ความไม่รู้เป็นลาภอันประเสริฐ

Fearization

ความกลัว อารมณ์การกระทำแสดงออกถึง ความไม่มั่นคงต่อสิ่งที่เกิดขึ้น ความไม่รู้และคาดเดาไม่ได้ต่อสิ่งที่จะเกิดขึ้น การปราศจากความแน่นอน ซึ่งจะเป็นปฎิกริยาของคนต่อสถานการณ์ต่างๆที่ไม่คงที่

ความกลัวที่เริ่มเจริญเติบโต แผ่ขยาย ก่อร่างสร้างตัวขึ้นเป็นอาณาจักรแห่งความหวาดกลัว ที่ปกคลุมไปทั่วทุกหนทุกแห่งบนโลก

ผู้คนเริ่มมีชีวิตอยู่อาศัยความกลัวเป็นเข็มทิศเครื่องกำหนดทิศทางการดำรงค์ชีวิต มากขึ้นทุกวัน

ด้วยพื้นฐานแห่งความหวดกลัว ผู้คนย่อมแสวงหาหลัก เพื่ออะไรซักอย่างที่จะเป็นจุดที่สร้างความมั่นใจ ลดระดับความกลัวให้ต่ำลง

ความกลัวปรากฏให้เห็นมากขึ้นทุกวันๆ และผู้คนก็ย่อมพยายามที่จะปรับลดมันลง
พ่อแม่กลัวลูกไม่ได้ดั่งใจ
เพื่อนกันกลัวเพื่อนไม่ยอมรับ
เด็กๆ กลัวไม่ได้เล่นเกมส์
วัยรุ่นกลัวไม่ได้เที่ยวเตร่
แก็งซิ่งกลัวโดนตำรวจจับ
สาวใจแตกกลัวท้อง
หนุ่มใจแตกกลัวเอดส์
เด็กเอนทรานต์กลัวเอ็นไม่ติด
นักศึกษากลัวโดนรีทาย
เด็กจบใหม่กลัวหางานไม่ได้
มนุษย์เงินเดือนกลัวตกงาน
เจ้านายกลัวลูกน้องเลื่อยขาเก้าอี้
พนักงานอายุมากกลัวเด็กรุ่นใหม่แซงหน้า
คนทำงานกลัวเงินไม่พอใช้
สาวๆกลัวไม่สวย เลยต้องเสริมสวยกันมากมาย
สาวๆกลัวอ้วน ต้องไป สถานลดหุ่นกัน
หนุ่มๆกลัวไม่เท่ห์ ต้องหาอุปกรณ์ รถรามาประดับความเท่ห์
ดารากลัว ชื่อเสียงลดลง
นักร้องกลัวไม่ได้ออกอัลบั้มใหม่
นายทุน กลัวไม่กำไร
ผู้ผลิตกลัวขายของไม่ได้
ผู้ส่งออกกลัวส่งออกไม่ได้
นักการเมืองกลัวสอบตก
พรรคการเมืองกลัวไม่ได้เป็นรัฐบาล
หัวหน้าพรรคการเมืองกลัวไม่ได้เป็นนายก
ทหารกลัวบ้านเมืองไม่เป็นประชาธิปไตย
ผู้มีอำนาจกลัวหมดอำนาจ
ชาวโลกกลัวการเกิดสงครามโลก
ประชาชนหวาดกลัวระเบิดตามจุดต่างๆ
ชาว3จังหวัดอาศัยอยู่ท่ามกลางความกลัวที่จะไม่มีชีวิตในวันรุ่งขึ้น
ชาวบ้านกลัวขโมยขึ้นบ้าน
คนกลัวผี ต้องพึ่งวัตถุมงคล
คนทุกคนกลัวตาย
ฯลฯ

เมื่อความกลัวมันแพร่สะพัดไปขนาดนั้น วิธีที่มาปรับลดก็จะมากมายเป็นเงาตามตัวไปด้วย
อย่าง ความตายที่ผู้คนกลัวกัน เราก็มีสิ่งที่จะมารับประกันว่าถ้าเราตาย คนข้างหลังเราจะมีหลักประกันอะไรไว้ไม่ให้ลำบาก หลงลืมไปถึงสาเหตุที่ทำให้เกิดความกลัวนั้นๆมาจากไหน และแก้ไขมันได้อย่างไร

สังคมที่ขับเคลื่อนด้วยฟันเฟืองแห่งความหวาดกลัว แต่ทว่ามาตรการการแก้ไขความหวาดกลัวนั้นๆ ก็ กลับเป็นเรื่องราวที่ไม่มีผู้ใดสนใจ ความกลัวเป็นเรื่องที่ทุกคนมองข้ามผ่านไป โดยไม่แยแสใยดีเลยแม้แต่น้อย เพราะผู้คนมักมองเห็นแต่ภาพร่างแห่งความสว่างจน ไม่มองถึงความมืดมิดที่อยู่ด้านหลังนั้น

การแก้ไขที่เป็นแค่การทำให้ความกลัวถูกปกปิด และปิดบังไป ยังเป็นการแก้ไขที่ทุกๆคนนำมาใช้เสมอๆ และก็ละเลยที่จะทำให้ ผู้คนสามารถมีชีวิตอยู่อย่างปราศจากความหวาดกลัวได้

มนุษย์ทุกคนก็ยังคงมีความกลัวอยู่เสมอๆ คงยากที่จะบอกได้ว่ามีใครคนไหนไม่มีความกลัว ความกลัวต่อสิ่งที่จะเกิดขึ้น หรือกลัวต่อผลลัพธ์ของสิ่งต่างๆ เป็นเรื่องปกติ ที่สามัญมากๆ

ซึ่งความกลัวนั้นมันใกล้กับความไม่ต้องการมาก จนในบางครั้ง ความกลัวก็จะเป็นเรื่องของการที่เราไม่ต้องการ หรือ ความอยากไม่มีนั่นเอง

คนเราจะเป็น อนาคิน ที่ปล่อยให้ความกลัวเข้าครอบงำ นำพาไปสู่ความโกรธเกลียดชัง และพาเข้าสู่ด้านมืดแห่งพลัง
จะมีหรือไม่ที่ ไม่ปล่อยให้ความกลัวเข้าครอบงำ และเดินเข้าสู่ด้านสว่างได้ แบบลุค
เราสามารถปล่อยวาง จนละทิ้งซึ่งความกลัว อย่างที่โยดาพยายามพร่ำสอนได้จริงหรือ

เรากลัวอดีตที่เลวร้ายเล่นงานเรา
เรากลัวปัจจุบันที่ไม่ได้สมดั่งใจ
เรากลัวอนาคตที่มืดมนมองไม่เห็น

วันนี้คุณกลัวอะไรซักอย่างหรือยัง




 

Create Date : 30 มีนาคม 2550   
Last Update : 30 มีนาคม 2550 16:46:30 น.   
Counter : 652 Pageviews.  

