คืนกำไรให้ชีวิต เพื่อพิชิตไปในโลกกว้าง
space
space
space
<<
กรกฏาคม 2567
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
space
space
20 กรกฏาคม 2567
space
space
space

จุดจบของการเริ่มต้น
  จุดจบของการเริ่มต้น

"จุดจบของการเริ่มต้น"เป็นโจทย์ถนนสายนี้มีตะพาบ หลักกิโลเมตรที่ 356  ผู้ตั้งโจทย์ คือ คุณ กะว่าก๋า

คำอธิบายโจทย์ (แนวทางการเขียน)
การเริ่มต้นในสิ่งหนึ่งของคุณ มันจบลงได้อย่างไร ลองเล่าจุดจบของการเริ่มต้นนี้ ในรูปแบบของ
การเล่าเรื่องจริงหรือเขียนเป็นเรื่องแต่งก็ได้

     "จุดจบของการเริ่มต้น" ความหมายของหัวข้อโจทย์ตะพาบ ครั้งนี้  อ่านแล้วก็ไม่ใช่
เรื่องยากที่จะเขียน ค่ะ  เพราะว่า ในชีวิตคนเรา
ย่อมต้องมีการเริ่มต้นในสิ่งที่เราตั้งเป้าหมายไว้  และเมื่อมีการเริ่มต้นทำในสิ่งที่
เราต้องการ  สิ่งที่ตามมา ก็คือ ความหวังที่จะให้การเริ่มต้นนั้น
ประสบความสำเร็จ(ที่ น้องก๋าใช้คำว่า จุดจบ  ซึ่งครูว่า การใช้ คำว่า จุดจบ ดูมันมีความหมาย
ในด้านลบ ไงไม่รู้ นะ อิอิ น่าจะใช้คำว่า ความสำเร็จของ
การเริ่มต้นมากกว่า เป็นความเห็นส่วนตัว ค่ะ )  
           แต่ในความเป็นจริงของชีวิต  การเริ่มต้นแต่ละเรื่องใช่ว่าตอนจบของเรื่องที่เราเริ่มต้น
จะสำเร็จสมความปรารถนาของเราทุกเรื่อง
ก็หาไม่ บางเรื่องที่เราเริ่มต้น  สุดท้ายตอนจบก็สมปรารถนา  บางเรื่องก็ไม่สมปรารถนา
  อันเป็นเรื่องธรรมดาของสัตว์โลก ที่ว่า  "ในโลกนี้  ล้วนแต่อนิจังไม่เที่ยงแท้"  

จุดมุ่งหมายของผู้ตั้งโจทย์ ครั้งนี้  ต้องการให้ผูเขียนโจทย์นี้  เขียนในรูปแบบเล่าเรื่องจริง
หรือเล่าเป็นเรื่องแต่งก็ได้  ฉันก็ขอเล่าในรูปแบบแรก
คือเล่าเรื่องจริงที่เคยเกิดกับฉัน  เพราะการเล่าเรื่องจากประสงการณ์จริงของเราเอง 
จะเขียนได้ง่ายกว่า เนาะ 
          ชีวิตของฉัน ก็เป็นชีวิตธรรมดาคนหนึ่ง  วัยเด็ก ก็เรียกได้ว่า สุขสบาย พ่อแม่มีฐานะดี
พอสมควร  พ่อเป็นคนเก่ง คิดสูตรการทำน้ำหวาน  น้ำตาลกรวด
ขายดิบขายดี  จนตั้งเป็นโรงงานทำน้ำหวาน  ใส่ขวด ส่งขายทั่วกรุงเทพฯ  ส่งน้ำหวานเป็นปี๊บ
ส่งต่างจังหวัด  ช่วงชีวิตวัยเด็กของฉัน  ไม่ต้องดิ้นรนอะไร  สบาย ๆ 
ตามประสาเด็กที่พ่อแม่รัก  ตามใจ  จนกระทั่ง ฉันเรียนอยู่ ม.ศ. 2 ตอนเทอม 1 ฉันป่วย
ต้องออกจากโรงเรียนด้วยเหตุผลที่เคยเล่าไปแล้ว
ช่วงนั้น ชีวิตฉันไร้จุดหมาย  อยู่ไปวัน ๆ เที่ยวไปวัน ๆ  ความตั้งใจที่จะต้องเรียน
ให้ได้ปริญญาตรี เป็นอันหมดหวังแล้ว  
         แต่แล้วเหมือน พรหมได้ลิขิตให้ฉันได้สมหวังที่เคยตั้งใจไว้   ทำให้ฉันได้เจอเพื่อน
ในสมัยเรียนประถมด้วยกัน  ครอบครัวเขายากจน
  มีพี่น้องหลายคน  ดังนั้นเมื่อเขาเรียนจบ ประถม 4 แล้ว  ก็ไม่ได้เรียนต่อ ต้องออกมา
หางานทำช่วยเหลือครอบครัว  วันหนึ่งบังเอิญได้เจอเธอ



