ความไม่รู้เป็นลาภอันประเสริฐ

อุปถัมภ์นำไทย

อุปถัมภ์ แปลว่า ค้ำชู ทำนุบำรุง
แนวคิดของระบบอุปถัมภ์ คือ คนที่อยู่ในฐานะต่ำกว่าไปอิงหรือรับอุปถัมภ์จากคนที่อยู่ในฐานะที่เหนือกว่า มีความสัมพันธ์ในแนวดิ่ง เพราะสังคมไทยยอมรับในอำนาจของคนที่มีตำแหน่ง อำนาจ บารมี อิทธิพลที่เหนือกว่าจะสามารถบังคับหรือโน้มน้าวผู้ที่อยู่ต่ำกว่าให้ปฏิบัติตามคำสั่งได้

ระบบอุปถัมภ์ที่ ดูเหมือนจะเป็นวัฒนธรรมไปซะแล้วสำหรับประเทศเรา เพราะมันฝังรากลงลึกเกินกว่าที่เราๆท่านๆจะหยั่งถึงได้ว่ามันไปถึงไหน

ระบบข้าราชการแบบอุปถัมภ์ที่ทำให้เกิด การฉ้อราษฎ์บังหลวงอยู่เสมอๆ การอาศัยเรื่องของความช่วยเหลือที่พอไปๆมาๆการช่วยเหลือกันที่น่าจะทำไปด้วยการช่วยเหลือซึ่งกันและกันโดยปราศจากสิ่งใด แต่นั่นมันไม่ใช่แล้ว เพราะการอุปถัมภ์กลับสร้างสิ่งที่เรียกว่าต่างตอบแทนเกิดขึ้นจนกลายสภาพเป็นการอุปถัมภ์ อย่างที่เป็นอยู่

ระบบการเมืองที่เจริญเติบโตมาจากแบบนั้นก็เช่นกัน เพราะว่า การเกื้อกูลกันในลักษณะแบบกันเองก่อให้เกิดความสมยอม และทำสภาพอีลั่กอีเหลื่อ ด้วยอิทธิพลและอำนาจต่างๆของเหล่าผู้ให้การอุปถัมภ์ กลายเป็นตัวแทน ผู้แทน ไปโดยปริยาย


เอาเป็นว่าไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว เมื่อเป็นเช่นนี้ ทำไมเราไม่ยอมรับเรื่องที่เกิดขึ้นกันไปเลยแล้ว ก็เอาระบบอุปถัมภ์ต่างๆที่มีมาระบุให้ชัดเจน เขียนกันเป็นกฏหมายกันไปเลย จะได้เข้าใจกันไปไม่ปล่อยให้คลุมเครือกันแบบนี้

เริ่มจาก เรื่องของ ระบบข้าราชการที่มีการอุปถัมภ์กันอยู่เนืองๆตามที่กล่าวมาข้างต้น ก็ เอาให้ชัดกันไปเลย ว่าอุปถัมภ์มันไม่ผิด มันดีแล้วเพราะเป็นสิ่งที่สืบทอดมานาน ถ้ามันไม่ดี มันจะสืบทอดมานานได้ยังไงล่ะ ในเมื่อเชื่อกันแบบนี้ก็เชื่อกันในลักษณะกฏหมายกันไปเลย ให้เหล่าข้าราชการได้เป็นผู้มีตำแหน่งอำนาจบารมี กันไปเหมือนสมัยเก่าก่อน แล้วชาวบ้านต้องขออาศัยบารมีนั้นๆในการให้เหล่าข้าราชการทำงานให้ และ มีการเซ่นบนบานสานกล่าวอะไร ก็ ว่าไป สินน้ำใจก็ให้กันไปเลย กำหนด ให้ชัดกันไปว่าจะเซ่นกันใต้โต๊ะ กันได้ไม่เกินเท่าไหร่ จะได้ไม่ต้องหลบๆ ซ่อนๆ กันอีก