สื่อแท้ สื่อเทียมมันมีที่ไหน มีแต่

การสื่อสารติดต่อกันต้องอาศัยสื่อ เรื่องของพื้นฐาน การติดต่อ ไม่ว่าจะเป็นการสื่อสารระหว่างบุคคล หรือ การสื่อสารมวลชน เรื่องรายละเอียดคงพอทราบกันไม่มาก็ น้อย ดังนั้นจึงไม่ขอกล่าวถึง

ในที่นี้จะกล่าวถึงเรื่องของสื่อที่เรียกตัวเองว่าสื่อกันทุกวันนี้ สื่อในที่นี้ ส่วนใหญ่ จะเป็นสื่อวงกว้าง ไม่ว่าจะเป็นสื่อโทรทัศน์ วิทยุ หนังสือพิมพ์ หรือ มีบางเจ้าที่เป็นครบวงจร ในลักษณะที่เรียกว่า มัลติมีเดีย

ในสถานการณ์ช่วงที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน มีการพยายามกล่าวหากันไปมา ซัดทอดกัน ว่าสื่อนั้นไม่ดี สื่อนี้เลว สื่อนั้นลงข่าวไม่ถูกต้อง สื่อนั้นบิดเบือน ฯลฯ การใช้สื่อเป็นเครื่องมือในการโจมตีกัน เรื่องการต่อสู้กันทางการเมืองโดยใช้สื่อเป็นเครื่องมือในลักษณะ โฆษณาชวนเชื่อ

สื่อที่โดนโจมตี หรือ ที่โจมตีคนอื่นนั้น ส่วนใหญ่ สื่อเหล่านั้นจะเป็นสื่อที่เกี่ยวข้องกับเรื่องทางการเมือง ส่วนสื่ออื่นๆก็ไม่เห็นจะมีการมาโจมตีกันไปมาแบบ สื่อที่เกี่ยวข้องกับการเมือง

ยังไม่เคยเห็นสื่อที่เกี่ยวกับดาราหรือนักร้อง ออกมาตั้งป้อมกันเป็น2ส่วน ตั้งเป็นเครือข่ายสื่อที่อ้างว่าตัวเองเป็นสื่อดารานักร้องแท้ เสนอข่าวที่จริง นำเสนอข้อมูลดารานักร้องดีๆให้สังคม ส่วนอีกด้านเป็นสื่อดารานักร้องเทียม ที่บิดเบือนข่าวดารานักร้อง ที่ออกข่าวมาเพื่อทำลายชื่อเสียงอีกฝั่ง เห็นก็มีแต่สื่อที่เกี่ยวกับเรื่องวงการบันเทิง เป็นไปในทางเดียวกันซะมากกว่า ปาปารัซซี่ กำลังดังก็ แย่งกันหาภาพแอบถ่ายมาแข่งกันลง หรือภาพหลุดต่างๆของดาราก็ เอามาลงกัน มันก็ ไร้จรรยาบรรณ ไม่ต่างกันหรอก ถ้าจะแท้จะเทียม มันก็ เป็นเหมือนๆกัน

ข้อกล่าวหาที่กำลังตั้งกันขึ้นมาว่า สื่อนั้นนี้ เป็นสื่อแท้สื่อเทียม มันก็ คือ เรื่องของ สื่อที่เกี่ยวกับการเมืองเพียงอย่างเดียว ไม่เห็นว่าสื่อที่ไม่เกี่ยวกับการเมืองจะดีรับการเชิดชูเป็นสื่อแท้ หรือ ได้รับการประณามว่าเป็นสื่อเทียมตรงไหน

สื่อการเมือง ที่จะได้รับการยอมรับว่า แท้หรือเทียม ก็ขึ้นอยู่กับว่ากำลังอยู่ในฝั่งไหน มากกว่า ถ้าอยู่ในฝั่งอำนาจ สื่อนั้นๆ จากที่เคยถูกกล่าวหาว่าเทียม ก็ จะแปรสภาพเป็นแท้ได้ ส่วนสื่ออื่นๆ ที่เคยอยู่ขั้วอำนาจเก่า ก็ จะเป็นสื่อเทียมไปโดยปริยาย ไม่มีข้อโต้แย้ง อย่างที่เห็นได้ในปัจจุบัน

เมื่อเป็นเช่นนั้น คำว่าแท้เทียม มันจะมีค่าอะไร จะเรียกไปหาอะไร อย่าไปตั้งไปเรียกมันเลยดีกว่า ก็ว่ากันมาตรงๆ กันไปเลย ว่า
- สื่อแท้ หมายถึง สื่อที่อยู่ฝ่ายเดียวกับขั้วอำนาจปัจจุบัน มีอำนาจพร้อมที่จะโอบอุ้ม สื่อเหล่านี้ โดยการใช้อำนาจที่มีอยู่บิดเบือนอำนวยความสะดวกเปิดทางให้ สื่อเหล่านี้เช่นกันที่พร้อมจะดิ้นรนเข้ารับใช้ฝ่ายอำนาจ ไม่ว่าจะเป็นอำนาจเงิน หรืออำนาจลูกตะกั่ว
- สื่อเทียม หมายถึง สื่อที่อยู่ฝ่ายตรงข้ามกับขั้วอำนาจ สื่อที่เป็นเครื่องมือของฝ่ายตรงข้ามกับขั้วอำนาจในเวลานั้นๆ เสนอสิ่งต่างๆ ที่ฝ่ายผู้มีอำนาจไม่ชอบพอ ซึ่งหมายรวมไปถึง สื่อที่ไม่ยอมจำนนต่อฝ่ายอำนาจในขณะนั้นด้วย