เพื่อน ง่วงเกียง คือคนนั่งทางซ้ายมือสุด ผมยาว เสื้อขาว  ที่เป็นคนจุดประกายให้ฉัน  ได้เขียน
จุดจบของการเริ่มต้น  เพราะได้เจอเพื่อนคนนี้ ค่ะ 
 
(เธอชื่อ ง่วงเกียง ) ถามไถ่ทุกข์สุขกัน  ได้ทราบว่า  เธอไปเป็นพนักงานขายตั๋วที่ โรงภาพยนตร์ 
ตอนเย็น ก็ไปเรียนลัด  นั่นคือ หลักสูตร ม.ศ.1-3 เรียนรวบจบภายใน 1 ปี
แล้วก็ไปสมัครสอบเทียบ วุฒิตามที่กระทรวงศึกษาประกาศรับสมัครสอบ จากการอธิบาย
ของเพื่อนง่วงเกียง  เป็นการจุดประกายความหวังที่จะ
เริ่มต้นความฝันที่จะตั้งความหวังเรียนจบให้ได้ปริญญาตรีให้ได้นี่เป็นการเริ่มต้นชีวิตใหม่ของฉัน
ในเรื่องของความตั้งใจเดิม  ฉันเริ่มขอแม่ไปเรียนภาคค่ำ
ตามที่เพื่อนง่วงเกียงบอก ไปสมัครเรียนที่ โรงเรียนอมาตยศึกษา บ้านหม้อแถวพาหุรัด
โดยแม่ให้ฉันสัญญาว่า จะส่งฉันเรียนจบ ม.ศ.3 เท่านั้น
  ฉันตอบตกลง  และเริ่มเดินทางไปที่โรงเรียนดังกล่าว  สมัครเป็นนักศึกษาภาคค่ำ เรียน
ตั้งแต่ 17.00-20.30 น. ในการไปเรียน 
ก็มีอุปสรรคบ้าง  คือ หาเพื่อนในวัยเดียวกันมีน้อย เพราะส่วนใหญ่  เป็นผู้ใหญ่  อายุมากกว่าเราทั้งสิ้น
  พวกเขาทำงาน  ตอนเลิกงานมาเรียน  ส่วนฉันกลางวันนอนเล่น
ช่วยงานบ้างตามอารมณ์พอใจ  ช่วงเทอมแรก ก็น่าเบื่อ เพราะฉันเรียนมาแล้ว เลยไม่มีความน่าสนใจนัก 
พอเทอมสองและสาม (มี 3 เทอม เทอมละ 150 บาท) ก็ค่อย
ดีขึ้น มีเรื่องใหม่ ๆ ที่ยังไม่เคยเรียน ความตั้งใจมีมากขึ้น แต่ก็ต้องปรับตัวมากพอควร 
ในที่สุด ก็ถึงเวลาไปสมัครสอบ  ฉันก็ไปสม้ครสอบ
ตามที่กระทรวงประกาศรับสมัครโห ! คนสมัครเยอะเชียว น่าจะ ประมาณ 4000-5000  คน
ทั่วประเทศ ขั้นตอนการรับสมัคร  ต้องช่วยเหลือตัวเอง  
        การสอบผ่านไป ฉันก็ไม่หวังว่าจะสอบผ่านมากนัก เพราะคนสอบมีมากมาย และสอบตาม
เปอร์เซ็นต์ คือ รวมแล้วต้องร้อยละ 50% จึงจะสอบผ่าน
