วย อันเป็นอริยสัจจ์ 4 ข้อที 2 การรู้ทีไม่ยีดติด คือ การรู้ทุกข์ในขณะที่สัมมาสมาธิเกิดอยู่ ก่อนอื่นต้องเข้าใจก่อนว่า ตัวจิตนั้น จะมี 2 ส่วน คือ จิตพลังงาน และ จิตผู้รู้ เมื่อจิตพลังงานไหวตัวก่อน แล้ว จิตผู้รู้ไปเห็นทันการไหวตัวของจิตพลังงานนั้น พอจิตผู้รู้เห็นทันการไหวตัวนี้แล้ว การไหวตัวจะดับลงไปทันที แล้วปัญญาจะเกิดขึ้น สรุป เงื่อนไขของการเกิดปัญญาจะเป็นว่า 1. จิตพลังงานมีการไหวตัว 2. จิตผู้รู้ไปเห็นทันการไหวตัวนั้น -เน้นย้ำว่า เห็นทัน- 3. การไหวตัวนั้นสลายตัวไปเป็นความว่างเปล่าอย่างรวดเร็ว ปกติ จิตพลังงานมีการไหวตัวอยู่เสมออยู่แล้ว เช่น เพียงตาเห็นรูป หูได้ยินเสียง จิตพลังงานก็ไหวตัวไปสร้างขันธ์ขึ้นมาแล้ว แต่นักภาวนาไม่รู้เท่านั้นเอง แต่ทีไม่เกิดปัญญา เพราะจิตผู้รู้ -เห็นไม่ทัน-ตอนการไหวตัวของจิตพลังงาน คนทั่วไปจะไม่เห็นการไหวด้วยซ้ำ แต่รู้ตอนผลการไหวตัวเกิดขึ้นมาแล้วสักเวลาหนี่ง นักภาวนาทีภาวนามาพอสมควร ถีงเห็นก็เห็นไม่ทันการไหวตัว แต่เห็นตอนทีการไหวตัวเกิดขึ้นมาแล้ว ผมขอยกตัวอย่างการ - เห็นทัน - เพื่อความเข้าใจ สมมุติว่า ท่านนั่งอยู่บนรถ รถก็แล่นไป ท่านเอาแต่คุย เอาแต่โม้ กับคนโน้นคนนี้ในรถ เผอิญรถเกิดอุบัติเหตุ มันเร็วมาก รถตกถนนไปข้างทาง ผู้คนในรถบาดเจ็บ ท่านรู้ว่า เกิดเหตุ รถตกข้างทาง แต่นีคือ รู้ไม่ทัน เพราะอุบัติเหตุเกิดขึ้นแล้ว ท่านรู้หลังอุบัติเหตุเกิดขึ้นแล้ว แต่คนทีเขาเห็นทัน คือ วินาทีทีเกิดอุบัติเหตุ -เน้นย้ำว่า วินาทีทีเกิด - เขาเห็นเหตุการณ์สด ๆ เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ว่าเกิดอะไรขึ้น ซี่งเวลาทีเกิดนี้สั้นเพียงเสี้ยววินาทีเดียวเท่านั้น นีคือ การเห็นทันในวินาทีทีเกิดนั้น นักภาวนาทีภาวนามาได้สักระยะหนี่ง พอมีอารมณ์โกรธขึ้น เขาบอกว่าเขาเห็นอารมณ์โกรธนั้น แล้วอารมณ์โกรธนั้นดับลงไปต่อหน้าต่อตา ถามว่า นีเห็นทันอารมณ์โกรธไหม ตอบว่า ทีเขาเห็นยังเห็นไม่ทันครับ แต่เขาเห็นตอนมันเกิดมาแล้ว ขอให้เทียบกับตัวอย่างของการเกิดอุบัติเหตุทีผมยกไว้ข้างต้น เมื่อเห็นยังไม่ทัน แต่เห็นมันเกิดแล้วดับลงไปได้ นีก็ยังดี ถีงปัญญายังไม่เกิด แต่ก็ได้สัมมาสมาธิ การสะสมของการเห็นแบบนี้บ่อย ๆ คือ เกิดสัมมาสมาธิหลาย ๆ ครั้ง แล้วจะเกิดการเห็นทันได้สัก 1 ครั้ง พอเห็นทัน ปัญญาจึงจะเกิด จากเงื่อนไขดังกลาว ขอให้พิจารณาดูในวิธีการฝีกฝนเพื่อการปฏิบัติ เพื่อให้เกิดเงื่อนไขของการเกิดปัญญาทีสรุปได้ว่า >>>>>การฝีกฝน ต้องหัดฝีกให้จิตผู้รู้มีความสามารถรู้ได้ว่องไว และ ตั้งมั่น >>>>>อย่าไปกดจิตพลังงานให้มันนิ่ง ถ้านักภาวนาไม่ฝีกฝนเพื่อให้เกิดเงื่อนไขดังกล่าวขึ้น ก็ไม่มีทางเกิดปัญญาได้เลย คนส่วนมาก มักเข้าใจว่า ต้องทำจิตให้นิ่ง จึงจะมีปัญญา ความเข้าใจนี้คลาดเคลื่อน การทำจิตให้นิ่ง เป็นการเข้าฌาน จึงไม่มีปัญญาเกิดขึ้น เหมือนดังฤาษีในสมัยพุทธกาล ทีต่างจิตนิ่งเพื่อเข้าฌาน แต่ไม่เกิดปัญญา ทีนี้จะมีคำถามตามมาว่า เมื่อเกิดปัญญาขึ้นเพราะการเห็นทัน 1 ครั้ง นักภาวนาจะรู้อะไรบ้าง คำตอบของผมอาจทำให้ท่านตกใจไปสิบตลบ เพราะ ปัญญาทีเกิดขึ้น นักภาวนาจะไม่รู้อะไรเลยว่านีคือปัญญา แต่ทีนักภาวนาจะรู้ได้ก็คือ ......