เมื่อแท้ที่จริงสื่อ มันก็เป็นแค่กลุ่มคนกลุ่มหนึ่งที่พยายามที่จะนำเสนอ ความจริงที่ตัวเองเชื่อถือความจริงที่ตัวเองกำหนด (หรือผู้ใหญ่กำหนดให้) แท้เทียมก็จะเป็นอย่างที่กล่าวมาคือ แยกไปทำไม ในเมื่อไส้ในก็คือ กลุ่มคนที่เลือกที่จะสิโรราบต่ออำนาจ(เงินหรือปืน) เพียงแค่ว่าเป็น เรื่องต่างกรรมต่างวาระกัน แค่นั้น มันก็ เทียมไม่ต่างกันเลย โฆษณาชวนเชื่อกันไปให้เห็นขี้ปากกันเปล่าๆ ในเมื่อไม่พร้อมที่จะเสนอสิ่งที่ควรจะเสนอให้ประชาชน แต่พร้อมที่จะเสนอสิ่งที่ผู้ใหญ่(ในเวลานั้นๆ)พอใจมากกว่า เรื่องของจรรณยาบรรณสื่ออะไร อย่าไปเรียกหาเลย เพราะคนเราก็ต้องกินต้องใช้ ทุกฝ่ายก็ทำกันเพื่อปากท้องทั้งนั้น ไม่ต่างกันเลย

แล้วยิ่งในบ้านเมืองที่สื่อต่างๆเป็นรัฐเป็นเจ้าของ หรือไม่ก็นายทุนเป็นเจ้าของ ซึ่งคงไม่เป็นเรื่องยากเกิน ที่จะกล่าวว่า อำนาจต่างๆ (เงินหรือ อำนาจรัฐ) สามารถแทรกแซงสื่อได้ การปฏิเสธก็ คงเป็นพอพิธี แต่สิ่งที่ประชาชนได้รับรู้น่าจะเป็นคำตอบที่ชัดเจนกว่า ว่าสื่อต่างๆนำเสนออะไร



สื่อแท้ สื่อเทียมมันมีที่ไหน มีแต่สื่อฝ่ายอำนาจกับสื่อฝ่ายตรงข้ามอำนาจ

ส่วนสื่อเสรีก็คงมีแต่ในฝัน




 

Create Date : 27 กุมภาพันธ์ 2550   
Last Update : 27 กุมภาพันธ์ 2550 19:17:07 น.   
Counter : 773 Pageviews.  

เอาใจเขามาใส่ใจเรา

การรู้จัก "เอาใจเขามาใส่ใจเรา" หมายถึง รู้จักคิดถึงใจคนอื่น เห็นใจคนอื่น และคิดเปรียบเทียบดูว่า ถ้าเราเป็นเขา เราจะรู้สึกอย่างไรถ้ามีคนมาปฏิบัติหรือพูดกับเรา ในแบบที่เรากำลังจะทำหรือพูดออกไป

ในสังคมปัจจุบัน ผู้คนมีความคิดความเห็นแตกต่างกันออกไป จนไม่อาจจะจำแนกแนวความคิดต่างๆได้อย่างชัดเจนอีกต่อไป เพราะต่างคนก็ ต่างพื้นเพ ร้อยพ่อพันแม่ กันมา จะให้ คิดเหมือนๆกันไปหมดคงจะเป็นไปไม่ได้

ถึงแม้ว่าการศึกษาที่พยายามจะปั๊มเด็กและเยาวชนให้เดินไปตามทาง เดินอันแสนสวยงาม ที่เหล่าผู้ใหญ่พากันหวังดีพยายามขีดเส้นให้เดินไป แต่ด้วยระบบการศึกษาที่ยอดเยี่ยมที่สุด(ในการสร้างนกแก้วนกขุนทอง) ตามคำกล่าวอ้างที่เวลาปฏิรูปการศึกษาหนึ่งครั้งก็มักจะได้ยินเสมอๆ นั้น กลับได้เหล่าเด็กและเยาวชนที่มีบางคน บางส่วนคิดแตกต่างกันออกไป โดยรวมส่วนใหญ่อาจจะได้ บุคลากรที่มีคุณภาพ(ตามสายตาเหล่าผู้ใหญ่) แต่นั่นก็ไม่ได้เป็นเครื่องยืนยันว่า ส่วนใหญ่นั้นๆ จะไร้ซึ่งความคิดไปซะทีเดียว และแน่นอนด้วยว่าย่อมมีความคิดที่แตกต่างกันออกไป

เมื่อความคิดติด ตัวที่มีความหลากหลายและแตกต่างกัน ย่อมเกิดการถกเถียง โต้แย้ง ไม่มากก็น้อย ไม่แยกแยะสถานที่ไม่ว่าจะตามสภาสูง สภาล่าง ยันสภาโจ๊ก และสภากาแฟ

คำพูดหนึ่งที่กล่าวคือ เอาใจเขามาใส่ใจเรา จะทำให้ เข้าใจอะไรได้ ดีขึ้น แต่ทว่าแท้ที่จริง การที่คนๆหนึ่งพยายามที่จะบอกว่า เอาใจซึ่งในที่นี้หมายถึงความคิดความรู้สึก ของคนอีกคนหนึ่งมาคิดนั้น ผลลัพธ์มันย่อมได้ไม่เท่ากันแน่นอนด้วยปัจจัยต่างๆ

คำกล่าวนี้ อาจจะใช้ได้ ในช่วงหนึ่งๆ ที่คนเรามีความคิดแบบเดียวกัน สังคมที่มีความหลากหลายน้อย ผู้คนมองภาพแล้วเห็นเป็นภาพเดียวกัน และย่อมนำไปสู่ผลลัพธ์เดียวกันได้ เกิดเป็นความเห็นอกเห็นใจกันเพราะ มีจุดร่วมความคิดความรู้สึกเดียวกัน

