|
|
|
|
|
|
รัฐสวัสดิการดีจริงหรือ ?
ระบบรัฐสวัสดิการเป็นสิ่งที่เรียกกันว่า *ทางสายกลาง* ระหว่างคอมมิวนิสต์กับนายทุน ซึ่งก็เลยทำให้ยังมีข้อบกพร่องที่ทั้งคอมมิวนิสต์และลัทธินายทุนต่างก็มีอยู่ นั่นก็คือ การคิดสับสนปะปนกันระหว่าง *ที่ดิน* กับ *ทุน* คอมมิวนิสต์โจมตีชนชั้นเจ้าของปัจจัยการผลิตทั้งสองนี้รวม ๆ กันไปไม่พยายามแยกประเภท ส่วนระบบนายทุนหรือเสรีวิสาหกิจปัจจุบันก็พยายามต่อสู้ป้องกันชนชั้นทั้งสองนี้ไว้รวม ๆ กันไปโดยพยายามไม่แยกประเภทเช่นเดียวกัน (จริงอยู่ มีอยู่มากรายที่เจ้าของที่ดินและเจ้าของทุนเป็นบุคคลคนเดียวกัน แต่ในการคิดหาเหตุผลทางเศรษฐศาสตร์ เราจะต้องแยกฐานะความเป็นเจ้าของปัจจัยการผลิตที่ต่างกันออกจากกัน) รัฐสวัสดิการ *ทางสายกลาง* ก็เลยยอมให้เอกชนเป็นเจ้าของได้ทั้งที่ดินและทุน แต่ว่าได้เฉพาะรายย่อย ส่วนรายใหญ่ต้องโอนเป็นของรัฐ ซึ่งรัฐวิสาหกิจมักจะมีคอร์รัปชัน ความเป็นเจ้าขุนมูลนาย และ ประสิทธิภาพต่ำ
ทางสายกลางที่แท้จริงน่าจะได้แก่ ระบบภาษีมูลค่าที่ดิน* ซึ่งเปรียบเสมือนโอนปัจจัยการผลิตแต่เพียงปัจจัยเดียวเป็นของรัฐ คือที่ดิน ส่วนทุนจะมากน้อยเพียงใดยังคงยอมให้เอกชนมีกรรมสิทธิ์อยู่และได้ผลตอบแทนเต็มที่ ไม่ต้องเสียภาษี แต่จะต้องหาทางกำจัดการผูกขาด แรงงานก็ไม่ต้องเสียภาษี
การสวัสดิการในสวีเดนและเดนมาร์กนับว่าดี เช่น คนเจ็บป่วย คนชรา คนว่างงาน จะไม่อดตาย มีการรักษาพยาบาลฟรีอย่างดี แต่ถ้ารัฐให้สวัสดิการดีตั้งแต่เกิดลงเปลไปจนถึงตายลงหลุม (from the cradle to the grave) กิจการของรัฐก็จะต้องใหญ่โตมีเจ้าหน้าที่มาก เกิดคอร์รัปชันและระบบเจ้าขุนมูลนายมากขึ้น รัฐจะต้องเข้ามาก้าวก่ายเสรีภาพส่วนบุคคลมากขึ้นและภาษีก็จะต้องสูงตั้งแต่เกิดลงเปลไปจนถึงตายลงหลุมเช่นเดียวกัน ซึ่งราษฎรของทั้งสองประเทศนี้ก็รู้สึกกันทั่วไปว่าตนต้องเสียภาษีแรงมาก เพราะรัฐบาลไม่มีทางได้เงินจากไหนมาทำสวัสดิการ นอกจากจะรีดเอาจากพลเมืองด้วยกัน ภาษีเงินได้สูงทำให้คนที่รายได้สูงย้ายออกนอกประเทศ ไม่เป็นการส่งเสริมการลงทุน ทำให้หางานทำยาก ว่างงานมาก และภาษีที่เก็บจากการลงแรงลงทุนของแต่ละบุคคล เพื่อเอาไปบำรุงคนอื่นนั้นก็ไม่ยุติธรรม ซ้ำยังทำให้ของแพงและถ่วงการผลิต แต่ถ้าเป็นการสวัสดิการโดยใช้ภาษีมูลค่าที่ดินซึ่งควรจะเป็นรายได้อันชอบธรรมของรัฐ (เพราะมูลค่าราคาของที่ดินเกิดจากการกระทำของทุกคนรวมกัน รวมทั้งภาษีที่ทุกคนจ่ายไปบำรุงส่วนรวม) นั่นแหละ จึงจะเป็นการสมควรอย่างยิ่ง
