ความไม่รู้เป็นลาภอันประเสริฐ

ชาติ(ไหน)นิยม

ชาติ(ไหน)นิยม

กระแสรักชาติ ที่กำลังถาโถมขึ้นท่วมท้นไปทุกหัวระแหง แต่ทว่าไอ้รักๆชาติกันเนี่ย มันใช่ที่เราเข้าใจกันจริงๆ เหรอ มันใช่ที่เราต้องการกันจริงๆ เหรอ

ชาติ คือ อะไร กลายเป็นคำถามที่เริ่มจะสร้างความกะอักกะอ่วนให้กับตัวผู้เขียนเองไม่มากก็ น้อย เพราะ สภาพ ความสะเปะสะปะ เต็มไปด้วย ความหมายในรูปแบบที่ต่างตีความกันเข้าข้างตนเอง และเอาเรื่องของชาตินิยมมาเป็นผลพวงเรื่องของผลประโยชน์ ในแง่มุมต่างๆ จนเป็นข้อกล่างอ้างถึง ความเป็นกระแสรักชาติ หรือ กระแสชาตินิยมที่คลุมเคลือไปด้วยกลิ่นอายของผลประโยชน์ที่ทับซ้อนไปซ้อนมาหลายซับซ้อน

ยกตัวอย่างความหมายทั่วๆไป
ชาติ หมายถึงกลุ่มคนที่มีภาษา วัฒนธรรม และ/หรือ เชื้อชาติ เดียวกันหรือใกล้เคียงกัน ต้องมีจุดร่วมของการเป็นชาติด้วย เช่น มีประวัติศาสตร์ กษัตริย์ที่เก่งกล้า วัฒนธรรมที่สืบต่อกันมา หรือมีเป้าหมายที่ดีสำหรับการรวมเป็นชาติเดียวกัน
ชาติ (Nation) หมายถึง ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในทางวัฒนธรรม มีความผูกพันในทางสายโลหิต เผ่าพันธุ์ ภาษา ศาสนา วัฒนธรรม ตลอดจนมีประสบการณ์ร่วมกันในทางประวัติศาสตร์ หรือมีวิวัฒนาการทางการเมืองการปกครองร่วมกัน

นั่นคือความหมาย แต่ตอนนี้มันยังคงความหมายนั้นๆอยู่อีกหรือไม่ เพราะสภาพการณ์ที่เห็นๆกันก็ คือว่า เรามีการแบ่งแยกส่วนประกอบต่างๆอย่างเข้มข้น และรุนแรง

อาจเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในสมัยก่อน เรื่องของ รัฐนิยมที่ก่อให้เกิดภาพความเป็นหนึ่งเดียว เพื่อความอยู่รอดของชาติที่ต้องทานกระแสจากภายนอก ที่สงครามก่อตัวไปทั่ว เรื่องของตรงนั้นอาจจะต้องทำความใจในการทำเพื่อเป้าหมาย ซึ่งก็ขอละไว้ไม่กล่าวถึง ณ ที่นี้

พูดยาวไปก็เท่านั้น เอาเป็นว่า เรื่องของความหมายหรือ ประวัติศาสตร์ ต่างๆนั้นจะไม่พูดถึงต่อไป กลับมายังปัจจุบันที่เป็นอยู่ คือชาตินิยมที่ทำๆกันอยู่ ไม่ว่าจะมาจากในด้านรัฐ หรือด้านสื่อ

คนที่อยู่อาศัยอยู่ในไทย ก็ คือคนไทย(ตามสำมโนประชากร) คราวนี้ รูปปพรรณ สัณฐาน ก็คือความเป็นเอกลักษณ์ของชาติด้วยส่วนหนึ่งแน่นอน ก็ คือ เราสามารถ แยกแยะ ผู้คนชาติต่างๆ ได้ จากรูปลักษณ์ภายนอกด้วย อย่างฝรั่งหัวแดง ผิวขาว ตาน้ำข้าว นั่นก็ คือ ชาวยุโรป หรือ อเมริกา ทั่วไป อย่างคนตาตี๋ หัวดำ เดินมา เราก็ แยกแยะได้ ว่านี่ คือ คนที่มาจากทางจีนเกาหลี ญี่ปุ่น อะไร ทำนองนั้น แต่เมื่ออัตลักษณ์เหล่านั้นบ่งบอกถึงความเป็นชาติของแต่ละชาติ เหตุฉไหนแล้ว เราถึงรังเกียจเดียดฉันท์ความเป็นชาติ แล้วกล่าวอ้างว่าเรารักชาติได้