ระบบการเมืองก็ให้เป็นอุปถัมภ์กันไปเลย เพราะมันก็แทบจะไม่ต่างกันกันที่เป็นอยู่ ไอ้ที่ว่าซื้อเสียงขายเสียงจะได้เรียกกันให้ถูกต้องกันไปว่านี่เค้าเป็นการอุปถัมภ์กันต่างหากล่ะ เป็นผู้แทนผู้ทรงบารมีกันไปเลย ไหนๆก็ไหนๆ แล้ว เอาแบนี้ไปเลยดีกว่า ก็เชื่อมั่นในการแต่งตั้งกันด้วยก็ ยิ่งดีใหญ่เพราเป็นการตอกย้ำกันไปอีกว่าเหล่าผู้มีบุญบารมี และผู้ศุงสักดิ์เท่านั้นที่จะได้ก้าวเดินไปในสภา ของไอ้พวกข้าไพร่บริวารก็รอ การอุปถัมภ์จากเลห่าคุณๆท่านดีกว่า เป็นอย่างนี้ไปเลย รัฐธรรมนูญระบุลงไปเลยก็ดี ว่าระบบอุปถัมภ์แบบไทยๆ

อย่างระบบการศึกษาที่ยัดเงินกันเป็นว่าเล่นก็เอาเป็นกิจลักษณะไปเลย เหล่าพวกลูกท่าหลานเธอจะได้ประกาศยศฐาบันดาศักดิ์กันไป ว่าตนเองได้อุปถัมภ์โรงเรียน หรือ มหาลัย นี้ๆ เท่าไหร่ เป็นหนี้บุญคุณต่อเหล่าพวกลูก ไพร่ข้าทาสบริวารเท่าไร ถ้าไม่ได้เหล่าลูกหลานผู้อุปถัมภ์โรงเรียนหรือมหาลัยนั้นจะขาดรายได้ไปเท่าไรห่ หน้าอย่างพวกขี้ข้าจะหาเงินก้อนขนาดนั้นมาได้ยังไง เจียมๆตัวกันซะบ้าง แล้วจะได้ไปเคารพนบนอบ อาศัยพึ่งบุญบารมีกันไป ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวก็มีปัญหา หาว่าเด็กเส้นหรือ โกงข้อสอบกันอีก จะได้หมดๆ ปัญหาไป เป็นผู้มีบารมีต่อสถาบันนั้นๆ กันไปเลย

และเมื่อประกาศระบบอุปถัมภ์อย่างเป็นทางการแล้ว พวกเหล่าประชาชนตาดำๆ ทั้งหลายแหล่ เหล่าไพร่ฟ้าประชาชี จะได้เจียมกะโหลกตนเองซะทีว่า ตนเองไม่มีอำนาจวาสนา เลิกหวังจะรวยหรือหวังสูงอะไรกันได้แล้ว ก้มหน้าก้มตา ทำตามที่เค้าบอกๆมา เชื่อฟังเหล่าผู้อุปถัมภ์กัน ยอมจำนนต่อชะตากรรมก้มหัวให้กับเหล่าผู้มีอำนาจ แบบเดิมๆ ต่อไปอ่ะดี แล้ว

เมื่อเป็นเช่นนี้เราก็จะรุ่งเรืองได้ต่อๆ ไปเพราะเราถือ ว่านี่คือระบบแบบไทยๆ ซึ่งไหนๆ ก็มีรัฐธรรมนูยแบบไทยๆ ไอ้เรื่องอุปถัมภ์ที่มันอยู่แบบไทยๆมา ก็น่าจะมีอยู่ด้วยไม่เห็น่าแปลกใจ

แล้วเราก็ตอบคำถาม ชาวตางชาติได้ไม่เห็นยากตรงไหน ในเมื่อ การปฏิวัติ แบบไทยๆ ยังไม่ใช่ปฏิวัติ รัฐธรรมนูญแบบไทยๆ ยังไม่ใช่ประชาธิปไตย แล้วจะแปลกอะไรอีกถ้าระบบอุปถัมภ์จะดำรงค์ไว้ซึ่งสังคมไทย


Create Date : 11 พฤษภาคม 2550
Last Update : 11 พฤษภาคม 2550 22:23:03 น. 0 comments
Counter : 729 Pageviews.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

KongMing
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




เล่าจื้อกล่าวว่า"ผู้รู้เขาคือปราชญ์"
และกล่าวอีกว่า"ผู้รู้เราคือปัญญาชน"
ณ ปากทางเข้าถ้ำวิหารเทพอพอลโล่แห่งเดลฟี
มีป้ายทองคำเขียนว่า "Know thyself" แปลว่า รู้จักตนเอง
"temet nosce" ภาษาลาตินที่Oracleกล่าวให้
Neo รู้จักตนเอง

สิ่งที่สำคัญที่สุดของคนเราอยู่ที่ คำกล่าวเหล่านี้
[Add KongMing's blog to your web]