เราต้องยอมรับความจริงข้อหนึ่งว่า คนเราเกิดมาไม่เท่าเทียมกัน สมองดีบ้าง ทึบบ้าง ร่างกายสมประกอบบ้าง ง่อยเปลี้ยบ้าง ความขยันขันแข็งความรู้สึกรับผิดชอบเอาใจใส่ในหน้าที่การงานก็ไม่เท่ากัน สิ่งเหล่านี้ขึ้นอยู่กับพันธุกรรมบ้าง สิ่งแวดล้อมบ้าง เป็นการยากที่จะวินิจฉัยว่าเป็นความผิดของเจ้าตัวหรือเปล่า และเป็นการยากที่จะช่วยให้ทุกคนเกิดความเท่าเทียมกัน เราจะทำให้เกิดความเท่าเทียมกันได้ก็เฉพาะในเรื่องของโอกาส ซึ่งระบบภาษีมูลค่าที่ดินจะเปิดโอกาสให้มนุษย์มีสิทธิ์เท่าเทียมกันในการใช้ที่ดินอันเป็นของธรรมชาติและเป็นรากฐานจำเป็นแก่การอยู่อาศัยและการประกอบอาชีพ การช่วยให้เกิดความเท่าเทียมกันในเรื่องอื่น ๆ บางครั้งก็ไม่สมควร เช่น จะช่วยให้คนเกียจคร้านมีรายได้ฐานะเท่าเทียมกับคนขยันเป็นต้น ทั้งในระบบปัจจุบันก็มิได้มีมาตรการที่ได้ผลแต่อย่างไรในการที่จะแก้ไขความไม่เท่าเทียมกันของมนุษย์เช่นที่กล่าวมานี้
อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้ยากไร้มีความเป็นอยู่ต่ำกว่ามาตรฐานอันหนึ่ง (ตามที่จะคิดกำหนดขึ้น) ก็ควรจะได้รับการอุ้มชูจากรัฐ (หรือ คือ สังคมส่วนรวมนั่นเอง) แต่มาตรฐานที่กำหนดไว้นี้ก็ต้องระวังไม่ให้ดีเกินไป จนกลายเป็นเครื่องล่อใจให้คนไม่คิดช่วยตัวเอง กลายเป็นภาระของสังคมที่จะต้องคอยอุ้มชูกันเรื่อยไป ตัวอย่างในสิ่งที่ควรจะช่วยเหลือก็เช่นให้การศึกษาพื้นฐาน ที่จะออกไปประกอบอาชีพได้ตามสมควรและประพฤติตนเป็นพลเมืองดีของสังคม (การศึกษาภาคบังคับควรจะตรงตามความมุ่งหมายนี้ แต่ไม่ใช่ให้การศึกษาขั้นปริญญาฟรีโดยในการศึกษาภาคบังคับชั้นประถมกลับหาที่เรียนฟรีที่ดีพอสมควรไม่ได้) เมื่อเจ็บป่วยก็ควรจะให้การรักษาพยาบาลฟรี (แต่ก็ต้องระวังผู้ที่แกล้งทำเป็นป่วยเพราะได้อาหารฟรีและไม่ต้องทำงาน) มีการฝึกอาชีพให้ใหม่เมื่อต้องว่างงาน เช่น เมื่ออุตสาหกรรมในครอบครัวต้องพ่ายแพ้แก่เครื่องจักรกลในอาชีพเดียวกัน มีการสงเคราะห์คนพิการ หูหนวก ตาบอด ปัญญาอ่อน ฯลฯ
ข้อที่ควรระลึก ก็คือ ระบบภาษีเดี่ยวจากการถือครองที่ดิน (ซึ่งไม่เก็บภาษีจากการลงแรงลงทุน เช่น ภาษีเงินได้ ภาษีมูลค่าเพิ่ม) จะช่วยบรรเทาปัญหาต่าง ๆ เหล่านี้ลงไปโดยอัตโนมัติ ทำลายการเก็งกำไรเก็บกักที่ดิน ของกินของใช้จะราคาถูกลง การว่างงานจะลดลง หางานทำได้ง่าย ค่าแรงจะสูงขึ้น ช่วยให้ผู้ใช้แรงงานมีฐานะดีขึ้นโดยทั่วไป และมีความภาคภูมิใจที่สามารถยืนอยู่ด้วยลำแข้งของตนเอง ประสบผลสำเร็จทำมาหาเลี้ยงชีพเป็นที่พึ่งแก่ครอบครัวได้ โดยไม่ต้องรอรับ *รัฐสวัสดิการ* เหมือนขอทานอีกต่อไป ถ้าพื้นฐานดีเสียแล้วการจะแก้ปัญหาส่วนที่เหลือก็จะพลอยง่ายขึ้นไปด้วย.