แต่เมื่อยุคสมัยใหม่ที่ผู้ คนเต็มไปด้วยความหลากหลายทางความคิด ความรู้ รูปแบบการใช้ชีวิต คำกล่าวนี้อาจจะต้องปรับเปลี่ยนไปตามยุคสมัย

ในสมัยใหม่นี้ ด้วยปัจจัยที่แตกต่างกันที่กล่าวมาข้างต้น ถึงแม้ว่าเราจะเอาใจของคนอื่นมาคิด มาใส่เท่าไรก็ตาม แต่เราไม่ได้ ขจัดใจหรือความคิดของเราออกไป นั่นย่อมหมายถึงการพาไปสู่การพยายามคิดว่าถ้าเป็นเขา เราจะรู้สึกเช่นไร ด้วยความคิด ความรู้สึกและเหตุผลของเรามากกว่า และนั้นก็มีให้เห็นอยู่เสมอๆ เพราะคนมัก เอาใจ(ความคิด)เราไปใส่ตัวเขา มากกว่า ซึ่งมันไม่เหมือนกัน

และเมื่อเราเอาใจเราไปใส่ตัวเขาแล้ว มันก็ จะเป็นเรื่องของการคิดแทน คิดเอง เออเอง ว่าสิ่งนี้เราว่าดี ในสายตาเรา
เรากระทำแบบนี้เราก็เห็นว่าดี ดังนั้นเขาก็ต้องคิด ต้องรู้สึกเช่นเดียวกับเรา กลายเป็นอีหรอบนั้นไปมากกว่า

เหล่าผู้มีการศึกษามักจะคิดด้วยห้วงความคิดของเขา การจะเอาใจชาวบ้านมาใส่แล้วให้คิดเหมือนกันคงเป็นไปไม่ได้
มุมกลับกันชาวบ้านจะเอาใจนักศึกษามาคิดก็ไม่มีทางเหมือนกันได้

เหล่า นักการเมือง อำมาตย์ ผู้ปกครองประเทศ ก็ มักจะคิดแทนและไม่เคยเลยที่จะคิด เอาใจเขามาใส่ใจเรา ก็จะมีเพียงแค่การเอาใจเราไปใส่ตัวเขาบ้างเป็นครั้งคราว แต่ด้วยความรู้ความสามารถ ความมีคุณธรรมอันสูงส่งของคนเหล่านั้น
เราก็จะได้เพียง ความคิดของเขามากกว่าที่จะได้รับ ความคิดที่ส่งผ่านจากความต้องการของประชาชน

เหล่า ผู้เล่นอินเทอร์เน็ต(บางส่วน) ย่อมไม่ค่อยได้คิดถึงคำกล่าวนี้เท่าไหร่ ด้วยภูมิความรู้ที่อัดแน่นอยู่เต็มเปี่ยม ที่พร้อมจะระเบิดออกมาผ่านทางคีย์บอร์ด จึงไม่ค่อยมีเวลาพอที่จะมานั่งใส่ใจถึงความรู้สึกนึกคิดคนอื่นเท่าไหร่ กลายเป็นเรื่องราวของการแข่งขันประชันกันอวดความเก่งกล้าสามารถ ต่อว่า ด่าทอ โดยไม่แยแสใยดีต่อความรู้สึกผู้อื่น

ไม่ใช่ว่า การเอาใจเขาใส่ใจเรา มันผิด แต่ที่กล่าวคือ ในความเป็นจริงแล้วผู้คนทำเพียง เอาใจเราไปใส่ตัวเขา ไม่ได้ ก้าวพ้นกรอบจุดที่ว่าไป

การที่จะเอาใจเขามาใส่ใจเรานั้นไม่ใช่ เรื่องที่ง่ายอย่างที่คิด เพราะว่าต้องอาศัยการเอาใจใส่ไปถึงพื้นฐานทางความคิด การตัดสินใจ พื้นเพการใช้ชีวิต สภาพแวดล้อมที่คนๆนั้นเป็นอยู่ ปัญหาต่างๆที่คนๆนั้นประสบอยู่ ไม่ใช่การมักง่ายเพียงแค่การคิดเอาใจไปคิดแทนแบบหยาบๆ แบบที่ผู้คนใช้กันอยู่ หรือ ในแบบที่คนรู้จักแต่ไม่ใช้และไม่เคยคิดจะใช้

คิด ให้ลึกกว่าแค่ที่ผิวนอก ปอกเปลือกที่เคลือบอยู่ออกไป ทำความเข้าใจถึงแนวความคิด ความรู้สึกความเป็นมาต่างๆของคนที่เราต้องการจะเอาใจของเขามาใส่ ถึงแม้ว่าจะไม่มีทางที่จะเหมือนกันไปได้ แต่ก็น่าที่จะทำให้เข้าใจและเข้าใกล้ความเป็นตัวตนของเขามากขึ้น แล้วถ้าถึงจุดนั้นก็จะนำพาไปสู่ คำว่า

เอาใจ(ทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นของ)เขามาใส่ใจ(ความคิดความเข้าใจในความเป็นเขาของ)เรา

และย่อมทำให้เกิดจุดร่วมทางความคิด ทางความรู้สึกได้ดีขึ้นเป็นลำดับไป




 

Create Date : 15 กุมภาพันธ์ 2550   
Last Update : 15 กุมภาพันธ์ 2550 23:36:59 น.   
Counter : 20068 Pageviews.  

