การปฏิบัติธรรมด้วยการรู้ความเป็นธาตุ
1...บทความเรื่อง <การปฏิบัติธรรมด้วยการรู้ความเป็นธาตุ> นี้เป็นความเข้าใจส่วนตัวล้วน ๆ ท่านทีเข้ามาอ่าน แนะนำให้อ่านด้วยวิจารณญาณ และใช้ปัญญาพิจารณาไตร่ตรอง เพื่อความเจริญในธรรมสืบต่อไป
ผู้เขียนได้เขียนบทความเบื้องต้นสำหรับการรู้ความเป็นธาตุใน เรื่อง การปฏิบัติธรรมด้วยการ รู้กายที่กำลังเคลื่อนไหว https://www.bloggang.com/mainblog.php?id=namasikarn&month=19-03-2021&group=17&gblog=211 แนะนำอ่านแก่ท่านทีสนใจ .
2..การรู้ความเป็นธาตุ ได้ถูกจัดไว้ใน หมวด ธัมานุปัสสนา ของสติปัฏฐาน 4 ถ้าได้เปิดดูในตำรา ธัมมานุปัสสนา ก็จะพบว่ามีอยู่หลายอย่าง ความเป็นธาตุเป็นหนี่งอย่างในนั้น . 3...การรู้ความเป็นธาตุ คือ รู้สึกได้ถึงอาการของความเป็นธาตุ โดยไม่ต้องมีร่างกายหรืออวัยวะเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ยกตัวอย่างเช่น ถ้าท่านใช้มือซ้ายไปตีทีมือขวา ย่อมเกิดการกระทบสัมผัสขึ้น การกระทบสัมผัสที่รู้ได้นี้ให้พิจารณาว่า มันเป็นธาตุ
ในแง่การปฏิบัติ เมื่อมีผัสสะเกิดขึ้นแล้วไปรู้เข้า ท่านให้พิจารณาผัสสะใด ๆ ก็ได้ว่ามันเป็นธาตุ กล่าวคือ รู้ถึงอาการแข็ง รู้ถึงอาการอ่อน รู้ถึงความเย็น รู้ถึงความร้อน รู้ถึงความสั่นไหว ซึ่งตำราได้แยกแยะไว้ชัดเจนว่า อาการเช่นใดเป็นธาตุอะไร แต่ในแง่การปฏิบัติ ไม่จำเป็นต้องไปรู้ชื่อของธาตุ เพียงรู้อาการของผัสสะในแง่ของธาตุก็พอแล้ว . 4...ขอยกตัวอย่างประกอบเพื่อความเข้าใจ
A...เมื่อนักภาวนาเดินจงกรม จิตไปรู้อาการของฝ่าเท้าทีไปสัมผัสกับพื้นเวลาเดิน ให้รู้อาการของผัสสะทีเกิดขึ้น ก็จะพบว่า การสัมผัสทีพื้นนี้ออกอาการแข็งๆ ในการปฏิบัตินั้น การรู้ความเป็นธาตุนี้ ให้รู้แต่อาการของธาตุ แต่อย่าไปรู้ว่าถึงอวัยวะทีเกิดผัสสะขึ้น ดังเช่นตัวอย่างการเดินจงกรมนี้ ให้รู้อาการผัสสะว่า มันแข็ง ๆ แต่ไม่ต้องไปรู้ว่ามีขาที่ไปกระทบพื้น
B..เมื่อท่านล้มตัวนอน ศรีษะไปกระทบกับหมอน มีความรู้สีกของการกระทบขึ้น นักภาวนาเพียงรู้ว่า มีผัสสะเกิดขึ้นทีมันอ่อนๆ นิ่ม ๆ ไม่ต้องไปรู้่ว่า มีศรีษะไปกระทบหมอน
C..เมื่อท่านวิ่งแบบวิ่งเยาะ ๆ ท่านจะพบว่า ร่างกายของท่านมีการสั่นสะเทือนไปทั้งร่าง ท่านเพียงรู้สีกได้ถึงอาการสั่นสะเทือนทีเกิดขึ้น ไม่ต้องไปรู้ว่ามีร่างกายอยู่ พอท่านวิ่งเสร็จ ท่านมานั่งพัก ท่านจะรู้สีกร้อน ให้เพียงรู้สีกถึงความร้อนโดยไม่ต้องมีร่างกายมาเกี่ยวข้องด้วย
5..จุดพลาดของนักปฏิบัติทีฝีกในหมวดการรู้ความเป็นธาตุ . A...พลาดทีไปจ้องร่างกาย หรือ จ้องทีอวัยวะทีเกิดผัสสะ เช่น เวลาเดินจงกรม ก็จ้องทีเท้า หรือ เวลาเคลื่อนมือแบบหลวงพ่อเทียน ก็ไปจ้องทีมือ การไปจ้องอวัยวะ ไม่ก่อให้ผลดีในการปฏิบัติ มือใหม่ส่วนมาก มักเข้าใจว่า การไปจ้องคือ การรู้ทีชัดเจนกว่า แต่เป็นการเข้าใจทีคลาดเคลื่อนทีทำให้การปฏิบัติไม่ได้ผลดีออกมา
B...ชอบสงสัยว่า ผัสสะนี่มันแข็งหรือมันอ่อน กันแน่ ในการปฏิบัติ ไม่ต้องไปใส่ใจว่า ผัสสะนี่มันแข็งหรืออ่อน ถ้าท่านพิจารณาว่ามันแข็ง มันก็ถูกสำหรับท่าน ถ้าเพื่อนท่านว่า ผัสสะมันอ่อนมันนิ่ม มันก็ถูกของเพื่อนท่าน ซึ่งไม่จำเป็นต้องเหมือนกันก็ได้ . 6..การรู้ความเป็นธาตุในการภาวนาระดับสูง การภาวนาระดับสูง สำหรับนักปฏิบัติทีชำนาญในสติปัฏฐานมาเป็นอย่างดี จะมีการรู้ได้ถึงลมหายใจทีเกิดขึ้นอยู่เสมอ เมื่อมีการรู้ความเป็นธาตุ พร้อมมีการรู้ลมหายใจเป็นพื้นฐานในการรู้ ก็สามารถนำพาไปสู่การมีปัญญาในทางธรรมว่า ไม่มีรางกาย ไม่มีอวัยวะ ไม่มีตัวตนของฉัน ได้ มีเพียงแต่ความเป็นธาตุ ทีมัน แข็ง ๆ อ่อน ๆ ไหว ๆ ร้อน ๆ เย็น ๆ เท่านั้น
7..ขอความสวัสดีและเจริญในธรรม มีแด่ท่านทีมีสติอยู่เป็นนิสัย
Create Date : 21 มีนาคม 2564 |
|
0 comments |
Last Update : 24 มีนาคม 2564 10:08:18 น. |
Counter : 928 Pageviews. |
|
|
|