อริยสัจจ์ 4 ข้อที่ 1 ทุกข์ให้รู้ หมายความว่าอย่างไรในการปฏิบัติ
บทความนี้ เป็นความเห็นส่วนตัว ไม่จำเป็นต้องเหมือนกับท่านใด หรือ เหมือนกับสิ่งทีมีกล่าวในตำราทั้งหลาย* * 1..ก่อนอื่น ขอให้ท่านทดลองดังนี้ก่อน หรือ ถ้าท่านเคยเล่นสมัยเป็นเด็ก ท่านคงนึกออก * 1.1 ขอให้นำแก้วน้ำใสมา 1 ใบ ใส่น้ำเปล่าทีสะอาดให้เกือบเต็มแก้ว 1.2 ให้ท่านหยดน้ำยาอุทัย ( น้ำยาอุทัย จะเป็นสีแดงเข้ม ) 1 หยดลงไปในน้ำในแก้ว 1.3 ขอให้ท่านสังเกตดูหยดน้ำยาอุทัย ท่านจะเห็นว่า น้ำยาอุทัยทีเคยเป็นหยดเล็กๆ ในน้ำ จะค่อยๆ ขยายตัวออกเป็นเม็ดใหญ่ขึ้น ยิ่งน้ำยาอุทัยขยายตัวใหญ่มากขึ้น ความเป็นหยดของน้ำยาจะค่อยๆ จางลงไป และ สีจะเปลี่ยนจากสีแดงเข้ม กลายเป็นสีชมภู ให้มองต่อไป จนหยดน้ำยาอุทัยได้สลายตัวหมด รวมตัวเป็นเนื้อเดียวกับน้ำเปล่าในแก้ว ตอนนี้ จะไม่เห็น หยดน้ำยาอุทัย อีก และสีของน้ำเปล่าก็จะเปลี่ยนเป็นสีชมภู * ถ้าท่านเห็นอาการเปลี่ยนแปลงของ หยดน้ำยาอุทัยแล้ว ขอให้อ่านต่อไป ถ้าท่านยังไม่เข้าใจการเปลี่ยนแปลงของ หยดน้ำยาอุทัย ขอให้ทำความเข้าใจโดยการทดลอง ให้เห็นจริงก่อน ทีจะอ่านต่อไป * 2..ทุกข์ปรมัตถ์ของอริยสัจจ์ 4 ข้อที่ 1 เปรียบได้ดัง หยดน้ำยาอุทัย ทีหยดลงไปในน้ำเปล่าในแก้ว เริ่มตั้งแต่ต้นทีเป็นหยด จนสลายตัวหมดไม่เป็นหยด * ในสภาวะธรรมของตัวจิตนั้น จะมี 2 ส่วน ส่วนที 1 คือ ส่วนทีเป็นพลังงาน และ ส่วนที 2 คือ ส่วนทีทำหน้าที รู้ สภาวะปรมัตถธรรม * จิตส่วนที่ 1 ทีเป็นพลังงาน เปรียบได้ดัง หยดน้ำยาอุทัย เมื่อ คนทำงานหาเลี้ยงชีพ มีการใช้ความคิด มีความตั้งใจ มีการพูดคุยสื่อสารกันเพื่อให้รู้เรื่องต่างๆ ทางโลก มีอารมณ์ปรุงแต่งในจิตใจเกิดขึ้น จิตพลังงานนี้ จะรวมตัวกันขึ้นมาเป็นก้อน เป็นเม็ด เปรียบได้ดัง หยดน้ำยาอุทัย ที่เพิ่งหยดลงไปในน้ำ จิตพลังงานทีรวมตัวกันเป็นก้อนขึ้น ในตำราเรียกว่า ขันธ์ จิตพลังงาน หรือ ขันธ์ทีเกิดขึ้น จะขับเคลื่อนกลไกของคนเรา ให้มีชีวิตอยู่ต่อไปได้ คนจึงสามารถกินได้ ขับถ่ายได้ นึกคิดได้ และอื่นๆ อีกมากในการดำรงค์ชีวิตอยู่ * สรุปก็คือ จิตพลังงานนี้ เมื่อรวมตัวกันเป็นก้อนขึ้น ก็คือ มีขันธ์เกิดขึ้น * เมื่อ คนเจ็บป่วย มีเวทนาทางกายเกิดขึ้น จะปรากฏของก้อนทุกข์ปรากฏขึ้นภายในกาย เช่น ถ้าคนปวดหัว จะรู้สีกว่า