สัมมาสมาธิจะเป็นธรรมชาติมากขึ้น กล่าวคือ ไม่ต้องทำสัมมาสมาธิเลย แต่ก็เป็นสัมมาสมาธิทีทรงตัวอยู่ได้เอง มีเกิดแบบนี้บ่อยขึ้น ถี่ขึ้น การเผลอลดน้อยลงไป สัมมาสมาธิทีเป็นธรรมชาติมากขึ้นนี้เอง ผลก็คือ การหลุดจากทุกข์จะง่ายขึ้น เร็วขึ้น จิตไม่ยีดเกาะทุกข์ดีขึ้น และ เผลอลดน้อยลงไปจนเกิดการไม่เผลออีกเลย เมื่อเกิดปัญญาแบบนี้เพียงไม่กี่ครั้ง จิตจะหลุดพ้นจากกองทุกข์ได้อย่างสิ้นเชิง
Create Date : 04 มิถุนายน 2559
Last Update : 8 มิถุนายน 2559 16:10:14 น.
0 comments
Counter : 2357 Pageviews.
Location :
[ดู Profile ทั้งหมด]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 142 คน [? ]
หลักปฏิบัติ ...รู้สึกตัว ผ่อนคลาย เฉย ๆ สบาย ๆ มากกว่า 20 ปีที่ไปหลงทำสมถภาวนาแบบสมาธิแบบฤาษีโดยที่ไม่รู้จักกับคำว่า อะไรคือสัมมาสติ สัมมาสมาธิ ผลที่ได้คือความสงบขณะกำลังนั่งสมาธิจนตัวนิ่งแข็งเป็นก้อนหิน แต่ผลข้างเคียงตามมาก็คือการเป็นคนเจ้าโทสะอย่างรุนแรงขณะเวลาไม่ได้นั่งสมาธิ และ ที่อยู่ในชีวิตประจำวัน.... จนได้พบกัลยณมิตรแดนไกล ที่ได้ชักนำให้มารู้จักวิธีปฏิบัติแบบหลวงพ่อเทียน จนได้พบกับพระอาจารย์ในสายหลวงพ่อเทียน ที่ผมได้เรียนการปฏิบัติจากท่าน จนเข้าใจว่า สัมมาสติ สัมมาสมาธิ คืออะไร แล้วลงมือฝึกฝน การปฏิบัติก็รุดหน้าและได้ลิ้มรสสิ่งบริสุทธิในจิตใจอันเป็นผลจากการปฏิบัติด้วยเวลาเพียง 5 ปี ธรรมปฏิบัติจากฆราวาสเขียนเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ยากในสังคมไทย ผมรู้ได้จากที่เขียนใน blog ผมได้พบกับการก่อกวนใน blog การเขียนเหน็บแนม กระแหนะกระแหน ตำหนิการการปฏิบัติที่ผมเขียนใน blog ว่าผิดทาง เขียนแบบคาดเดาเอา ไม่รู้จริง ให้ผมหยุดเขียนแนวนี้ได้แล้ว และไปโมทนาสาธุแนะนำการปฏิบัติสมาธิแบบฤาษีให้กับผมอีกว่านี่คือทางที่ถูกต้อง ... บทความใน blog จึงเกิดขึ้นมา เพื่อแบ่งปันประสบการณ์ในการภาวนา แก่ผู้อื่นที่กำลังเดินทางในสายแห่งอริยมรรคนี้ เมื่อท่านได้เข้ามาอ่านข้อเขียนใน blog กรุณาอย่าได้เชื่อผมจนกว่า ท่านได้ทดลองปฏิบัติแล้วและพิสูจน์ด้วยตัวท่านเอง **กรุณา .อย่า.ได้บริจาคเงินให้ blog ผมทาง e-wallet ครับ ** ****** บทความต่าง ๆ ใน blog นี้ ขอสงวนสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 ห้ามนำไปดัดแปลง ลอกเลียน หรือนำส่วนหนึ่งส่วนใดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ****