น๊อคน้ำเย็น
ในพระไตรปิฏก อาทิตตปริยายสูตร //www.84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=18&A=4669&Z=4738
พระพุทธองค์ได้ตรัสถีงความเร่าร้อนเมื่อได้สัมผัสกับอายตนะทั้ง 6 อันได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ อันเป็นวิสัยของปุถุชนโดยทั่วไป
แต่ในนักภาวนา เมื่อกำลังแห่งสัมมาสติ สัมมาสมาธิแก่กล้าถีงในระดับหนี่ง เมื่อความเร่าร้อนเกิดขึ้นในจิตใจเมื่อได้สัมผัสกับสิ่งทีเข้ามาทางอายตนะแล้ว ด้วยกำลังสัมมาสติ และ สัมมาสมาธิ ความเร่าร้อนนั้นก็จะสลายลงไปเป็นไตรลักษณ์ ได้ประจักษ์ถีงความไม่เที่ยงแห่งความเร่าร้อนในจิตใจนั้น
เมื่อกล่าวในแง่การภาวนา เมื่อนักภาวนาพบกับสภาวะดังกล่าวคือ ความเร่าร้อนในจิตใจเกิดขึ้นแล้ว และ ต่อมาได้ดับสลายลงไปเป็นไตรลักษณ์แล้ว จิตได้ประจักษ์ความไม่เที่ยงของสภาวะนั้นแล้ว ดูเหมือนว่า นี่ก็คือถูกต้องแล้วในการภาวนา
แต่นักภาวนาผู้มีความสังเกตอันแยบยล ย่อมไม่ปล่อยในนาทีทองนี้หลุดลอยไปอย่างน่าเสียดาย ถีงแม้ว่า จิตได้ประจักษ์แล้วแห่งความไม่เที่ยงของสภาวะธรรมทีได้พบแล้ว แต่นักภาวนาผู้แยบยลย่อมต้องสังเกตสภาวะแห่งความเป็นไปด้วยใน 2 สภาวะดังกล่าวทีเกิดขึ้น กล่าวคือ อาการของสภาวะตอนทีเร่าร้อน และ สภาวะอาการตอนทีสงบเย็น
คำถามคือ สังเกตไปทำไมกัน รู้เพียงไตรลักษณ์ไม่พออย่างนั้นหรือ.... คำตอบก็คือ ไม่พอครับ การสังเกตสภาวะแห่งความเร่าร้อน จะทำให้จิตเกิดปัญญาในแง่ของการรู้ทุกข์อริยสัจจ์ ส่วนสังเกตสภาวะตอนสงบเย็น จะทำให้จิตเกิดปัญญาในแง่ของการรู้จักนิโรธ ทุกข์อริยสัจจ์นั้นสังเกตได้ง่าย ส่วนนิโรธสังเกตได้ยาก การสังเกตสภาวะดังกล่าวใน 2 ระดับ ทำให้จิตพบสภาวะความแตกต่างอย่างสุดขั้วของสภาวะใน 2 ระดับ กล่าวคือ ระดับทีเป็นทุกข์ และ ระดับทีไม่ทุกข์ซี่งก็คือนิโรธ
ในระดับทีเป็นทุกข์ จิตจะเพิ่มความว่องไวในสัมมาสติ และ ความตั้งมั่นแห่งสัมมาสมาธิ ในระดับทีไม่ทุกข์หรือนิโรธ จิตจะเสพย์คุ้นกับสภาวะของการไม่มีทุกข์ได้ ยิ่งจิตได้เสพย์คุ้นสภาวะนี้ได้บ่อยเท่าใด จิตยิ่งจะรู้จักสภาวะนี้มากยิ่งขี้น จนเมื่อไปถีงจุดหนี่ง จิตจะพบสภาวะนี้ได้เองอย่างง่ายดายในชีวิตประจำวัน ซี่งปกติแล้ว สภาวะนี้จะมีอยู่แล้ว แต่คนไม่สามารถรู้ถีงได้เองโดยไม่ต้องผ่านขบวนการของทุกข์อริยสัจจ์นำนหน้ามาก่อน เมื่อจิตสามารถพบแล้วแห่งสภาวะของการไม่ทุกข์โดยไม่ผ่านการเกิดทุกข์อริยสัจจ์มาก่อน นี่คือการเข้าสู่นิโรธในอริยสัจจ์ 4 ทีเป็นธรรมชาติ
ในการทำอาหาร มีหลายอย่างด้วยกันทีเหล่าแม่ครัวได้ใช้ความร้อนใส่ลงไปในอาหาร จากนั้นก็นำอาหารทีกำลังร้อนจัด จับแช่ในน้ำเย็นหรือน้ำแข็งทันที ซี่งศัพท์ในทางทำอาหารเรียกกันว่า การน๊อคน้ำเย็น เช่นเดียวกับสิ่งทีเขียนไว้ในเรื่องนี้เช่นเดียวกันทีตอนแรกจิตเร่าร้อนแล้วต่อมาจิตได้ดับลงเป็นความเย็นอย่างฉับพลัน
บทความนี้ อ่านดูเรียบง่าย ไม่มีอะไรน่าตื่นเต้น ไม่มีอะไรน่าสนใจ แต่ถ้าท่านอ่านด้วยความพินิจพระเคราะห์อย่างถี่ถ้วน ท่านย่อมได้สาระแห่งการภาวนาทีท่านนำไปใช้ได้จริง จนสามารถพบกับปัญญาในระดับโลกุตระได้
ขอความเจริญในธรรมจงมีแก่ทุกท่านเทอญ สวัสดีปีใหม่ มกราคม 2559
Create Date : 10 มกราคม 2559 |
|
0 comments |
Last Update : 10 มกราคม 2559 10:16:44 น. |
Counter : 1595 Pageviews. |
|
|
|