ในหัวมีก้อนอะไรอยู่ภายในแล้วทำให้ปวดขึ้น หรือ ปวดท้อง ก็จะรู้สีกได้ว่า มีก้อนอะไรอยู่ภายในท้อง แล้วทำให้ปวดท้อง การปวดในร่างกายจะมีอาการแบบนี้ทั้งหมด ก้อนทีเกิดขึ้นภายในร่างกายแล้วทำให้เกิดเวทนาขึ้น คือ ก้อนของจิตพลังงานนี้ * ต่อไป ขอให้ท่านทดลองกับตนเอง ให้ใช้มือขวาตีลงไปทีแขนซ้าย ให้ตีให้แรงพอ แล้วขอให้ท่านสังเกตอาการแขนซ้ายทีถูกตี เมื่อแขนซ้ายถูกตี ทันทีที่ถูกตี ท่านจะพบว่า จุดทีถูกตี จะเหมือนมีก้อนอะไรเกิดขึ้น แล้วท่านก็รู้สีกได้ ถ้าตีแรง ท่านก็จะเจ็บมาก ถ้าตีไม่แรง ท่านอาจไม่เจ็บ ขอให้สังเกตต่อไป ท่านจะพบว่า ก้อนทีเกิดขึ้นทีแขน เมื่อถูกตี จะค่อยๆ แผ่จางลงไปเรื่อยๆ จนอาการความเป็นก้อนนั้นได้หายไป เมื่อก้อนหายไป ท่านก็กลับมาปกติอีกครั้งทีแขนทีถูกตี * อาการทีแขนถูกตี ตอนแรก เป็นก้อนขึ้นทีแขนแล้วรู้สีกได้ชัดเจน เปรียบเหมือน หยดน้ำยาอุทัย เมื่อเพิ่งหยดลงไปในน้ำ แล้วการเปลี่ยนแปลงของก้อนทีแขนจะค่อยๆ จางลงไป เปรียบดัง หยดน้ำยาอุทัย ทีจางลงไปเรื่อยๆ เมื่อทีแขนกลับมาปกติ ไม่มีก้อนอะไรอีก เปรียบได้ดัง หยดน้ำยาอุทัย ทีได้สลายตัวรวมตัวเป็นเนื้อเดียวกับน้ำ * การเปลี่ยนแปลงนี้ เกิดจาก ตัวจิตพลังงาน ทีเกิดขึ้น เมื่อมีผัสสะเข้ามาทีแขน แล้วก็แปรเปลี่ยนเป็นไตรลักษณ์ ค่อยๆ จางลง แล้วสลายตัวไปในทีสุด นี่คือ อาการของไตรลักษณ์ของจิตพลังงาน * การรู้อาการของไตรลักษณ์ นี้ เกิดจาก ตัวจิตส่วนที 2 ทีทำหน้าที่รู้ ไปรู้อาการของไตรลักษณ์นี้ * 3..อริยสัจจ์ 4 ข้อที่ 1 คือ การให้จิตส่วนที่ 2 ทีทำหน้าที่ รู้ ไปรู้อาการทีเป็นไตรลักษณ์ของจิตส่วนที่ 1 ทีเป็นส่วนของพลังงาน ถ้ากล่าวในแง่การปฏิบัติธรรม เมื่อมีการกระทบสัมผัสขึ้นทีอายตนะทั้ง 6 จะมี จิตพลังงานส่วนที่ 1 เกิดขึ้น แล้วให้ จิตส่วนที่ 2 ทีทำหน้าที่ รู้ ไปรู้อาการของจิตพลังงานทีเกิดขึ้น ตัวอย่างเช่น ตาเห็นสิ่งใด ๆ ให้รู้ว่า บัดนี้ มีการเห็นของตาเกิดขึ้นแล้ว หูได้ยินสิ่งใด ให้รู้ว่า บัดนี้ มีการได้ยินเกิดขึ้นแล้ว เมื่อเท้าเหยียบพื้น ให้รู้ว่า บัดนี้ มีการสัมผัสเกิดทีผิวกายแล้ว และ อื่นๆ * 4...เมื่อท่านอ่านถึงข้อ 3 ท่านอาจคิดว่า ไม่เห็นได้อะไรเลย นี่มันก็เป็นอยู่แล้วของคนเรา ใช่แล้วครับ ท่านคิดได้ถูกต้อง นี่มันเป็นธรรมชาติของคนเราอยู่แล้ว แต่ทีสำคัญของ ทุกข์อริยสัจจ์ข้อที่ 1 นั้น คนมีผัสสะ แต่ไม่รู้ผัสสะ ครับ เมื่อคนไม่รู้ผัสสะ ก็จะเกิดตัณหาขึ้น อันเป็นอริยสัจจ์ 4 ข้อที่ 2 เมื่อเกิดผัสสะ จิตส่วนที่ 2 ทำหน้าทีรู้ ก็เข้าไปยีดติดในผัสสะทีเกิดขึ้นทันที เมื่อจิตส่วนที่ 2 ที่ทำหน้าที่รู้ เข้าไปยีดติดในผัสสะ ก็เกิดอาการตัวกู ของกู ขึ้น อัตตาตัวตนก็เกิดขึ้นทันที * การปฏิบัติธรรมนั้น ก็เพื่อสิ่งนี้ ให้จิตส่วนที่ 2 ทีทำหน้าทีรู้ ไปรู้ ทุกข์อริยสัจจ์ ข้อที่ 1 เมื่อรู้แล้ว อย่าให้มีการยีดติดของจิตส่วนที่ 2 นี้ กับผัสสะทีเกิดขึ้น เมื่อ จิตส่วนที่ 2 ไม่ยีดติดในผัสสะ นี่คือ มรรค 8 ข้อที่ 7 สัมมาสติ และ มรรค 8 ข้อที่ 8 สัมมาสมาธิ * ถ้า จิตส่วนที่ 1 ทีเป็นพลังงาน ไม่มีการรวมตัวการเป็นหยดน้ำอุทัย เปรียบได้ดัง น้ำยาอุทัยได้สลายตัวหมดรวมตัวเป็นหนี่งเดียวกับน้ำเปล่าแล้ว (*หมายเหตุ ในทางมหายาน จะเรียกว่า สภาวะเดิมแท้ของจิต*) ถ้าจิตส่วนที่ 2 ทีเป็นตัวรู้ มีปัญญาญาณมากพอ สามารถรู้อาการสภาะเดิมแท้ของจิตนี้ได้เมื่อใด ก็จะเกิดมรรคสมังคี อริยมรรคทั้ง 8 ได้เกิดขึ้น เกิดสภาวะของสุญญตา ความเป็นอัตตาตัวตน จะหายไป ไม่มีกู ไม่มีของกู * 5..สภาวะเดิมแท้ของจิตนี้ นักภาวนาต้องมีความละเอียดจึงจะพบได้ ถ้านักภาวนาไม่มีความละเอียดมากพอ ก็จะเหมาว่า ความว่างเปล่าของอากาศ หรือ ความว่างเปล่าของ มโนทวาร ว่าเป็นสภาวะเดิมแท้ของตัวจิต * แล้วจะพบสภาวะเดิมแท้ของตัวจิตได้อย่างไร * ก่อนอื่น ท่านต้องมีดวงตาเห็นธรรมเกิดก่อน ต่อไป ท่านต้องรู้จัก ญาณหยั่งรู้ หรือ ดวงตาเห็นธรรม ไปเห็นสภาวะปรมัตถธรรม ของตัวจิตพลังงานโดยทีไม่ใช่การตั้งใจจ้องมองทีตัวสภาวะธรรม * เมื่อ ญาณหยั่งรู้ เมื่อท่านมีพร้อม เพียงท่านเฝ้าสังเกตอาการของจิตพลังงานส่วนที่ 1 ทีเแปรเปลี่ยนไปมา จากทีเป็น เม็ดน้ำยาอุทัย จนเห็น เม็ดน้ำยาอุทัย สลายตัวรวมตัวกับน้ำเปล่าเป็นหนี่งเดียวได้ อาการทีน้ำยาอุทัยสลายตัวเป็นหนี่งเดียวกับน้ำเปล่านี่แหละ คือ สภาวะเดิมแท้ของตัวจิต ทีไม่เป็นเม็ดเล็ก ไม่เป็นก้อนใหญ่ ท่านสังเกตไปเรื่อย ๆ ด้วยญาณหยั่งรู้ ท่านจะพบได้ไม่ยากเท่าใด เพราะสภาวะจิตเดิมแท้นี้ เกิดอยู่เสมอ ๆ ในชีวิตประจำวันของคนเรา *
Create Date : 26 มีนาคม 2563 |
|
0 comments |
Last Update : 26 มีนาคม 2563 9:43:39 น. |
Counter : 754 Pageviews. |
|
|
|