คนไทย เป็นคนที่มีผิวเหลือง ดำ ปะปนกันไป ตามภูมิประเทศ แต่เราไม่ยอมรับความเป็นอัตลักษณ์ของชาติ เพราะเราต้องการที่จะเดินตามฝรั่งและชื่นชมใน อัตลักษณ์ของเหล่าฝรั่งนั้นๆ ฝรั่งนั้นขาวตามธรรมชาติคือสายพันธ์คอเคซอยด์ ที่มีผิวขาว แต่เราซึ่งเป็นมองโกลอยด์ กลับไปมองว่าเราต่ำต้อยที่เป็นผิวเหลือง แล้วพยายามจะขาวกันด้วยวิธีการต่างๆ แล้วเราจะกล่าวว่าเรารักชาติ แต่เราปฏิเสธรูปลักษณ์ดั้งเดิมที่เป็นคนผิวเหลือง เชิดชูความขาวที่เป็นของต่างชาติ นี่มันคือความรักชาติ แบบไหนกัน อยากขาวแบบต่างชาติกันเข้าไป หน้าขาว ตัวขาว ผิวขาว รักแร้ขาว (ไม่เอาตาขาวไปด้วยเลยล่ะ )ขนาดแค่เพียงรูปลักษณ์ภายนอกเรายังปฏิเสธ แล้วเนื้อในเราจะคงมันไว้ได้อย่างไร

ต่อมาหลังจากร่างกายที่เปลือยเปล่าที่เริ่มจะไม่คงสภาพ ในความหมายของชาติไว้แล้ว ร่างกายนั้นก็ต้องห่อหุ้มไว้ด้วยเครื่องนุ่งห่มที่แทบจะแยกแยะไม่ได้อีกแล้วว่าของไทยๆ มันเป็นอย่างไร เพราะชุดสุภาพก็คือชุดที่ชาวตะวันตกผู้มาล่าอาณานิคมได้บอกให้เราทำตามไว้ ตัวผู้เขียนก็ไม่ได้หมายความที่จะให้คนไทยที่แสนจะรักชาตินั้นกลับไปนุ่งสไบ ใสโจงกระเบน ห่มผ้าขาวม้าเดินไปมาตามท้องถนน แต่ที่จะกล่าวก็คงเป็นเรื่องที่พยายามบอกถึงความเป็นชาตินิยมต่างๆ แต่มองไปทางไหนก็มีแฟชั่นที่เป็นของต่างชาติทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นแฟชั่นอันหรูหราที่ถอดมาจากแคทวอล์คที่มิลาน หรือปารีส ไม่ก็ลดขนาดลงมาเป็นแฟชั่นวัยรุ่นที่เกาหลี ญี่ปุ่นกันทั่วบ้านทั่วเมือง ตัวผู้เขียนก็ยังไม่เห็นตรงไหนเป็นเครื่องแต่งกายที่จะบ่งบอกความเป็นชาติของเราเลยแม้แต่น้อย

ไปที่การใช้ชีวิต หรือจะเรียกให้ทันสมัยดูดีก็ต้อง เรียกไลฟ์สไตร์ ซึ่งก็ไม่เห็นว่าชีวิตที่ใช้กันอยู่มันมีอะไรเกี่ยวข้องกับชาติเราเท่าไหร่ นอกจากข้าวแกง ที่กินประทังชีวิต ที่พอจะเห็นเป็นไทยบ้าง แต่หลายมื้อ อื่นๆ ก็ เป็นอาหารนานาชาติไป จะอาหารฝรั่ง อาหารจั๊งฟู๊ด อาหารขยะ ญี่ปุ่น เกาหลี ฯลฯ

ต่อไปที่ส่วนข้าวของเครื่องใช้ ไล่ไปตั้งแต่ โทรศัพท์มือถือ ที่แน่นอนมันไม่มีของไทยอยู่แล้ว ไปจนถึงของชิ้นใหญ่อย่างรถยนต์ ก็ไม่เห็นจะมีอันไหนที่จะบ่งบอกความเห็นชาติได้เลย หรือกระทั่งบ้านเองสร้างบ้านก็เห็นมีแต่ สไตล์ ยูโรเปี้ยน ทอปิคาน่า ฯลฯ ก็ไม่เห็นจะมีใครหน้าไหน ที่เดินไปหาบริษัทสร้างบ้านแล้วบอก เอ่อ ขอบ้านทรงไทยครับ ทางบริษัทสร้างบ้านก็คงจะตอบกลับมาแบบไม่ค่อยจะสู้ดีเท่าไหร่

