ความไม่รู้เป็นลาภอันประเสริฐ

The Prestige of Politic

Every great magic trick consists of three parts or acts.
The first part is called "The Pledge". The magician shows you something ordinary: a deck of cards, a bird or a man. He shows you this object. Perhaps he asks you to inspect it to see if it is indeed real, unaltered, normal. But of course... it probably isn't.
The second act is called "The Turn". The magician takes the ordinary something and makes it do something extraordinary.
But you wouldn't clap yet. Because making something disappear isn't enough; you have to bring it back. That's why every magic trick has a third act, the hardest part, the part we call "The Prestige"

นักมายากลที่เก่งกาจใช้กลของการแสดงเพื่อสร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับผู้คน แต่ทว่านั่นคือการแสดง นั่นคือมายากลที่เป็นสิ่งที่ผู้ชมโหยหาและต้องการที่จะรับชม

ผู้ชมเลือกที่จะรับชมและมีความสุขกับมัน ได้พบเห็นมายากล การแสดงที่สร้างความฉงน ให้กับตนเอง นั่นย่อมเป็นหนทางแห่งความสุขที่ผู้ชมได้จ่ายเงินเพื่อให้ได้มันมา

แต่ทว่า มีผู้คนกลุ่มหนึ่ง ได้นำเอากลยุทธ์แห่งมายากลนี้ มาประยุกต์ใช้ได้อย่างน่าทึ่งและสร้างความตื่นตาตื่นใจได้ไม่น้อยไปกว่ากลุ่มอาชีพนักมายากล แต่ทว่าคนเหล่านี้ไม่ได้เรียกตัวเองว่านักมายากล คนเหล่านี้เรียกตัวเองว่า นักการเมือง

นักการเมือง มีกลเม็ดแห่งความเป็นนักมายกลอยู่เต็มเปี่ยม ในบางคนอาจมีเลือดนักมายากลเข้มข้นกว่านักมายกลอาชีพเสียอีก พวกเขาจับเอาองค์ทั้งสามมาใช้งานได้อย่างลงตัวและ น่าตื่นตาไปกว่ามายากลทั่วไป

ในองค์แรก The Pledge คำมั่นสัญญา ที่นำเอาสิ่งธรรมดาๆ มาเป็นหัวข้อหาเสียงได้อย่างน่าทึ่ง สิ่งธรรมดาที่ไม่ว่าใครก็เห็นเป็นความต้องการปกติ อาจเป็นความต้องการพื้นฐานหรือ ปัจจัย 4 ซึ่งพวกเขาหยิบยกสิ่งธรรมดานั้นขึ้นมา

และก็ได้ใช้ องค์ที่2 The Turn จุดพลิกผัน ที่ทำให้มันดูน่าตื่นตาตื่นใจ สิ่งเหล่านั้นแปรเปลี่ยนจากสิ่งธรรมดา หัวข้อธรรมดาๆ กลับกลายเป็นสิ่งเหลือเชื่อ นโยบายวาดฝันที่แสนสวยงามก่อเกิดราวกับมายากล คำพูดที่แสนสวยหรู แคมเปญมากมายก่อให้เกิดภาพที่ยิ่งใหญ่เกินกว่าที่นักมายากลทั่วไปจะสร้างสรรค์มันได้ง่ายๆ แต่พวกเขาทำได้อย่างสบายๆ

และแน่นอน มายากลจะขาดไปไม่ได้เลยในองค์สุดท้าย องค์ที่สาม The Prestige เกียรติยศ ที่เป็นหัวใจแห่งมายกลชุดหนึ่งๆ มันจะไม่ใช่มายากลไปได้เลยหากไม่สามารถที่จะทำให้สิ่งที่แสนวิเศษนั้นๆ แปรเปลี่ยนไปเฉยๆ เพราะการนำเอามันกลับมาเป็นเรื่องที่สร้างความเป็นเลิศในชุดการแสดงนั้นๆ และเหล่านักการเมือง ก็ทำให้สิ่งธรรมดาที่แปรเปลี่ยนเป็นนโยบายแสนอลังการนั้นๆ แปรสภาพกลับเป็นเรื่องราวที่แสนธรรมดาๆ ได้อีกครั้งหนึ่ง หลังจากการหาเสียงได้ผ่านพ้นไป