หลอกตัวเอง

หลอกตัวเอง คือ การที่คนเราไม่พูดไม่บอกความจริงแก่ตัวเราเอง ซึ่งความจริงที่หมายถึงเรื่อราวต่างๆที่เกิดขึ้นในสังคมแวดล้อมของตัวเอง การโกหกต่อตนเอง ความไม่จริงใจต่อตัวเราเอง

ชีวิตท่ามกลางสังคม ปัจจุบันนี้ ผู้คนแสวงหาเป้าหมายของชีวิตที่หมายมั่นกันไป แต่หลายๆครั้งการกระทำของผู้คนในสังคมมักเต็มไปด้วยการหลอกลวงซึ่งกันและ กัน

การหลอกกันกลายเป็นเรื่องของ คนฉลาดสามารถกระทำได้ ต่อคนที่ไม่รู้เท่าทันตนเอง การหาช่องว่างของกฎหมาย การหาช่องทางที่จะทำให้ตนเองได้เปรียบกว่าผู้อื่น ส่วนผู้ที่ไม่รู้เท่าทันก็ ได้แต่เป็นผู้ต้องรับชะตากรรมนั้นๆไปโดยไม่อาจโต้แย้งอะไรได้

การ หลอกกลวงกันไปมา ที่หาได้ไม่ยากในสังคม ที่เริ่มแพร่ขยายไปเรื่อยๆ จนจะกลายเป็นเรื่องปกติสุข ว่าผู้คนสามารถแข่งขันกันหลอกลวงได้ หลอกลวงกันระหว่างบุคคลต่างๆ นั้นแฝงด้วยผลประโยชน์นานับประการ ความแยบยลของความหลอกลวงที่คืบคลานมาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันที่หาได้ ง่ายๆ

นักการเมืองมักกล่าวคำลวงออกมาเพื่อสร้างมูลค่าความน่าเชื่อ ถือให้ตน ยิ่งใครคนไหนหลอกลวงคนอื่นๆ หลอกลวงประชาชนได้ มากเท่ายิ่งกลายเป็นเรื่องชอบธรรมมากเท่านั้น เพราะว่า ยิ่งคนเชื่อตามนั่นหมายถึงคะแนนเสียงตามหัวที่นับได้ตามหลักประชาธิปไตยแบบ นับปริมาณที่นิยมเอามาวัดกันมากกว่าตัว เนื้อหาจริง

สื่อต่างๆไม่ ว่าจะสื่อหนังสือพิมพ์ วิทยุ โทรทัศน์ ก็ แข่งกันหลอกคนดู ผู้ฟัง มากกว่าว่าใครจะมีศิลปะในการหลอกลวงที่ดีกว่ากัน เพื่อผลพวงที่จะได้รับกลับมาในค่าโฆษณา ค่าสปอนเซอร์


เมื่อ สังคมหลอกกันไปมา ผู้คนที่เริ่มที่จะคุ้นชินกับการหลอกลวง ก็ เริ่มที่จะไปไกลกว่าการหลอกกันระหว่างบุคคล ซึ่งนั่นก็ คือ การเริ่มที่จะครอบงำไปสู่การหลอกตัวเอง ของผู้คนที่โดนกล่อมประสาทอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน จากฝีมือของเหล่าผู้ครอบครองอำนาจ

คนเราหลอกตัวเอง ว่าถ้าเราขาว เราจะเป็นคนที่สวย
คนเราหลอกตัวเอง ว่าถ้าเราผอม เราจะเป็นคนที่หุ่นดี
คนเราหลอกตัวเอง ว่าถ้าเราแต่งตัวดี อินเทรนด์ เราจะเป็นที่ยอมรับ
คนเราหลอกตัวเอง ว่าถ้าเราหน้าใส เราจะเป็นที่หมายปอง
คนเราหลอกตัวเอง ว่าคนฟันธงขาดจะช่วยให้ชีวิตเราดีขึ้น
คนเราหลอกตัวเอง ว่าถ้าเราเรียนที่สถาบันที่มีชื่อเสียง เราจะสูงส่งกว่าคนอื่นๆ
คนเราหลอกตัวเอง ว่าถ้าเราจบจากสถาบันที่มีชื่อเสียงเราจะเก่งกว่าคนอื่นๆ
คนเราหลอกตัวเอง ว่าถ้าเราทำงานในบริษัทที่มีชื่อเสียง เราจะมีหน้ามีตากว่าคนอื่นๆ
คนเราหลอกตัวเอง ว่าถ้าเราได้เงินเดือนเยอะๆ เราประสบความสำเร็จกว่าคนอื่นๆ
คนเราหลอกตัวเอง ว่าถ้าเรามีตำแหน่งสูงๆ เรายิ่งใหญ่กว่าคนอื่นๆ
คนเราหลอกตัวเอง ว่าถ้าเรามีรถหรูๆ ป้ายแดง เราจะมีคลาสกว่าคนอื่นๆ
คนเราหลอกตัวเอง ว่าถ้าเรามีเครื่องประดับที่แพงกว่า เราอยู่เหนือ กว่าคนอื่นๆ
คนเราหลอกตัวเอง ว่าถ้าเราบ้านที่ใหญ่โตหรูหรากว่า เราสูงศักดิ์กว่าคนอื่น
คนเราหลอกตัวเอง ว่าคนที่หวังดีกับเรามีแค่บริษัทประกัน
คนเราหลอกตัวเอง ว่าถ้าคนแก่มา จะแก้ไขบ้านเมืองได้
คนเราหลอกตัวเอง ว่าคนมีคุณธรรมแค่กลุ่มเดียว สามารถช่วยให้บ้านเมืองดีขึ้นได้
คนเราหลอกตัวเอง ว่ารัฐธรรมนูญ ฉบับใหม่จะดีกว่าของเก่า
คนเราหลอกตัวเอง ว่ารัฐบาลก่อนหน้านี้ดีกว่า
คนเราหลอกตัวเอง ว่าถ้าคนทำผิด ถูกฝัง ปัญหาทุกอย่างจะจบ
คนเราหลอกตัวเอง ว่าการเร่ร่อนออกทีวีตามเมืองนอกจะช่วยสร้างคาให้ตัวเองได้
คนเราหลอกตัวเอง ว่าประชาธิปไตยเป็นเรื่องของผู้ปกครอง
คนเราหลอกตัวเอง ว่าเรากำลังปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย
คนเราหลอกตัวเอง ว่าเผด็จการไม่ใช่ เรื่องเลวร้าย
คนเราหลอกตัวเอง ว่าเราต้องไปดูหนังเพื่อแสดงออกถึงความรักชาติ
คนเราหลอกตัวเอง ว่าเราต้องไปเชียร์ฟุตบอลเพื่อแสดงออกถึงความรักชาติ
คนเราหลอกตัวเอง ว่าเราต้องไปต้องไปทำกิจกรรมที่เค้าบอกเพื่อแสดงออกถึงความรักชาติ
คนเราหลอกตัวเอง ว่าการปิดเว็บไซด์ลามกจะช่วยให้ลูกหลานเราดีขึ้นได้
คนเราหลอกตัวเอง ว่าการสอนลูกหลานเรื่องเซ็กซ์เป็นเรื่องที่ไม่ดี (จนทำให้เด็กต้องไปค้นหาเอง)
คนเราหลอกตัวเอง ว่าวันนี้พรุ่งนี้ จะถูกหวย
คนเราหลอกตัวเอง ว่าพรุ่งนี้ชีวิตจะดีขึ้นกว่าเดิม
คนเราหลอกตัวเอง ว่าละครทีวีมันช่วยให้สามารถพ้นจากความทุกข์ได้
คนเราหลอกตัวเอง ว่าการชอปปิ้ง สนองตัณหาได้
คนเราหลอกตัวเอง ว่าการตอบกระทู้ ที่ด่าว่าคนอื่น มันสะใจกว่าตอบดีๆ
คนเราหลอกตัวเอง ว่าการโพสกระทู้ล่อเป้า มันเท่ห์ เหลือหลาย
คนเราหลอกตัวเอง ว่าการตอบกระทู้ของตัวเองถูกต้องกว่าคนอื่นเต็มประดา
คนเราหลอกตัวเอง ว่าตัวเองเทพเหนือกว่าผู้อื่นไปซะหมด
คนเราหลอกตัวเอง ว่าฯลฯ

