การละเมิดสิทธิมนุษยชนที่รุนแรงที่สุด
การละเมิดสิทธิมนุษยชนที่รุนแรงที่สุดคือการปล่อยให้ที่ดินตกเป็นของเอกชนทั้งที่ที่ดินควรเป็นของส่วนรวมทุกคนเท่าเทียมกัน เพราะที่ดินไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์ผลิต และขาดที่ดินมนุษย์ตาย มูลค่าที่ดินก็มิใช่แต่ละคนทำให้เกิด เช่น ที่ดินว่างเปล่ามีหญ้าขึ้นรก 100 ตร.วากลางเมืองมีราคาสูงขึ้นเรื่อยมาจนเป็นหลายล้านบาท
"ที่ดิน" ใน The Devils Dictionary ปี 1911 ของ Ambrose Bierce อธิบายว่าสังคมสมัยใหม่ถือว่าที่ดินคือทรัพย์สินที่เอกชนสามารถเป็นเจ้าของได้ ซึ่งถ้าพิจารณากันจนถึงข้อยุติทางตรรกะ (logical conclusion) แล้ว ก็หมายความว่า คนบางคนมีสิทธิกีดกันคนอื่นไม่ให้มีชีวิต เพราะสิทธิเป็นเจ้าของมีนัยถึงสิทธิครอบครองเด็ดขาด ประเทศที่รับรองกรรมสิทธิ์ของเอกชนในที่ดินจะมีกฎหมายป้องกันการบุกรุก ผลก็คือถ้านาย ก, นาย ข, และนาย ค เป็นเจ้าของที่ดินทั้งหมด ก็จะไม่มีที่สำหรับให้ ง, จ, ฉ, ช เกิด หรือเกิดมากลายเป็นผู้บุกรุก
แต่กรรมสิทธิ์ในที่ดินก็จำเป็นต่อการใช้ทำประโยชน์และดูแลเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ วิธีที่ดีจึงควรเป็นการปฏิรูปภาษี
เชื่อหรือไม่ ทุกคนไม่ควรต้องเสียภาษีเงินได้หรือภาษีอื่น ๆ จากการลงแรงลงทุนที่ก่อผลผลิตและบริการ รวมทั้งการแลกเปลี่ยนค้าขายของตน เพราะการแลกเปลี่ยนทำโดยสมัครใจ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต และเป็นวิถีชีวิตที่ช่วยให้ส่วนรวมสบายขึ้น ไม่ต้องเสียเวลาทำงานทั้งวันแล้วยังไม่ได้สิ่งที่ต้องการครบ
ระบบรัฐสวัสดิการสามารถทำได้โดยเก็บแต่เพียงภาษีที่ดิน ซึ่งถ้าไม่เก็บหรือเก็บน้อยไปจะเกิดการเก็งกำไรสะสมที่ดินอย่างปัจจุบัน ไปไหน ๆ ก็เจอแต่ที่ดินมีเจ้าของแล้ว แต่มักถูกทำประโยชน์น้อยเกินไป ผลผลิตและความเจริญก้าวหน้าของชาติต่ำกว่าปกติ ซึ่งหมายถึงมีคนต้องว่างงานมาก ค่าแรงต่ำ คนจนไม่สามารถเป็นเจ้าของที่ดินได้ ต้องเช่าที่อยู่ที่ทำกินในอัตราแพงกว่าที่ควรเป็น (ส่วนแบ่งการผลิตลดต่ำกว่าปกติ)
ลัทธิภาษีเดี่ยว (Single Tax) จากที่ดิน ของเฮนรี จอร์จ จะช่วยให้เกิดความเป็นธรรมขั้นฐานราก แก้ความยากจน ไม่มีการเก็งกำไรที่ดิน จึงไม่เกิดวิกฤตวัฏจักรเศรษฐกิจฟองสบู่ที่รุนแรงก่อความเสียหายย่อยยับซ้ำซากแก่ทั้งคนจนและคนรวยอีกต่อไป
และเกิดผลดี คือ 1. ให้เสรีมากขึ้น ลดการถูกเรียกตรวจสอบจากเจ้าพนักงานภาษีของรัฐ เพราะเหลือแต่ภาษีที่ดิน (ควรมีภาษีหรือค่าชดเชยการทำความเสียหายแก่สิ่งแวดล้อมและการใช้ทรัพยากรธรรมชาติที่สำคัญหมดเปลืองไปด้วย)
2. เกิดความยุติธรรม ใครทำงาน ใครลงทุน ได้เท่าไรก็เป็นของเขาทั้งหมด โดยตัดความได้เปรียบเสียเปรียบจากการได้ครองที่ดินมากน้อยดีเลวผิดกัน ออกไปด้วยภาษีที่ดิน
3. เกิดผลดี คือที่ดินไม่เสียเปล่ามากมายมหาศาลจากการเก็บกักเก็งกำไร การว่างงานจะลด ค่าแรงเพิ่ม และเมื่อคนไม่เสียภาษีเงินได้ก็ได้ค่าจ้างเงินเดือนกลับบ้านเต็มที่ สินค้าของกินของใช้ไม่ถูกภาษี เงินก็ไม่เฟ้อไม่เสื่อมค่า ราคาก็ต่ำลง คนจนก็สบายขึ้น สินค้าขายแข่งกับต่างประเทศได้ดีขึ้น คนต่างชาติก็จะอยากมาเที่ยวมาใช้จ่ายมาลงทุนที่เมืองไทยมากขึ้น (ที่อาจเป็นปัญหาก็คือแรงงานต่างด้าวจะทะลักเข้าไทย)
แต่เมื่อระบบปัจจุบันกลายเป็นความเคยชิน จนกระทั่งเราไม่รู้สึกถึงความอยุติธรรมของการปล่อยให้เจ้าของที่ดินได้ประโยชน์จากที่ดินไปโดยไม่ต้องลงแรงลงทุน (unearned income) เราจะเปลี่ยนระบบทันที เจ้าของที่ดินก็จะเดือดร้อนเกินไป จึงควรเปลี่ยนแบบค่อยเป็นค่อยไป คือ ค่อย ๆ เพิ่มภาษีที่ดิน เช่น ปีละ 3 % ของค่าเช่าศักย์หรือค่าเช่าที่ดินที่ควรเป็น 33 ปีก็ได้ 99 % ขณะเดียวกันค่อย ๆ ลดภาษีจากการทำงานและการลงทุนลงชดเชยกัน
จากเว็บเศรษฐศาสตร์เพื่อความเป็นธรรม //utopiathai.webs.com
Create Date : 04 มีนาคม 2554 | | |
Last Update : 4 มีนาคม 2554 6:56:39 น. |
Counter : 829 Pageviews. |
| |
|
|
|