ไม่ว่าเหล่านักการเมืองได้รับเลือกหรือไม่ได้รับเลือก ภาพของสิ่งที่หยิบยกมาจะถูกทำให้กลับสู่สภาพเดิมได้เหมือนมันไม่เคยได้เปลี่ยนแปลงไปเลยแม้แต่น้อย นี่ไม่ใช่หรือความน่าตื่นตาตื่นใจขั้นสูงสุด ที่เหล่านักมายากลแท้อาจต้องทึ่งในความสามารถ

มันช่างเหลือเชื่อ ที่แท้ที่จริงแล้วการแสดงมายากลมันยังคงตราตรึงภาพแห่งความมหัศจรรย์ของนักมายากลนั้นๆ ที่สามารถเสก หรือสร้างสิ่งต่างๆได้ นั้นมาจบลงที่คำพูดที่ว่า
Now you're looking for the secret... but you won't find it, because of course you're not really looking. You don't really want to know. You want to be fooled.

แต่การเมืองไม่ใช่เรื่องแบบนั้น
แต่มันกลับเป็นเช่นนั้น




 

Create Date : 21 เมษายน 2551   
Last Update : 21 เมษายน 2551 14:19:29 น.   
Counter : 1320 Pageviews.  

มือถือศีล ปากคาบสาก

สิ้นสุดยุคสมัยแห่งความเป็น มือถือสากปากถือศีลกันไปแล้ว เข้าสู่ยุคสมัยใหม่ ของความว่าอย่างทำอย่าง ให้ลึกซึ้งขึ้นกว่าเดิม

ในสังคมที่เต็มไปด้วยการเคลื่อนไหวต่างๆ และ การเคลื่อนไหวนั้นมันเร็วขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวรอบตัวทั้งหมด มันเคลื่อนที่ไปเร็วกว่าแต่ก่อนมาก จนผู้คนหลายๆคนตามไม่ทัน ตกขบวนไปก็มี

แต่อีกมากที่ทันอยู่และได้ เกาะติดกับสิ่งต่างๆที่มาเป็นระลอกดังกระแสคลื่น ไม่ว่าจะซัดมากี่ระลอกผู้คนส่วนมากนั้นก็จะล้อคลื่นเหล่านั้นไปได้เรื่อยๆ ลูกใหม่ทดแทนลูกเก่าไม่ขาดสาย

และเมื่อมีการผสมผสานระหว่างเรื่องราวเก่าๆ เข้ากับยุคสมัยใหม่ๆ มันเลยมีเรื่องของช่องว่างที่เกิดขึ้น และเกิดกระแสให้ผู้คนได้เกาะติดเกาะตามกันต่อๆ มา เป็นที่ถกเถียง โตแย้งกัน ราวกับเป็นเรื่องคอขาดบาดตาย เพียงแค่สิ่งบันเทิง ที่มนุษย์สร้างขึ้นก็นำเอามาทะเลาะกันอย่างไม่หยุดหย่อน เพียงเพื่อให้ สิ่งที่ตนเองถืออยู่นั้น เป็นความถูกต้อง

การแสดงตนเป็นผู้เปี่ยมด้วยศีลธรรม ที่ยึดมั่นถือมั่น ทยอยออกมาไม่ขาดสาย เมื่อไร ก็ตามที่มีเหตุการณ์ที่ขัดกับหลักการแห่งศีลธรรมที่ตนเองแบกไว้ ก็จะต้องมาห้ำหั่นกัน อย่างถึงพริกถึงขิง ตอบโต้กันอย่างไม่ลดละ

แต่ทว่าการสู้รบนั้นก็ย่อมเป็นเรื่องราวของความทันสมัยไม่น้อย นั่นคือ การสู้รบแบบไม่เห็นตัว เห็นเพียงจอ การต่อสู้ผ่านหน้าจอที่ ใครหน้าไหนจะพิมพ์อะไร ก็ไม่มีใครรู้ ใครหน้าไหนจะ ด่าว่ากันขนาดไหน ก็ไม่ต้องอับอาย แค่เปลี่ยนชื่อบนหน้าจอก็พ้นจากจุดนั้นได้ไม่ยากเลย

และเนื่องด้วยสังคมจริงนั้นเองไม่อำนวยต่อการกระทำ เช่นนั้น ผู้คนจึงเลือกหันมาระบายออกผ่านทางหน้าจอมากขึ้น ราวกับว่าหน้าจอประดุจดั่งยาระบาย