ที่ ยกมาก็แค่ตัวอย่างที่ผมเห็น ไม่จำเป็นว่า คุณต้องเห็นตัวอย่างนั้นๆ เหมือนกับผม ผมคิดว่า มันยังมีอีกหลายกรณีที่ ผมไม่เห็น อาจจะมีอีกหลายท่านคิดไปได้ต่างๆนานา

คนเราโดนสังคมกรอกหู ด้วยคำลวงทำให้คนเราเริ่มเชื่อตามในสิ่งที่กรอกหู จนเป็นเรื่องราวของการที่คนเราเริ่มหลอกตัวเอง ตามอย่างที่ผู้หลอกลวงอยากให้ เราเชื่อเช่นนั้น จนพัฒนาไปสูการเข้าทำนอง รู้เขาหลอกแต่เต็มใจให้หลอก

เมื่อสังคมหลอกลวง ตัวเราเองก็ต้องใช้ความคิดและเหตุผล เมื่อการหลอกลวงนั้นมากขึ้น เราก็ ต้องใช้ความคิดและเหตุผลให้มากขึ้น เพราะถึงแม้สังคมจะกรอกหูด้วยคำหลอกลวงเพียงใด หากเราแยกแยะได้ เราก็จะไม่ตกเป็นเหยื่อของคำลวงต่างๆ ที่ประเดประดัง เข้าหาตัวเรา

แต่การแยกแยะ ที่ต้องใช้ ความคิดและความมีเหตุผล มันอยู่ตรงไหน วันใด ผู้คนจะเดินไปถึงมันได้
กลายเป็นคำถามที่ถามว่า "วันนี้คุณหลอกตัวเองหรือยัง"




 

Create Date : 11 กุมภาพันธ์ 2550   
Last Update : 11 กุมภาพันธ์ 2550 9:54:17 น.   
Counter : 630 Pageviews.  

ข้าพเจ้าไม่เห็นด้วยเลยกับสิ่งลามกที่ท่านโชว์ แต่ข้าพเจ้าขอปกป้องสิทธิ ในการโชว์ลามกของท่านด้วยชีวิต

กรณีฉาวโฉ่ ของโปรแกรม แชทใหม่สุดฮิตที่มีคนบางกลุ่ม นำไปใช้ในทางที่ไม่ดี

แซง หน้าทั้งมะกัน-จีนขึ้นอันดับ 1 แล้ว ดีเอสไอแฉเด็กไทยคลั่งหนักแคมฟร็อกโชว์ลามก เผยห้องแช็ตตั้งแต่อันดับ 1-60 มีคนไทยเข้าไปใช้ถึง 55 ห้อง เตือนโจ๋ระวังเปลื้องผ้าผ่านกล้องระวังโดนหลอกก๊อบปี้นำไปเผยแพร่จะเสียใจ ด้านผู้ประกอบการธุรกิจอินเตอร์เน็ตแฉช่วงเวลาตี 3-ตี 4 มีสาวไทยเข้าไปเปลือยโชว์มากที่สุด แนะกระทรวงไอซีทีบล็อกด่วน รวมทั้งตำรวจต้องจับตัวคนโชว์มาลงโทษด้วย คนใช้บริการจะได้กลัว

//www.matichon.co.th/khaosod/khaosod_detail.php?s_tag=03p0103290150&day=2007/01/29§ionid=0301

ปัญหาสังคม ในเรื่องของความลามกอนาจารที่เหล่า ผู้รากมากดี มักจะขยะแขยงใน ทำนองเกลียดตัวกินไข่ ซึ่งเป็นปัญหามานานแสนนาน

หนังสือโป๊ ที่ในตอนนี้ กลายพันธ์เป็น หนังสือ สำหรับ ผู้ชาย (แล้วมันต่างกันตรงไหนแค่ โป๊น้อยลง จุดประสงค์เหมือนเดิม)
หนังสือ การ์ตูน ติดเรท ที่มีแฟนเซอวิสต์ กันโจ๋มครึ่มบ้าง วับๆแวมๆ บ้าง
Hเกมส์ ที่มีฉากโป๊ หรือ ฉากร่วมเพศ ให้เหล่าผู้เป็นสาวกแนวH ได้ เล่น ได้ชม
เว็บโป๊ ที่มีภาพโป๊ ไปจนถึงวีดีโอโป๊ คลิปโป๊
มือถือ มีเทคโนโลยี ถ่ายคลิป โป๊ แล้วส่งหากันได้
จนในที่สุดก็ มาถึง แคมฟอร์ก เจ้ากบน้อย