หน้าที่การงานก็เป็นอีกอย่างที่น่าจะต้องกล่าวถึง หน้าที่การงานที่แสดงความเป็นชาติ หรือบ่งบอกความเป็นชาติมีไหม ตอบแบบไม่คิดก็คงตอบกันไปว่าชาวนา อ้าวแล้วคุณเชิดชูพวกเค้าไหม อาชีพต่างๆก็ไม่ได้สนับสนุนคนในชาติเพื่อแสดงความเป็นชาติเราเท่าไหร่ เพราะ เอาจริงก็ เห็นๆ กันว่า มีแต่เชิดชู ฝรั่งมั่งค่า ญี่ปุ่น หรือ ในตอนนี้ที่กำลังมาแรงก็ จีนกับ อินเดีย ที่บริษัทในไทยเองเนี่ยแหละ นิยมชมชอบกันนัก แล้วก็ ให้ บอกว่า เราชาติอะไรนิยม

อีกเรื่องที่ไม่น่ามองข้ามไปเลยก็ คือ เรื่องของ คู้ครองที่ สาวๆคนไทย ใฝ่ฝันกันหาผัวต่าวชาติ บางหมู่บ้านถึงกับยกหมู่บ้านมีผัวฝรั่งกันไปหมด ใครๆ ก็ อยากจะไปผสมพันธ์กับฝรั่งมั่งค่า หรือ ชาติอื่นๆ มันไม่ใช่การดูถูก ชาติตัวเองหรือไร มันเป็นการเหยียดชาติเราเองว่าต่ำต้อยแม้ๆ แต่ทว่าก็ ฮิตติดลมบนกันไปใหญ่ ถึงขั้นมีหนังสือ มาวางขายตามร้านสะดวกซื้อ ที่ชื่อหนังสือ เรื่อง วิธีการหาผัวฝรั่ง นี่หรือคือ สิ่งที่เราจะพูดออกมาได้โดยไม่กระดากปากว่า เรามีความเป็นชาตินิยม

ยิ่งพอมารัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่พวกเค้าภูมิใจนักหนาว่าจะดีกว่าเดิม(แต่อย่างว่าแหละ ไม่ดีก็ฉีกใหม่สิ) ก็พยายามจะเอาศาสนาหนึ่งมาเป็นศาสนาประชาชาติ เพื่อจะระบุลงไปหรือไงว่า ชาติเราต้องอันนี้เท่านั้นนะ

เท่าที่ยกตัวอย่างมาคร่าวๆ ก็ น่าจะพอเพียงแก่การที่จะเห็นกันแล้วว่า จริงๆ เส้นแบ่งระหว่างชาติเรากับชาติอื่นๆ มันช่างเลือนรางลงไปทุกที แล้วทางเหล่าผู้มีอำนาจที่พยายามจะมากรอกหูกรอกปาก ประชาชนบอกให้ พากันรักชาติ ชาตินิยม ต่างๆนานา ปลุกเลือดรักชาติน่ะ มันอยู่ตรงไหน เหล่าผู้มีอำนาจก็ไม่ได้มีการระบุอะไร ลงไปชัดเจน

กลับกลายเป็นเพียงเรื่องของการเอาความเป็นชาตินิยม ที่แทบจะเป็นชาติอื่นนิยมอยู่แล้ว มาเป็นเครื่องมือที่จะใช้ห้ำหั่นกันทางการเมือง ของกลุ่มอำนาจเก่า อำนาจใหม่ ที่วนกันไปมา ผลัดกันเก่าผลัดกันใหม่

สรุปจนแล้วจนรอด ก็ยังไม่เห็นว่าผู้คนเราเป็นชาตินิยมตรงไหน มีแต่ชาติอื่น หรือไม่ก็ คงชาติหน้า
ปล
เรื่องโลกาภิวัฒน์น่ะใช่ แต่ประเด็นคือความคลุมเคลือที่ผู้มีอำนาจพยายามเอามาใช้เป็นเครื่องมือ
(เดี่ยวจะหาว่าไม่รู้จักโลกาภิวัฒน์)


Create Date : 19 เมษายน 2550
Last Update : 20 เมษายน 2550 19:03:52 น. 1 comments
Counter : 599 Pageviews.  

 
ประเทศไทยคงพํฒนาตามนานาอารยประเทศได้ยากส์ !