ความเป็นผู้ที่คาบสากอยู่นั่นเองทำให้การจะปริปากพูดในสังคมปกติ เป็นเรื่องที่ยากมากเพราะว่ามิอาจจะเอ่ยปากขึ้นมาได้เลย เพราสากสร้างความลำบากในการปริปากพูด

และด้วยน้ำมือที่ถือศีลอยู่เต็มกำมือ จึงใช้อุ้งมือ นิ้วมือ ระบายความคับข้องใจ และศีลธรรมที่พุ่งปี๊ดต่างๆ จับเอาสิ่งต่างๆที่อัดอั้นตันใจ ยัดมันลงไปที่หน้าจอ
ไม่ว่าจะหน้าจอ คอมพิวเตอร์ หรือว่าหน้าจอทีวีที่แสดงข้อความsms ที่ปลดปล่อยความอึดอัดใจออกไปจากอกได้

หน้าจอต่างๆกลายเป็นที่พึ่งของเหล่า ผู้ มือถือศีล ปากคาบสาก ไปซะแล้ว เพราะ ให้คนเหล่านี้ ออกมากระทำบนโลกปกติให้เหมือนกับที่ตัวเองพ่นออกมาทางหน้าจอ คงเป็นไปไม่ได้ หน้าจอเลยกลายเป็นที่พึ่งของคนยุคนี้ไปเสียแล้ว

หน้าจอทำหน้าที่ได้ดีกว่าสุขา ในการปลดทุกข์ให้ผู้คนสมัยนี้เสียอีก

โลกมันปฏิทรรศน์ แต่ก็เชื่อว่าแนวทางแก้ไข ไม่ใช่ แค่มาระบาย เพราะถ้าแค่ระบาย ทำแบบมือถือศีล ปากคาบสาก ไปแบบนี้มันก็ไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลงขึ้นมาหลังจากเหตุการณ์ผ่านไป

ผู้คนก็คงแค่หลงลืมมันไป และไม่ยึดติดอะไรกับมัน เพียงเพราะมันผ่านมาแล้ว และไปจดจ่อกับระลอกใหม่ของคลื่นแห่งกระแสในเบื้องหน้า ที่จะซัดโถมเข้ามาหมู่ฝูงชนที่เฝ้ารอย่างใจจดใจจ่อ กับอะไร ใหม่ๆ อะไรที่อินเทรนด์ อะไรที่เป็นกระแส

แล้วก็มานั่งเถียงกันต่อในเรื่องราวใหม่ ๆ แล้วก็ใหม่ แล้วก็ใหม่ แล้วไอ้ที่เถียงกันไปวันก่อน ก็ผ่านไป ราวกับปาหมอน จบแบบไม่ได้ อะไร เลย นอกจากความสะใจ ในการด่ากัน แต่ไม่ได้ข้อสรุปอะไร เพราะก็ทำเพื่อความสะใจไม่ต่างกัน แค่ความสะใจผ่านปลายนิ้ว ความสุข ราคาถูกที่หาได้ในปัจจุบัน

ท้ายสุดแล้วความเป็นผู้
มือถือศีล (ที่เปี่ยมไปด้วย หลักการต่างๆของตนที่ปลายนิ้วพร้อมจะพิมพ์ใส่อย่างทันท่วงทีเมื่อประสบพบเจอ สิ่งที่ขัดต่อศีลของตัว)
ปากคาบสาก (ที่ไม่พร้อมจะเอื้อนเอ่ยความคิดเห็น ความรู้สึก ออกมาเป็นน้ำเสียงได้ ได้แต่ปิดปากไว้เฉียบฉี่ ราบกับปากนั้นคาบสากไว้เป่า)
ก็ยังคงพัฒนาขึ้นอย่างต่อเนื่อง และได้เพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ มันมาช้าๆ แต่ว่ามาอย่างมั่นคงและแน่นอน




 

Create Date : 16 เมษายน 2551   
Last Update : 16 เมษายน 2551 13:07:31 น.   
Counter : 883 Pageviews.  