ใน สังคมที่ต้องนี้เกิด อาการโหยหา คุณธรรม ความดีงาม ศีลธรรม ต่างๆ อย่างรุนแรงนั้น (ตามความเข้าใจของเหล่าผู้มีอำนาจที่พร่ำบอก ว่าสังคมต้องมีคุณธรรม คุณธรรมนำความรู้ อะไร ต่อมิอะไร ) อะไรก็ตามที่อาจจะขวางหูขวางตา ขัดต่อหลักการศีลธรรมของเหล่าผู้ดีมีสกุลรุนชาติ ทั้งหลายแหล่ก็ อาจเป็นที่ไม่ชอบพอได้

เจ้ากบน้อย ที่เป็นโปรแกรมแชท ล่าสุด ที่ใช้ดู ภาพจากกล้อง เว็บแคมได้ เรื่องมันทำงานไง คิดว่าคงไม่ต้องพูดถึงเพราะคงหาอ่านกันได้ ทั่วไป
ประโยชน์ และโทษ ผมคงไม่ไปตัดสิน ว่ามันดีไม่ดี มีโทษยังไง มีคุณยังไง เพราะผมเชื่อว่าแต่ละคนคงมีเหตุและผลแตกต่างกันออกไป

แต่ การกระทำที่ลิดรอนสิทธิ์ เสรีภาพ โดยการมาปิดเว็บไซด์ ด้วยการอ้างอิงที่ปิดตาเหลือข้างเดียวมอง และการมองปัญหาแบบบนลงล่างรวมไปถึงการ ที่มักแก้ปัญหา ด้วยความมักง่าย ที่จะพูดถึง

ไม่ว่ามันจะยังเปิด ใช้งานได้ อยู่ หรือว่ามันจะปิดไปแล้ว อย่างไรก็ ตาม คำถาม ต่อมาคือ มันช่วยอะไร ให้ คนกลุ่มที่มีความคิดไร้ศีลธรรมอันดี (ตามที่เค้ากำหนด) นั้นได้ ตะหนักและรับรู้ถึงสิ่งที่พวกเขาทำ และ ทำให้ พวกเขาคิดอะไรได้ มากขึ้น บ้าง

เหตุผลแห่งการโชว์ ต้นตอสาเหตุ มันมาจากจุดนี้หรือ ปิดไปมันช่วยอะไร ขึ้นมา ตราบใด ที่การให้ความคิดก่อเกิด ยังไม่เคยมี มีแต่ผู้มีอำนาจคิดได้อยู่กลุ่มเดียวว่าสิ่งไหนดีหรือไม่ดี ต่อคนอื่นๆ

ปัญหา สังคม ชื่อก็ บอกอยู่แล้วว่าสังคม มันไม่ใช่ปัญหาส่วนตัว ไม่ใช่ปัญหาครอบครัว ไม่ใช่ปัญหาภาครัฐ แต่มันเป็นปัญหาของสังคม ไอ้ครั้นการที่จะออกมากำหนดกฎเกณฑ์ ตามใจตัวเอง โดยอาศัยความสูงศักดิ์ ที่เหนือกว่าชาวบ้าน การอ้างความมีคุณธรรมเปี่ยมล้น ทำให้ตัวเองสามารถที่จะขีดเส้นศีลธรรมขึ้นมาให้ทุกคนเดินตาม มันไม่ใช่การแก้ปัญหาของสังคม

ทุกคนที่อยู่ในสังคมต้องช่วยกันแก้ ไข ชาวบ้านมัวแต่งอมืองอเท้ารอส่วนบุญส่วนกุศลจาก เหล่าผู้ทรงศีลที่ผุดออกมาจากปากกระบอกรถถัง หรือแต่ก่อนที่ลอยลงมาจากดาวเทียม การแก้ปัญหาไม่ใช่อย่างนั้น

ลูก หลานตัวเอง ก็ ต้องเอาใจใส่บ้างไม่ใช่ปล่อยให้ไปโชว์อะไร ต่อมิอะไร ถ้าตัวเองคิดว่ามันไม่ดี ก็สั่งสอนด้วยสติและปัญญา ไม่ใช่ เอาเงินพาดหัวแบบที่เป็นอยู่ หรือ บางครอบครัวก็ มัวแต่ทำงานปล่อยปะละเลย จนไม่มีเวลาดูแล แล้วจะออกมาเรียกร้องความช่วยเหลือทำไม อย่างน้อยตัวเองก็ ทำในส่วนของตนก่อน แล้วถึงพึ่งรัฐ ไม่ใช่เอะอะก็ ร้องหาเป็นเหมือนคนไม่มีความคิด

ตัวเด็ก เองก็ น่าสงสารไม่น้อย เค้าโชว์ เพราะอะไร เพราะ ความอยาก มันก็ เป็นไปตามยุคสมัย เพราะไอ้บันเทิงเริงรมย์ที่มันสถิต อยู่ทั่วทุกหัวระแหงมัน บ่มเพาะ ความอยาก รู้อยากเห็นเรื่องเพศ อยู่แล้ว ไม่ต้องไปหาในเว็บหรือ ในเจ้ากบน้อย ก็ มีให้ เห็น ละครทีวี เพลงต่างๆ ก็ บ่นพร่ำหากันแต่ความรัก(แน่นอน มันแทบจะแยกไม่ออกกับคำว่าเซ็กซ์แล้ว) เด็กมันจะไม่สนใจได้อย่างไร

ครั้นพอมีเทคโนโลยี่ที่โชว์ อะไรได้มันก็ อยากรู้อยากเห็นด้วยความคึกคะนองตามประสาเด็ก ที่ความคิดความอ่านไม่ได้ เทพทางความคิดเหมือนอย่างผู้ใหญ่ (หลายคนๆแถวเว็บบอร์ดชื่อดังที่มักคิดว่าความคิดตัวเองเทพ)

ความ อยากรู้อยากลองมันก็ เป็นไปตามสัญชาติญาณมนุษย์ ที่มีมาแต่สมัยโบราณกาล ไม่มีใครไม่อยากรู้อยากเห็น ความอยากลอง กินแอบเปิ้ล1ครั้ง ทำให้ อดัมกับอีฟ ต้องออกจาก อีเด็น ฉันใดฉันนั้น พวกชอบโชว์ ที่อยากลองก็ มี พอโชว์ แล้วติดใจก็ มี การแสดงออกที่ต่ำทรามทางศีลธรรมอันดี นี้เอง เป็นเหตุให้เหล่าผู้มากด้วยศีลธรรมต้องออกโรงมาจัดการ ด้วยการปิดกั้น