(จาก หนังสือ ความยากจนที่ไม่เป็นธรรม - เศรษฐศาสตร์ที่ลงถึงราก //geocities.com/utopiathai/UnjustPoverty หน้า 79-80)
หมายเหตุ ระบบภาษีมูลค่าที่ดิน ดูที่ //th.wikipedia.org/wiki/เฮนรี_จอร์จ และที่ //th.wikipedia.org/wiki/ภาษีเดี่ยว
บทความเกี่ยวกับเรื่องรัฐสวัสดิการ รัฐสวัสดิการแบบไทยต้องใช้เงินขั้นต่ำ 4 แสนล้าน บทสรุปบางส่วนจากบทความเรื่อง คนไทยพร้อมจะจ่ายค่ารัฐสวัสดิการหรือ ? //www.nidambe11.net/ekonomiz/2007q4/2007november07p4.htm สำหรับฉบับเต็ม (ซึ่งมีข้อมูลรายละเอียด) เรื่อง คนไทยพร้อมจะจ่ายค่ารัฐสวัสดิการหรือ? โดย ดร. วรวรรณ ชาญด้วยวิทย์ เสนอสำหรับกลุ่มที่ 3 การต่อสู้กับความยากจนด้วยระบบรัฐสวัสดิการ ในการสัมมนาวิชาการประจำปี 2550 เรื่อง จะแก้ปัญหาความยากจนกันอย่างไร: แข่งขัน แจกจ่าย หรือสวัสดิการ ร่วมจัดโดย มูลนิธิชัยพัฒนา และ มูลนิธิสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย วันที่ 10-11 พฤศจิกายน 2550 ณ โรงแรมแอมบาสซาเดอร์ ซิตี้ จอมเทียน ชลบุรี ดูได้ที่ //www.tdri.or.th/ye_07/g3_worawan.pdf (27 หน้า) รัฐสวัสดิการทางเลือกใหม่ของการเมืองไทย //www.bbznet.com/scripts2/view.php?user=tangnamo&board=1&id=194&c=1&order=numtopic รัฐสวัสดิการจะดีทำไมต้องภาษีก้าวหน้า? //www.bbznet.com/scripts2/view.php?user=tangnamo&board=1&id=109&c=1&order=numtopic
Create Date : 21 พฤษภาคม 2551 | | |
Last Update : 21 สิงหาคม 2551 23:54:35 น. |
Counter : 1026 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
เรื่องย่อหนังสือความยากจนที่ไม่เป็นธรรม (ฉบับเต็มอ่านฟรีบนเว็บ)
(ฉบับเต็มอ่านได้ที่ //utopiathai.webs.com/UnjustPoverty.html)
ลัทธิที่ดินนิยมคือกาฝากร้ายของทุนนิยม การที่ฝ่ายทุนนิยมล้มเหลวไม่สามารถขจัดความยากจนได้ การที่วัฏจักรเศรษฐกิจเหวี่ยงตัวขึ้นลงรุนแรงก่อความเสียหายใหญ่หลวง ธุรกิจล้มละลาย ผู้คนสิ้นเนื้อประดาตัว ก็เพราะที่ดินนิยมเป็นสาเหตุหลักให้เกิดการเก็งกำไรที่ดินและอสังหาริมทรัพย์ซึ่งมีที่ดินเป็นส่วนสำคัญ ถ้าเราสามารถขจัดลัทธิที่ดินนิยมออกไปจากลัทธิทุนนิยม ทุนนิยมก็จะเป็นทั้งแรงงานนิยมไปด้วยอีกอย่างหนึ่งคู่กันไป เพราะที่ดินนิยมคือสิ่งขวางกั้นมหึมาต่อมือที่มองไม่เห็นของแอดัม สมิธ อันเป็นหัวใจของทุนนิยมหรือลัทธิเสรีวิสาหกิจ
ที่ดินคือเงื่อนไขแห่งชีวิต การปล่อยให้เอกชนมีกรรมสิทธิ์แทบจะเต็มที่ในที่ดิน ซึ่งเป็นทรัพยากรธรรมชาติ มิได้มีมนุษย์ผู้ใดลงทุนลงแรงสร้างขึ้นมา การไม่เก็บภาษีที่ดินสูง ๆ ทำให้เกิดการเก็งกำไรเก็บกักที่ดิน ทำให้แผ่นดินของประเทศชาติไม่ได้รับการทำประโยชน์ตามควรแก่สภาพ ความไม่เท่าเทียมกันในกรรมสิทธิ์ที่ดินเนื่องจากความยากจนทำให้คนจำนวนมากต้องยอมจ่ายค่าตอบแทนโดยเช่าที่ดินจากผู้อื่น การเก็บภาษีทั้งหลายแหล่ยกเว้นภาษีที่ดิน ได้ก่อผลร้าย เช่น ทำให้ของแพงและค่าแรงต่ำ ถ่วงความร่วมมือในการผลิต ทั้งภายในประเทศด้วยกัน และกับต่างประเทศ ทำให้ผลผลิตลดลง และการว่างงานรุนแรงขึ้น
การที่รัฐบาลออกกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ซึ่งกลายเป็นการส่งเสริมอภิสิทธิ์อำนาจผูกขาด ทำให้เกิดการกดขี่ขูดรีด ทำให้ราษฎรส่วนใหญ่เดือดร้อน เหล่านี้คือสาเหตุของความยากจนที่เริ่มจากความไม่เป็นธรรม
ภาษีนั้นไม่ควรจะให้เป็นภาระแก่ผู้ลงทุนลงแรงสร้างผลผลิตและบริการ แต่ควรจะเก็บตาม หลักผลประโยชน์ หรือถือตามหลักความยุติธรรม คือส่วนที่เกิดจากเอกชนแต่ละคนก็ต้องเป็นของเอกชนแต่ละคนนั้น ๆ ส่วนที่เกิดจากสังคมก็จักต้องไม่ยอมให้ตกไปเป็นของเอกชน แต่ต้องใช้วิธีการภาษีหรืออื่น ๆ นำกลับมาเป็นของรัฐหรือสังคมส่วนรวม
การเร่งรัดพัฒนาประเทศ จะทำได้ก็แต่โดยรัฐบาลจะต้องเก็บภาษีให้มากขึ้น ผู้เสียภาษีคือราษฎรทั่วไป ผลร้ายของภาษีคือทำให้ของแพง ถ่วงการผลิต และค่าแรงต่ำ แต่ส่วนผลดีของการพัฒนาประเทศ เช่นการสร้างถนน สะพาน การชลประทาน กลับไปตกอยู่กับเอกชนเจ้าของที่ดินแต่ละคน ผู้เช่าที่ดินซึ่งต้องเสียภาษีต่าง ๆ มากขึ้นอยู่แล้ว ก็กลับต้องเสียค่าเช่าที่ดินเพิ่มขึ้น เนื่องจากผลของภาษีที่เอาไปพัฒนานั่นเอง นับได้ว่าเป็นการเสีย 2 ต่อ ความอยุติธรรมเช่นนี้ได้ส่งผลพอกพูนเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ตลอดมาเป็นเวลานานแล้ว ดังนั้น ผลของการพัฒนาประเทศจึงเสมือนลิ่มที่ตอกผ่ากลางระหว่างกลุ่มคนจนกับกลุ่มคนรวย แยกชน 2 กลุ่มนี้ให้เกิดช่องว่างระหว่างกลางมากขึ้น ยกกลุ่มที่ร่ำรวยอยู่แล้วให้ยิ่งร่ำรวยขึ้น และกดกลุ่มที่ยากจนลงให้เกิดความยากแค้นมากยิ่งขึ้น จึงเกิดคำถามกันขึ้นว่า เราพัฒนาไปเพื่อใคร ?
อย่างไรก็ตาม การพัฒนาประเทศเป็นสิ่งที่ดีงาม ควรกระทำต่อไป แต่ประโยชน์ที่เกิดขึ้นก็ควรจะให้กระจายออกไปทั่วหน้ากัน โดยการพยายามลดหรือยกเลิกภาษีต่าง ๆ แล้วเก็บภาษีมูลค่าที่ดินแทน
Create Date : 28 เมษายน 2551 | | |
Last Update : 19 มิถุนายน 2554 7:54:38 น. |
Counter : 2354 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
แอดัม สมิธ: ภาษีที่ดีและที่เลว
(จากบทความเรื่อง Adam Smith's Recommendations on Taxation โดย Nadia Weiner ผู้อำนวยการสโมสรแอดัม สมิธแห่งซิดนีย์ ออสเตรเลีย ที่ //www.progress.org/banneker/adam.html )
แอดัม สมิธ (ค.ศ.1723-90) ผู้ได้รับสมญาว่า บิดาแห่งเศรษฐศาสตร์ คัดค้านระบบการค้าแบบคุ้มครอง (protectionist) คือระบบที่ใช้วิธีตั้งกำแพงภาษีหรือโควตาแก่สินค้าเข้าเพื่อคุ้มครองอุตสาหกรรมภายในจากการแข่งขันของต่างประเทศ ในด้านภาษีท่านได้ใช้เนื้อที่เกินกว่า 1 ใน 3 ของหนังสือเล่มสำคัญของท่านชื่อ An Inquiry into the Nature and Causes of the Wealth of Nations (เรียกกันสั้น ๆ ว่า Wealth of Nations) เพื่อกล่าวถึงเรื่องรายได้ของรัฐบาลและวิธีดีที่สุดในการหารายได้ รวมทั้งภาษีใหม่ ๆ
แอดัม สมิธได้กำหนดหลัก (maxim) 4 ข้อเกี่ยวกับการภาษีโดยทั่วไป ดังนี้ (หนังสือ Wealth of Nations ที่ //www.econlib.org/LIBRARY/Smith/smWNtoc.html ภาค 5 บทที่ 2 ย่อหน้า 24 หรือย่อว่า V.2.24)
1. คนในบังคับของรัฐทุกรัฐพึงจ่ายเงินค้ำจุนรัฐบาลตามส่วนกับความสามารถของตน นั่นคือ ตามส่วนกับประโยชน์ที่ตนได้รับภายใต้การคุ้มครองของรัฐ 2. ภาษีที่แต่ละคนต้องจ่ายพึงมีความแน่นอน ไม่ใช่กำหนดตามอำเภอใจ กำหนดเวลาชำระ วิธีชำระ และจำนวนที่ต้องชำระ พึงมีความชัดเจน เข้าใจง่ายสำหรับผู้ชำระและทุกคน 3. พึงเก็บภาษีทุกชนิดในเวลาหรือโดยวิธีที่น่าจะสะดวกที่สุดสำหรับผู้จ่าย 4. พึงคิดหาวิธีที่สิ้นเปลืองน้อยที่สุดในการจัดเก็บภาษีทุกชนิดแก่ทั้งรัฐและผู้จ่ายภาษี ความสิ้นเปลืองนี้แบ่งได้เป็น 4 ประการ คือ 1) ใช้เจ้าหน้าที่จำนวนมาก หรือต้องตั้งรางวัลมาก 2) ภาษีอาจขัดขวางความอุตสาหะของราษฎร พลอยทำให้การมีงานทำและรายได้ลดลง 3) การริบทรัพย์หรือปรับผู้ที่พยายามหลบเลี่ยงภาษีมักทำให้พวกเขาหมดตัว ทำให้กลายเป็นคนไร้ประโยชน์ต่อสังคม ภาษีที่เลวมักล่อใจให้คนลักลอบค้าของเถื่อน และโทษก็จะเพิ่มขึ้นตามแรงดึงดูดใจ ในขั้นแรกกฎหมายซึ่งขัดกับหลักยุติธรรมจะล่อใจให้อยากละเมิด แล้วก็จะลงโทษอย่างรุนแรงในสถานการณ์ซึ่งควรลดแรงล่อใจให้ก่ออาชญากรรม 4) การที่ราษฎรถูกเยี่ยมกรายบ่อยและถูกตรวจสอบอย่างน่ารังเกียจจะก่อความเดือดร้อน รบกวน และกดขี่อย่างมากโดยไม่จำเป็น แม้การรบกวนจะมิใช่ค่าใช้จ่าย แต่ทุกคนก็ยินดีจ่ายเพื่อไถ่ตนเองให้พ้นจากการรบกวนนี้
แอดัม สมิธเห็นว่าภาษีสรรพสามิต ภาษีศุลกากร ภาษีกำไร (ส่วนใหญ่คือดอกเบี้ยสำหรับทุน) จะสิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายมากเกินไปในการเก็บ เช่น ภาษีสรรพสามิต หรือทำให้ผู้ผลิตท้อถอย เช่น ภาษีกำไร สมิธคัดค้านภาษีที่เปิดโอกาสให้มีการรุกล้ำความเป็นส่วนตัว สำหรับภาษีสรรพสามิตนั้น ท่านกล่าวว่า ทำให้ทุกครอบครัวอาจถูกเยี่ยมกรายและตรวจสอบอย่างน่ารังเกียจจากเจ้าพนักงานภาษี . . . ไม่สอดคล้องกับเสรีภาพเลย (V.3.75)
ภาษีที่แอดัม สมิธเสนอแนะให้เก็บมี 2 ชนิด คือ ภาษีสินค้าฟุ่มเฟือย และ ภาษีค่าเช่าที่ดิน (มูลค่าครอบครองที่ดินรายปี)
สำหรับสินค้าฟุ่มเฟือย แอดัม สมิธอธิบายคำว่า จำเป็น ว่าอาจเปลี่ยนไปได้แล้วแต่สถานที่และเวลา ซึ่งขณะนั้น เสื้อผ้าลินิน รองเท้าหนัง อาหารและที่อยู่อาศัยขั้นต่ำถือว่าเป็นสิ่งจำเป็น ท่านตำหนิรุนแรงว่าภาษีที่เก็บจากสินค้าจำพวกเกลือ สบู่ ฯลฯ เป็นการเอาจากคนที่ยากจนที่สุดโดยไม่เป็นธรรม ท่านถือว่าภาษีสินค้าฟุ่มเฟือย เช่นยาสูบ เป็นภาษีที่ดีเลิศ เพราะไม่มีใครถูกบังคับให้ต้องจ่าย ภาษีสินค้าฟุ่มเฟือยไม่มีแนวโน้มที่จะไปเพิ่มราคาโภคภัณฑ์อื่น ๆ เว้นแต่โภคภัณฑ์ที่ถูกเก็บภาษี
ภาษีสินค้าฟุ่มเฟือยนั้นในที่สุดผู้บริโภคสิ่งนั้นจะเป็นผู้จ่ายโดยไม่ใช่เป็นการลงโทษ (V.2.154)
ภาษีที่น่ายกย่องมากกว่าคือภาษีที่ดิน ทั้งค่าเช่าที่ดินที่ตั้งอาคาร (ground-rents) และค่าเช่าที่ดินเกษตร (ordinary rent of land) ต่างเป็นรายได้ชนิดที่ส่วนมากเจ้าของได้รับโดยตนเองมิต้องเอาใจใส่หรือสนใจ แม้จะแบ่งรายได้นี้ส่วนหนึ่งไปเป็นค่าใช้จ่ายของรัฐก็จะไม่เกิดการท้อถอยแก่อุตสาหกรรมใด ๆ ผลผลิตรายปีของที่ดินและแรงงานแห่งสังคม ซึ่งเป็นทรัพย์และรายได้จริงของประชาชนส่วนใหญ่ จะยังคงเดิมหลังจากมีการเก็บภาษีนี้ ดังนั้นค่าเช่าที่ดินที่ตั้งอาคารและค่าเช่าที่ดินเกษตรอาจเป็นรายได้ชนิดที่สามารถจะเก็บภาษีเป็นพิเศษได้ดีที่สุด (V.2.75)
ในภาคแรกแอดัม สมิธกล่าวไว้ว่า ดังนั้นค่าเช่าที่ดิน ซึ่งถือว่าเป็นราคาที่จ่ายสำหรับการใช้ที่ดิน จึงเป็นราคาแบบผูกขาดโดยธรรมชาติ มิใช่เป็นอัตราส่วนกับการซึ่งเจ้าที่ดินอาจลงทุนไปเพื่อปรับปรุงที่ดินแต่อย่างใดเลย หรือมิใช่ตามส่วนกับความสามารถที่เขาจะเรียกเอา แต่เป็นตามส่วนกับความสามารถของชาวนาที่จะให้" (I.11.5)
และในตอนสรุปของบทนี้ของภาคแรก แอดัม สมิธได้ตั้งข้อสังเกตว่า การทำให้สภาวการณ์ของสังคมดีขึ้นทุกอย่างมีแนวโน้มที่จะทำให้ค่าเช่าแท้จริงของที่ดินสูงขึ้นไม่ทางตรงก็ทางอ้อม จะเพิ่มความมั่งคั่งแท้จริงให้แก่เจ้าที่ดิน เพิ่มกำลังซื้อของเขาต่อแรงงาน หรือผลผลิตแห่งแรงงานของผู้อื่น (I.11.255)
การขยายสิ่งปรับปรุงและการเพาะปลูกมักจะทำให้ค่าเช่าที่ดินสูงขึ้นโดยตรง ส่วนแบ่งของเจ้าที่ดินในผลผลิตย่อมจะต้องเพิ่มขึ้นเมื่อผลผลิตเพิ่มขึ้น (I.11.256)
ภาษีที่สมิธคัดค้านรุนแรงที่สุดคือภาษีที่เก็บจากค่าแรงของผู้ใช้แรงงาน - ในทุกกรณี ภาษีทางตรงที่เก็บจากค่าแรง ในระยะยาวแล้วย่อมจะทำให้ทั้งค่าเช่าที่ดินลดลงมากกว่าและราคาสินค้าประดิษฐกรรมแพงขึ้นมากกว่าที่จะเป็นถ้ามีการประเมินเก็บภาษีส่วนหนึ่งจากค่าเช่าที่ดินและอีกส่วนหนึ่งจากสินค้าแทน (ภาษีจากค่าแรง) (V.2.132).
Create Date : 21 เมษายน 2551 | | |
Last Update : 28 เมษายน 2551 8:14:17 น. |
Counter : 722 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
ปัญหาเศรษฐกิจแทบทุกปัญหาจะมีปัญหาที่ดินรวมอยู่
หลายคนคงไม่เชื่อ!! ก็ต้องลองคิดดู ผมอยากจะบอกว่า โลกเราที่เดือดร้อนกันมาจนถึงบัดนี้ เป็นเพราะเราต้องเสียภาษีต่าง ๆ หลากหลาย เพราะรัฐ ต้องหาทางเพิ่มฐานภาษี เพื่อเฉลี่ยกันไปให้คนในทุกภาคส่วนเสียภาษีเท่าเทียมกัน เราก็เลยต้องเสียภาษีเงินได้ ทำให้รายได้เราต่ำลง ภาษีมูลค่าเพิ่มทำให้ข้าวของแพง (ดีที่ยังเก็บแค่ 7 % แต่ก็ยังจะเพิ่มเป็น 10 % ถ้าเศรษฐกิจดี) ซึ่งก็เหมือน ๆ กับภาษีสรรพสามิต ภาษีสินค้าเข้า และอื่น ๆ ภาษีพวกนี้คือการเก็บจากการลงแรงลงทุนผลิตและค้า ทำให้รายได้ของเราลด แต่รายจ่ายเพิ่ม ทั้ง ๆ ที่การลงแรงลงทุนดังนี้ก่อผลดีแก่ส่วนรวม
ไม่เห็นจะเกี่ยวกับที่ดินตรงไหน หลายคนอาจคิด นี่ละครับเรื่องสำคัญของทุกคน และความเป็นธรรม ความเดือดร้อนเป็นตายของผู้ยากไร้ ถ้าเราหันไปมุ่งเก็บภาษีจากที่ดิน ซึ่งรวมทั้งทรัพยากรธรรมชาติ และการทำความเสียหายแก่สิ่งแวดล้อม เราก็จะไม่ต้องเก็บภาษีจากการลงแรงลงทุนผลิตและค้า รายได้ของผู้ลงแรงลงทุนจะสูงขึ้น แต่ราคาข้าวของจะต่ำลง
เกี่ยวกับที่ดินแล้วครับ และเกี่ยวข้องด้วยทุกลมหายใจเข้าออก เพราะทุกคนต้องอาศัยมีที่อยู่ ไม่ที่ใดก็ที่หนึ่ง อากาศก็สำคัญ แต่อากาศก็คือทรัพยากรธรรมชาติ ซึ่งรวมอยู่ในคำว่า ที่ดิน เราจะหายใจเอาอากาศเข้าปอดได้ก็ต่อเมื่อเรามีที่อยู่ในโลกนี้ และค่าเช่าที่ดินก็คิดกันตามทำเล เนื้อที่ และเวลา ทุกลมหายใจเข้าออก ถ้าไม่มีที่ดิน ทุกคนตาย !