ฉาบฉวย

ความฉาบฉวยที่นับวันจะทวีความรุนแรงมากขึ้น ความฉาบฉวยขยายตัวไปมากขึ้นเรื่อยๆ จนผู้คนไม่ทันจะรู้ตัวเองด้วยซ้ำไปว่า สิ่งที่ทำ ต่างนั้นมันฉาบฉวย

ฉาบฉวยคืออะไร ชั่วครั้งชั่วคราว, ขอไปที, ไม่จริงจัง นั่นคือความหมายของมัน
แล้วตอนนี้ผู้คนทำอะไรฉาบฉวยแบบนั้นจริงหรือไม่

อาจด้วยสังคมที่รีบเร่ง ที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ทำให้ ความฉาบฉวย ต่างๆเกิดขึ้นมาเพราะความเร่งด่วน จึงไม่มีการรอช้า การทำอะไร ด้วยความรวดเร็วย่อมต้องดีกว่า ซึ่งรวดเร็วกับฉาบฉวยนั้นมันแตกต่างกัน

เพราฉาบฉวยมันเป็นการทำแบบ สักแต่ให้มันผ่านๆไป และมันไม่ได้หมายถึงแค่การทำงานอีกต่อไปแล้ว แต่มัน แทบจะปรากฏไปหมด แทบทุกส่วนของชีวิตประจำวัน

คนเรามีอะไรแบบฉาบฉวยเข้ามาในชีวิตมากมายไปหมด
ไม่ว่าจะเป็นในระดับกว้างหรือระดับแคบ
การเมืองก็มีแต่นักการเมืองฉาบฉวย มาๆไปๆ แบบชั่วครั้งชั่วคราว
เศรษฐกิจก็มี แต่ ความฉาบฉวย ไม่มีการแก้ไขที่แน่นอนอะไรเลย ดอกเบี้ย น้ำมัน ทอง
สังคมก็เต็มไปด้วยความฉาบฉวยบังหน้ากันของผู้คน
สื่อต่างๆ ข่าวสารก็มีแต่ข่าว สาร ฉาบฉวยที่มาเร็วไปเร็วแล้ว ก็ ลืมๆ กันไป
แฟชั่นเสื้อผ้าการแต่งตัวก็ เต็มไปด้วยความฉาบฉวย ที่แป๊ปก็ตกยุค ตกเทรนด์ แต่ก็ยังตามกันไป
มือถือ อุปกรณ์ไฮเทค ก็ฉาบฉวยไม่ต่างกัน เพราะ เทคโนโลยีมันมาเร็วไปเร็วจริงๆ สมัยนี้ แต่เราก็ยังไล่ตามกับมัน
อาหารการกินเอง พวกฟาสฟู๊ดที่ผุดขึ้นมาก็ปฏิเสธความฉาบฉวยไมได้เพราะว่ามันเป็นฟาสฟู๊ด แต่ถึงไม่ฟาสฟู๊ดมันก็มีเรื่องของกระแสต่างๆ อาหารญี่ปุ่น เกาหลี เวียดนามฯลฯ ซึ่ง มันก็มาเร็วไปเร็ว แป๊ปๆ
ฯลฯ


ส่ง sms เสียครั้งละ6 บาท 9 บาท เพื่อให้มันขึ้นอยู่บนหน้าจอไม่กี่วิ และบางครั้งก็ไมได้ขึ้นด้วยซ้ำ ได้มาแค่ความฉาบฉวยที่ผ่านมาแล้วก็ไป แค่นั้น เอง ได้แค่ความพึงพอใจชั่วเสี้ยววิ

บางพวกก็พยายามกันเข้าไปที่จะมีชื่อเสียงกันในเว็บบอร์ด ทำตัวเกรียน ทำตัวล่อเป้า ชื่อเสียงที่ไม่ได้จีรังยั่งยืน ไม่ได้มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน แล้วจะพยายามดังกันไปทำไม ชื่อเสียงแบบฉาบฉวยนี้กลับ มีคนเลือกทำมากขึ้นเรื่อยๆ ซะอีก

แล้วยังมีที่อยากดังทางลัดก๊อปปี้ผลงาน เพื่อให้ตัวเองดูดี มีชื่อเสียง ที่การก๊อปปี้ผลงานแบบนี้ เริ่มเป็นพฤติกรรมที่ระบาดไปทั่วอินเทอเน็ต ทำอะไรแบบฉาบฉวย คิดว่าคนอื่นไม่รู้ ตามไม่ทันตัวเอง หลายๆครั้งที่คนพวกนี้ถูกจับได้ ก็ ไม่มีความสำนึกผิด มันง่ายดายและฉาบฉวยมากที่ทำแบบนี้จึงเป็นที่นิยม อย่างนั้นหรือ