ทุกวันนี้ประเทศเหมือนถูกจำกัด ถูกบีบให้ต้องอยุ่ในกรอบเล็กๆมากจนเกินไป จะทำอะไรทีก็ต้องติดนั่นติดนี่ตลอด

ไหนจะวัฒนธรรมประเพณีดีงามที่เอามาอ้างถึงกันบ่อยๆ

ไหนจะศีลธรรม

ที่บอกเช่นนี้มิได้หมายความว่า ผมเห็นว่าคนไทยไม่ควรมีวัฒนธรรมหรือประเพณีดีงาม หรือว่า ไม่ควรมีศิลธรรม แต่ประเทศอื่นที่เค้าทำได้แปลว่าประเทศนั้นคนไม่มีศีลธรรมงั้นเหรอ? เพราะประเทศนั้นคนไม่มีวัฒนธรรมงั้นเหรอ?

บางประเทศเค้ามีวัฒนธรรมความเป็นมายิ่งใหญ่กว่าไทยด้วยซ้ำ แต่เขาก็ยอมรับกับการที่ประเทศจะต้องพัฒนาไปข้างหน้า ถ้ามัวแต่คิดว่าอันนี้ทำไม่ได้ทำให้วัฒนธรรมไทยต้องเสื่อมเสีย อันนั้นก็ไม่ได้เป็นการผิดศีลธรรม..

ถ้าต้องการอย่างนั้นทำไมเราไม่แสดงตัวไปเลยว่าประเทศไทย ขออยู่อย่างสมถะ ไม่มีการพัฒนาเอาอะไรที่จะก่อเกิด ความเสื่อมเสีย หรือทำลายวัฒธรรมไทยเข้ามาในประเทศก็สิ้นเรื่อง อยู่กันแบบป่าเขาลำเนาไพร ไม่มีเครื่องจักรที่ก่อให้เกิดมลพิษ ไม่มีบุหรี่ เหล้า ยาเสพติด และฯลฯ

ไม่ใช่ทำอะไรกั๊กๆ แบบนี้ จะพัฒนาก็เกรงว่าจะทำลายวัฒนธรรมศีลธรรมของคน แต่ครั้นจะอยู่แบบสมถะก็เกรงว่าอนาคตประเทศจะยากจนหรืออะไรก็แล้วแต่ มันก็จะค้างๆอยู่ตรงนี้แหละไม่ไปไหนสักที ผมถึงบอกว่าประเทศไทยคงเจริญไปกว่านี้ยากส์ไงครับ

คนสมัยนี้มือถือสากปากถือศีลกันเยอะ ผลมันก็เป็นอย่างที่ท่านขงหมิงว่านั่นแหละครับ ปากบอกว่ารักชาติ ชาตินิยม แต่บ้านก็ต้องทรงยุโรป ของใช้ก็ของนอก หนึ่งวันที่ออกมาทำงาน ถามจริงๆว่า ของใช้ในตัวมีอะไรที่เป็นของไทยมั่ง มีก็แต่ตัวคนที่เป็นคนไทย

จริงๆไม่อยากพูดเรื่องแบบนี้หรอกครับ พูดแล้วมันความดันขึ้นทุกที

เรื่องของวัฒนธรรมกับศีลธรรมของอย่างนี้มันอยู่ในใจครับ มันไม่ต้องป่าวประกาศให้คนอื่นเค้ารู้หรอก เช่นว่า ถ้าเราจะมีคาสิโนในเมืองไทย ก็ไมได้แปลว่า คนที่ไม่เคยเล่นพนันทุกคน จะหันมาเล่นพนัน แต่ถ้าเราไม่มีคาสิโน ก็ไม่ได้แปลว่าคนที่เล่นจะเลิกเล่นพนัน

ความดีความชั่วเหล่านี้มันอยู่ในใจคนเองครับ เราไปห้ามไม่ได้ ถ้าคนเล่นยังไงเค้าก็หาเล่นได้ แต่คนไม่เล่นต่อให้นั่งอยู่ในวงไพ่เค้าก้ไม่เล่นอยู่ดี

แค่นี้ก่อนนะครับ


โดย: poser (poser ) วันที่: 20 เมษายน 2550 เวลา:12:00:51 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

KongMing
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




เล่าจื้อกล่าวว่า"ผู้รู้เขาคือปราชญ์"
และกล่าวอีกว่า"ผู้รู้เราคือปัญญาชน"
ณ ปากทางเข้าถ้ำวิหารเทพอพอลโล่แห่งเดลฟี
มีป้ายทองคำเขียนว่า "Know thyself" แปลว่า รู้จักตนเอง
"temet nosce" ภาษาลาตินที่Oracleกล่าวให้
Neo รู้จักตนเอง

สิ่งที่สำคัญที่สุดของคนเราอยู่ที่ คำกล่าวเหล่านี้
[Add KongMing's blog to your web]