แล้วใครหน้าไหนสร้างแผ่นดินนี้ขึ้นมา ? จึงจะถือสิทธิ์ยึดเอาเป็นของตนตลอดกาล ถึงลูกหลานเหลนลื่อ ฯลฯ หรือสามารถยกหรือขายสิทธิ์ให้ใครก็ได้ตามความพอใจ กฎหมายของแทบทุกประเทศให้สิทธิ์นี้ไว้โดยไม่เป็นธรรม มิใช่เพราะมันเป็นระบบที่ดี แต่เพราะเหล่าผู้อยู่ในวงอำนาจปกครองพยายามรักษาผลประโยชน์เช่นเดียวกันนี้ของตนไว้
ราคา/ค่าเช่าที่ดินที่เพิ่มสูงขึ้นตามจำนวนประชากร พัฒนาการของชุมชน และเทคโนโลยีการผลิตนั้น มิใช่เพราะเจ้าของที่ดินทำอะไร แต่เป็นเพราะผู้คนเข้ามาอยู่รวมกันเพื่อความสะดวกปลอดภัยและประโยชน์ในการทำมาหากิน กิจกรรมของทุกคนที่ร่วมกันทำโดยวิธีแบ่งงานกันแบบเป็นไปเองโดยสมัครใจ และการบริหารบริการ การให้ความปลอดภัยจากโจรกรรมและอัคคีภัย การสาธารณูปโภค ไม่ว่าจะด้วยภาษีหรือเอกชนผู้ประกอบการที่หวังกำไร ต่างมีส่วนทำให้ที่ดินทั่วไปมีราคา/ค่าเช่าสูงขึ้น แต่เจ้าของที่ดินกลับเป็นฝ่ายได้ส่วนเพิ่มนี้ไปสบาย ๆ คนจนเสีย 2 ต่อ คือ เสียภาษี (ทางอ้อมเป็นอย่างน้อย) และเสียค่าเช่าสูงขึ้น ๆ
แล้วก็มีเรื่องซ้ำเติมที่ร้ายแรงตามติดกันมา คือการเก็งกำไร แสวงหา และกักตุนที่ดิน มิใช่เฉพาะเศรษฐี คนทั่วไปที่พอมีเงินขึ้นมาก็จะขอมีที่ดินไว้ก่อนเพื่อ ความมั่นคงในชีวิต ที่ดินในชาติจึงเสมือนมีน้อยลง ราคาแพงขึ้น ที่ดินทำกินหาได้ยากขึ้น และผลเป็นลูกโซ่ คนงานก็หางานได้ยาก ทีนี้นายทุนเงินกู้และนายทุนผู้ประกอบการก็ได้โอกาสขูดรีดโก่งดอกเบี้ย กดค่าแรง ทั้งยังมีผู้แสดงตนเป็นนายหน้าหางานและอื่น ๆ สุดแต่จะคิดกันได้มาหลอกลวงรีดเลือดกับปูกันอีก คนจนผู้มีแต่แรงงานพื้นฐานจึงกลายเป็น ผู้ถูกฉกชิงตลอดกาล คนรวยก็มิใช่จะพ้นเดือดร้อน เพราะอาชญากรรมต่าง ๆ ย่อมเพิ่มทวีขึ้น
เราเห็นกันหรือเปล่าว่าปัญหามันวนเวียนอยู่กับ ของแพง ค่าแรงต่ำ หางานยาก โดยไม่ทันคิดว่าปัญหาขั้นฐานรากคือที่ดิน
วิธีแก้คือค่อย ๆ เพิ่มภาษีที่ดินจนในที่สุดสัก 30 ปีก็เท่ากับค่าเช่าตามที่ควรจะเป็น ขณะเดียวกันก็ค่อย ๆ ลด/เลิกภาษีเงินได้ ภาษีมูลค่าเพิ่ม และภาษีอื่น ๆ ทั้งหลายที่เก็บจากการทำงานและการลงทุนผลิตและค้า
วิธีนี้จะทำให้การเก็งกำไรที่ดินหมดไป ที่ดินทำกินมีมากขึ้น ราคา/ค่าเช่าถูกลง แรงกดดันต่อการหางานในโรงงานจะลด เงินเดือนค่าจ้างก็สูงขึ้นเพราะไม่ถูกเก็บภาษีอีกด้วย สินค้าก็ราคาถูกเพราะไม่ถูกเก็บภาษีเหมือนกัน ซึ่งก็จะพลอยทำให้ความสามารถแข่งขันกับต่างประเทศสูงขึ้น
ระบบของเราจะเรียกว่าเสรีวิสาหกิจได้อย่างไร ถ้ายังมีภาษีจากการทำงานและการลงทุน และที่ดินยังถูกผูกขาดอยู่.
จากเว็บเศรษฐศาสตร์เพื่อความเป็นธรรม //geocities.com/utopiathai ถ้าเปิดดูเว็บนี้ไม่ได้เพราะพลอยถูกปิดกั้นตามเว็บใหญ่ geocities.com ก็ให้ google.com ช่วยหา free anonymous proxy server ซึ่งมีอยู่มากในต่างแดนมาช่วยเปิดให้ได้ง่าย ๆ ครับ
Create Date : 02 เมษายน 2551 | | |
Last Update : 16 เมษายน 2551 9:53:00 น. |
Counter : 583 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|