บางพวกก็ทำตัวเป็นกูรู กูเกิ้ล ใครถามอะไรก็ไปหาจากกูเกิ้ลมาโปะให้ เสมือนหนึ่งว่าตนเองรู้ หรือไม่ก็ กูรู หน้าเดียว ที่ไปอ่านใจความหลัก หรือ เนื้อหามาซักหน่อย ไม่เกิน1หน้า แล้วมายำ ผสมปนเป สร้างเนื้อหาวิชาใหม่ๆ ทำตัวเป็นเกจิอาจารย์ ศาสดาองค์ใหม่ ความรู้มันไม่ใช่เรื่องราวที่ฉาบฉวยแบบนั้นนะครับ รู้แค่นั้นแล้วพอ นั่นแหละคือสิ่งที่เรียกว่าฉาบฉวย ความรู้มันเป็นการต่อยอดไปเรื่อยๆ ไม่ใช่ เอามานิดๆหน่อย แล้วคือรู้ ความรู้แบบฉาบฉวยนี้ ก็ฮิตมากในอินเทอเน็ต คงเพราะมันทำได้ง่าย


ความฉาบฉวยในอินเทอเน็ตนี้เองมันคงมาจาก ส่วนหนึ่งที่ว่าการกระทำเหล่านี้ ไม่ต้องปรากฏโฉมหน้าที่แท้จริง จะ เป็นไอ้แดง ไอ้ดำที่ไหนก็ทำได้ ความฉาบฉวยที่ถ้าในสังคมจริงอาจจะต้องมีใบหน้าที่คงทนพอควรเพราะอาจจะต้องอับอายบ้างในบางครั้ง แต่ในโลกเสมือน ไม่จำเป็นต้องเป็นเช่นนั้น ผู้คนพากัน ฉาบฉวยบนเน็ตกันยกใหญ่

สังคมเรามันไม่ต้องการความจีรังยั่งยืน อีกแล้วหรือ ความฉาบฉวยมันถึงได้ฉาบเคลือบไปทั่วทั้งสังคมแบบนี้
มองไปทางไหนก็สามารถพบเจอได้ ไม่ยาก ไล่ตั้งแต่ผู้ใหญ่ เด็ก วัยรุ่น คนทำงาน นักเรียน นักศึกษา มีทุกวงการมีทุกอาชีพ ยากดีมีจน ก็ไม่พ้นทำอะไร แบบฉาบฉวยขอไปทีเหมือนๆ กัน มีแต่ความฉาบฉวยบังหน้า


การมีอยู่ของสิ่งต่างๆที่ฉาบฉวยเราห้ามมันไม่ได้ แต่ที่คนเราสามารถทำได้คือการไม่ไปฉาบฉวยตามมัน
แต่ใช่ว่าคนเราตอนนี้มีทางเลือกมากมายนัก




 

Create Date : 08 มีนาคม 2551   
Last Update : 8 มีนาคม 2551 3:14:59 น.   
Counter : 2167 Pageviews.  

ความจริงในกะลา

ความจริงในกะลา

ความจริงคืออะไร ปัญหายอดฮิตทางปรัชญา และแน่นอนว่า ในตอนนี้ก็ยังไม่มีคำตอบที่เป็นท้ายที่สุด หลังจากเกิดการถกเถียงมากกว่า 2000 ปี เรื่องราวก็ ยังไม่ยุติลง

แต่ทว่านั้นคือเรื่องของ ความจริงเชิงปรัชญาที่ ออกจะไกลตัวและห่างตัวของผู้คนทั่วๆไป

มันยังมีคำว่าความจริงที่เป็นสิ่งที่ประสบพบเห็นทั่วๆไป ไม่ต้องอาศัยบทพิสูจน์ ตรรกะใดๆ เป็นเพียงความจริงพื้นๆ ที่ชาวบ้านก็เข้าใจได้ นั่นหมายถึงสิ่งที่เกิดขึ้นและมีผลกระทบกับคนทั่วไป

ความจริงในแง่นี้ก็ ยังมีความแปรปรวนไม่น้อยเพราะว่า กว่าที่ความจริงเหล่านั้นจะใช้เวลาเดินทางไปหาผู้คน มันยังผ่านขั้นตอนอีกหลายขั้นตอน