ซึ่ง การปิดกั้นที่ว่านี้ เหล่าผู้ที่ชอบโชว์แบบเป็นกิจจะลักษณะ ที่มีอาการอยากโชว์จนต้องลงแดงนั้น มันก็ คงไปหา ที่โชว์ของมันจนได้ แหละไม่ใช่ไม่มีเจ้ากบน้อยนี้ แล้วคนเหล่านี้จะโชว์ไม่ได้ ชี้ช่องกันไปเลยก็ ได้ จะโชว์ มันก็ โชว์ได้ เกือบทุกโปรแกรมแชทน่ะแหละ ไม่ว่าจะ MSN ICQ หรือ อีกมากที่จะเข้ามาแทนที่เจ้ากบน้อย ซึ่งแน่นอนว่าเหล่าสาวกผู้ครั่งไคร้การโชว์และผู้เสพติดการดูโชว์มันก็ ตามไปหาไปค้นเจอกันเอง โดยไม่ต้องอาศัยบุพเพสันนิวาต และไม่ต้องไปรอเจอกันบนทางช้างเผือกหรอก

กระบวนการสร้างความคิดให้ เหล่าผู้รักการโชว์และการดูโชว์ไม่เคยเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์ลามกอนาจารที่เกิดมาแล้วไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ตามความคิดของเหล่าผู้มีคุณธรรมศีลธรรม แล้วเมื่อไร่ที่พวกเขาเหล่าผู้คิดไม่ได้ จะได้ เริ่มคิดได้ คิดเป็น หรือว่าการทำให้คิดไม่ได้นั่นคือสิ่งที่เหล่าผู้มีอำนาจต้องการ คือ คิดให้คิดแทน เป็นคุณปู่รู้ดี อยู่เสมอๆ

ตราบใดยังไม่สามารถทำให้ คนคิดเองได้ ก็ ไล่ปิดไปเหอะ อีกกี่100กี่พัน เราจะภูมิใจในความยิ่งใหญ่แห่งศีลธรรมอันดี ที่กำลังเข้าใกล้การปิดกั้นสื่ออย่างประเทศจีนได้ (คงไม่ต้องบอกนะครับว่าจีนปกครองด้วยระบอบอะไร)

ผมก็ไม่ได้ เสพติดอะไร กับเจ้ากบน้อยนี้ แต่โดยส่วนตัวผมไม่เห็นด้วยกับการปิดกั้น ในทุกๆแขนง อาจเพราะผมเชื่อมั่นในความคิดของแต่ละคนและผมก็ เคารพต่อการตัดสินใจของพวกเขาเหล่านั้น ว่าจะรับอะไร จะเสพอะไร

และผม ไม่เชื่อว่าการกำหนดกรอบศีลธรรมอันแสนจะดีงาม จะทำได้ตามหลักการของเหล่าผู้มีอำนาจ เพราะนั่นก็ จะเป็นแค่การมองผ่านกรอบแว่นสายตายาว ซึ่งมาบอกว่าศีลธรรมอันดี คืออันนี้ อันนั้นนะ ซึ่งแน่นอนมันขัดกับหลักประชาธิปไตย ซึ่งทุกคนมีสิทธิ์ คิดได้ ไม่ใช่ต้องรอให้ สูงอายุ หรือ ให้ รวยล้นฟ้าก่อนถึงจะมีสิทธ์ กำหนดได้ว่าศีลธรรมอันดีงามคือ อะไร

ผมเชื่อในประชาธิปไตย ที่ให้สิทธิ เสรีภาพ แก่ผู้คนจะทำอะไรก็ได้ ซึ่งแน่นอน การกระทำนั้นผมเชื่อในการตัดสินใจของคนอื่นๆด้วย ที่ยืนของคนทุกคนต้องมีในประชาธิปไตย ทำตามเสียงคนหมู่มาก แต่ก็ต้องมีที่ยืนให้คนกลุ่มน้อย หลักกฎหมายบ้านเมืองก็แค่เศษกระดาษที่สามารถฉีกเช็ดก้นได้เสมอ ๆเมื่อมีรถถังแล่นมา

ดังคำกล่าวของเล่าจื้อ
ข้อห้ามกฏเกณฑ์ยิ่งมาก ประชาชนยิ่งยากจน
อาวุธราชสำนักยิ่งแหลมคม ประเทศชาติยิ่งวุ่นวาย
วิทยาการยิ่งสูงส่ง ผลผลิตยิ่งเลวร้าย
กฏหมายยิ่งมาก โจรยิ่งชุกชุม...

ข้าพเจ้าไม่เห็นด้วยเลยกับสิ่งลามกที่ท่านโชว์ แต่ข้าพเจ้าขอปกป้องสิทธิ ในการโชว์ลามกของท่านด้วยชีวิต
ผมเชื่อตามคำกล่าวนี้

อ้างอิงจาก นิรนาม (มักอ้างผิดถึงวอลแตร์ )
ข้าพเจ้าไม่เห็นด้วยเลยกับสิ่งที่ท่านพูด แต่ข้าพเจ้าขอปกป้องสิทธิ ในการพูดของท่านด้วยชีวิต




 

Create Date : 30 มกราคม 2550   
Last Update : 18 เมษายน 2550 0:53:07 น.   
Counter : 579 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  

KongMing
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




เล่าจื้อกล่าวว่า"ผู้รู้เขาคือปราชญ์"
และกล่าวอีกว่า"ผู้รู้เราคือปัญญาชน"
ณ ปากทางเข้าถ้ำวิหารเทพอพอลโล่แห่งเดลฟี
มีป้ายทองคำเขียนว่า "Know thyself" แปลว่า รู้จักตนเอง
"temet nosce" ภาษาลาตินที่Oracleกล่าวให้
Neo รู้จักตนเอง

สิ่งที่สำคัญที่สุดของคนเราอยู่ที่ คำกล่าวเหล่านี้
[Add KongMing's blog to your web]