การเดินทางของความจริงที่มีชั้นของการกรองเป็นลำดับขั้น มีตั้งแต่ระดับเบาบาง ไปจนถึงระดับ หนาแน่น ของจ้อมูลที่ผ่านการกรองแล้ว และนั่นคือ ความจริงที่หมดจด

การผ่านการกรอง ขั้นตอนต่างๆ ไปไม่ว่าจะหน่วยงานไหน หรือ ผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง ทั้งนี้ทั้งนั้น เราอาจจะมองเห็นได้ว่า ภาพที่แท้จริงที่เกิดขึ้น นั้น มันคือ ความจริงที่เกิดขึ้นในกะลาที่สร้างขึ้นมาบดบังความเป็นจริงที่เกิดขึ้นอย่างแน่แท้

ความจริงในกะลา ไม่ใช่คำที่เกินเลยไปกว่าสิ่งที่เกิดขึ้น เพราะว่า ผู้คนไม่สามารถที่จะรับรู้ถึงความจริงที่เกิดขึ้นได้ มีเพียงส่วนที่ถูกคัดกรองแล้วเท่านั้นที่จะมาถึงผู้คนได้

สิ่งที่เกิดขึ้นจริงนั้นอยู่ภายนอกกะลาที่พวกเขาได้นำเอามาครอบไว้เหนือกบาลของผู้คนทั่วไป และที่มากไปกว่านั้น ไม่ใช่เพียงเพราพวกที่นำเอากะลามาครอบ แต่เป็นพวกที่ถูกครอบไว้ต่างหาก

ความจริงที่มาไม่ถึง ถูกจำกัด ไว้ในกะลา ทำให้ความลำพองเกิดขึ้นในหลายต่อหลายครั้ง ผู้คนไม่ตระหนักถึงความเป็นจริงที่แท้จริง ตระหนักเพียงสิ่งที่ตนรู้และตนคิด

ผู้คนละเลยและหลงลืม ความเป็นจริงที่ ว่า เราไม่มีทางที่จะรับรู้มันได้หมด มันยังมีความจริงอีกมาที่เราไม่รู้ แต่ ในสมัยนี้กลับเป็นในทางกลับกัน คือ ผู้คนมีแต่ความเย่อหยิ่งจองหอง รู้และคิดแค่ว่าข้ารู้ข้าแน่ ไม่คิดที่จะ รู้เพิ่มเติม เอาเพียง สิ่งที่ตนรู้แค่บางส่วน มาโปรโมท และชะเง้อคอ บอกว่าข้าเป็นกูรูเรียบร้อยแล้ว ไม่มีใครเก่งไปกว่าข้า

น่าอนาถใจไม่น้อยที่ แทนที่จะเอาความเหิมเกริมนั้นๆ แสวงหาคำตอบและคงวามจริงที่ถูกปิดบังและปกปิด แสวงหาความรู้เพิ่มเติม แต่คนเหล่านั้นกลับทำเพียง คิดเอาเองว่าตนคือสุดยอดแล้ว ไม่ต้องหาเพิ่มเติม

ซึ่งความคิด แบบนี้ มันไม่ได้ก่อให้เกิดผลดีอะไรเลยแม้แต่น้อย ความรู้ความจริงมันไม่มีวันที่จะเสพหมด มันเป็นไปไม่ได้ ซึ่งเหล่าผู้คนในสมัยก่อนตระหนักข้อนี้ดีและ ทำให้เกิดการพัฒนาเรื่อยมา เพราะพวกเขาไม่เคยหยุดนิ่งที่จะแสวงหาความรู้และแน่นอนว่าพวกเขาไม่เคยเย่อหยิ่งจองหอง แบบที่สมัยนี้เป็นกันอย่างมาก

ความลำพองใจ ข้าแน่ ในกะลา เป็นภาพที่เห็นได้ง่ายดายในสังคมปัจจุบันนี้ และจะพบเห็นได้ง่ายในหมู่วัยรุ่น หรือที่เรียกกันว่าเกรียน กลุ่มเกรียน ที่พบเจอในอินเทอเน็ต เอย ในเกมออนไลน์เอย หรือบนโลกจริงๆ

ทั้งนี้ ถ้าแนวความคิด ว่าความจริงยังมีแค่ในกะลาที่ครอบหัวอยู่ มันจะไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นเลย และจะช่วยซ้ำเติม ความเป็นไปในโลกที่เกิดขึ้นด้วยซ้ำ เพราะนั่นจะเป็นการตอกย้ำว่าเราไม่เคยคิดที่จะพัฒนาไปมากกว่านี้ รู้มาแค่ไหน ก็ เอาไว้แค่นั้น นั่นไม่ใช่ แนวคิดที่ดีเลย มันไม่ก่อให้เกิดการสิ่งที่เรียกว่า วิวัฒนาการ



ความจริงที่อยู่นอกกะลา ยังไม่พร้อมที่จะให้ผู้คนที่อยู่ในกะลานั้นรับรู้ จึงเป็นสิ่งที่เกื้อหนุนกันอย่างสมบูรณ์ว่า
ความจริงที่พวกเขาอยากให้รู้ มีแค่นี้ และไม่อยากให้รู้มากไปกว่านี้
และผู้ที่รู้แค่นี้ก็ พอใจและชื่นชมกับสิ่งที่ตัวเองรู้เพียงเท่านั้น




 

Create Date : 18 กุมภาพันธ์ 2551   
Last Update : 18 กุมภาพันธ์ 2551 10:44:46 น.   
Counter : 2150 Pageviews.  

รู้ว่าหวังดี แต่ขอไม่รับได้ไหม

ความหวังดี ปรารถนาดีที่เหล่าผู้มีอำนาจของบ้านเมืองมีให้กับผู้คน ประชาชนที่อาศัยอยู่นั้น มันน่าซาบซึ้งและปลาบปลื้มใจไม่น้อย แต่ทว่า ไอ้ความหวังดีเหล่านั้น ถ้าผู้คนจะขอไม่รับมันบ้างจะได้ไหม

ความหวังดี ที่อยากเห็นประชานได้รับสิ่งที่ดีงาม สวยงามเกิดขึ้นกับชีวิตของประชาชน ไม่ใช่ความผิด และก็ไม่ได้มีใครว่าๆ การกระทำแบบนี้ไม่ถูกไม่ควร

แต่ในความหวังดีๆนั้นมัน เป็นเพียงผลผลิตตกค้างมาจากอดีตกาล ทีมันพ้นสมัยไปแล้ว แต่ก็ยังคงดื้อด้านที่จะพยายามเก็บกักมันเอาไว้ อาศัยข้ออ้างทางประเพณี วัฒนธรรม เก่าแก่คร่ำครึ ที่ว่าผู้ใหญ่ถูกต้อง

เรื่องของข้อบังคับเกินเลยความพอเหมาะ ที่ทยอยออกมาบังคับใช้กันตามใจ สักแต่ว่าข้าใหญ่ ข้ามีอำนาจในการออกเหล่าข้อบังคับนั้น ไม่ว่าจะด้วยการมายังตำแหน่งหน้าที่นั้นแบบไหน ก็ไม่ได้ต่างกันเลยใน แง่ของแนวคิดแบบ ข้าเป็นผู้ใหญ่ ข้าแน่ ข้าถูก

ข้ออ้างแห่งข้อบังคับ ที่กล่าวเสมอว่าจะช่วยแก้ไข ปัญหาต่างๆได้ คิดเพียงแค่ได้ลองก่อน ลองผิดลองถูก แต่ทว่าประชาชนไม่ใช่ตุ๊กตาให้ท่านๆ มาจับแต่งตัวเล่นไปมาได้นะครับ หลายๆอย่างถ้าจะลองผิดลองถูกทำไมไม่ไตร่ตรอง และให้มันมีทางที่ผิดพลาดน้อยที่สุดไม่ ใช่ ผิดถูก 50-50 แบบที่เป็นอยู่

เหล่าคุณปู่รู้ดีที่นั่งเหนียงยานกันอยู่เต็มบ้านเมือง ทำเหมือนไม่สนใจ ราวกับว่าประชาชนเป็นเพียงหนูทดลองในห้องทดลองวิทยาศาสตร์ จะทำอย่างไรก็ได้

แต่อย่างที่กล่าวมานั่น สิ่งที่เกิดขึ้นมันไม่ใช่เรื่องราวที่ให้สิทธิ เสรีภาพ แก่ประชาชนเลย มีก็แค่ให้สิทธิในการตอกบัตรเลือกตั้ง แค่นั้นหรือ ที่เราจะอ้างให้เราเป็นประชาธิปไตย ในเมื่อสิทธิเสรีภาพ ที่เป็นสมบัติพื้นฐานของระบอบนี้ถูกจำกัดจำเขี่ยจากเหล่าผู้มีอำนาจ ด้วยกลไก กระบวนการต่างๆ


ผู้คนได้รับการบังคับห้ามสูบบุหรี่ในสถานที่ต่างๆ หลายๆ สถานที่นั้นเป็นเรื่องที่ถูกต้อง แต่ในบางสถานที่กลับขัดแย้ง อย่างสถานบันเทิง ที่เป็นสถานที่เพื่อการสังสรรค์ของผู้คน ยังจะมาห้ามผู้คนสังสรรค์ในรูปแบบที่พวกเขาพึงพอใจอี ก นี่เป็นการสะท้อนให้เห็นถึงสิ่งที่เรียกว่าความไม่ เคารพในการตัดสินใจ

การสูบบุหรี่ไม่ว่าจะเป็นการเสพ มาด้วย เหตุใด แต่ ทว่า มันคือเรื่องของเจตจำนง ที่ผู้คนพึงมี ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่จะมาบังคับขู่เข็ญกันได้ การทำแบบนี้ มันคือ การบังคับ และไม่เชื่อในเจตจำนงไม่เคารพในเหตุผลของผู้ที่สูบบุหรี่

หนำซ้ำยังเป็นการดูถูกสติปัญญาของผู้สูบด้วย เป็นการปรามาสผู้ที่สูบไม่สามารถที่จะควบคุมและแยกแยะ คำนึงถึงสถานที่ที่ว่าสถานที่ไหนควรสูบหรือไม่ควรสูบ

ซึ่งนั่นไม่ใช่ เรื่องราวของ สิทธิเสรีภาพ พื้นฐาน และมันย่อมไม่เข้าใกล้ประชาธิปไตยได้เลยแม้แต่น้อย แต่ว่ามันเป็นการเดินเข้าใกล้ความเป็นเผด็จการคอมมูน มากขึ้นเรื่อยๆ ที่พยายามจะสร้างสรรค์ผู้คนให้เป็นดั่งที่รัฐกำหนดไว้ ไม่สนใจเรื่องของเสรีภาพพื้นฐาน แห่งประชาธิปไตย

ไอ้ความหวังดีต่างๆที่ออกมาบังคับกันนี้ มันเป็นการมัดมือชกประชาชนกันกลายๆ ซึ่งในอนาคตก็คงมีข้อบังคับแบบนี้มาเรื่อยๆ แล้วพอข้อบังคับทั้งหลายออกมานี่ประชาชนที่อ้างกันนักหนาว่ามีสิทธิเสรีภาพ นั้นมีสิทธิเสรีภาพที่จะไม่รับความหวังดีเหล่านั้นหรือไม่

พวกเหล่ากองเชียร์ที่เห็นด้วยทั้งหลายก็ไม่ได้แตกต่างกัน ขอเพียงถูกใจข้าเท่านั้นพอ แต่พออันไหนไม่ถูกใจบ้างล่ะ คิดกันบ้างไหม จะเอาแค่ความสะใจกันไปวันๆ เนี่ยะนะ



มีทางเลือก ให้ประชาชนบ้าง ถึงแม้ว่า จะเป็นเสียงส่วนน้อย หรืออย่างไร แต่ประชาธิปไตยก็ไม่ใช่การกดขี่เสียงส่วนน้อย นะครับ




 

Create Date : 11 กุมภาพันธ์ 2551   
Last Update : 11 กุมภาพันธ์ 2551 8:02:34 น.   
Counter : 629 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  

KongMing
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]


ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




เล่าจื้อกล่าวว่า"ผู้รู้เขาคือปราชญ์"
และกล่าวอีกว่า"ผู้รู้เราคือปัญญาชน"
ณ ปากทางเข้าถ้ำวิหารเทพอพอลโล่แห่งเดลฟี
มีป้ายทองคำเขียนว่า "Know thyself" แปลว่า รู้จักตนเอง
"temet nosce" ภาษาลาตินที่Oracleกล่าวให้
Neo รู้จักตนเอง

สิ่งที่สำคัญที่สุดของคนเราอยู่ที่ คำกล่าวเหล่านี้
[Add KongMing's blog to your web]