  พอประกาศผลก็ไม่กล้าไปดู  กลัวผิดหวัง  เพื่อนที่เรียนด้วยกัน  เขาไปดูมาแล้ว 
โทรมาบอกว่า  ฉันสอบผ่านแต่เขาไม่ผ่าน  ฉันดีใจมาก
ที่การเริ่มต้นครั้งนี้  ส่งผลสำเร็จไปขั้นตอนหนึ่งแล้ว  ทำให้ต้องการเรียนต่อ ม.ปลาย แต่โชคร้าย
สมัยนั้น การต่อ ม.ปลาย ไม่ให้เอาวุฒิ ม.ต้น ที่สอบเทียบ
ไปสมัคร ต้องเป็นวุฒิเรียนตามปรกติ  (การศึกษาในยุคนั้น ใจแคบ นะ) ฉันเลยต้องเรียนลัดต่อไป
  อุปสรรคตอนนี้ ฉันต้องทำตามสัญญาที่รับปากแม่ไว้ คือ
ฉันต้องหางานทำและส่งตัวเองเรียน  (ฉันเป็นคนรักษาสัญญามาก พูดแล้วต้องทำ  ทั้ง ๆ ที่
ตอนนั้น บ้านฉันเป็นโรงงาน พ่อแม่ส่งเรียนได้แน่นอน ค่ะ
แต่ฉัน ไม่ต้องการผิดสัญญา  และฉันก็โชคดี ได้ไปสอนเด็ก ป.เตรียมขึ้นประถม 1 เงินเดือน
450 บาท สอนทุกวิชาแต่เขาจะรับฉัน ต้องสอนภาษาจีน
ชั้นประถมให้เขาด้วย วันละ 2 ชั่วโมง  ให้เงินเพิ่มอีก 250 บาท  (โห !เงินดีกว่าสอนภาษาไทยเยอะเลย อิอิ) 
รวมแล้ว ได้เดือน ละ 700 บาท ที่ยื่นข้อเสนอเช่นนี้ 
เพราะปีนั้น โรงเรียนมีเด็กอนุบาลล้น  ต้องเฉลี่ยออกมาอีก 1 ห้อง แต่เขาจ้างครูจีนอีก 1 คน
ไม่ไหว เพราะแพงกว่าจ้างครูภาษาไทย ค่ะ  ฉันบอกว่า
ฉันไม่แน่ใจว่าจะสอนได้ไหม  เพราะจบประถม 4 ภาษาจีนมาหลายปีแล้ว  เขาก็เอาหนังสือภาษาจีน
ชั้น ป.เตรียมมาอ่านให้เจ้าของโรงเรียนฟัง  เขาชื่อภาษาจีนของฉันให้เขาดู 
เจ้าของโรงเรียนโอเคเลยว่า  ใช้ได้  อ่านสำเนียง (จีนกลาง ชัดเจน)ลายมือสวย  รับเลย  ห้าห้า 
ตอนนี้ หาเงินเรียนได้แล้ว  ใช้วุฒิ ม.ศ.3 ที่สอบเทียบ  


ลูกศิษย์รุ่นแรกในชีวิตการเป็นครูของฉัน ค่ะ ป่านนี้  คงแก่ ๆ กัน  มีครอบครัวกันไปหมดแล้ว
น่ารักทุกคน ช่างพูด ช่างฟ้อง  เหนื่อยแต่มีความสุข ค่ะ 

         อุปสรรค มีให้เราสู้นะ  ตอนเลิกเรียน ฉันนั่งทำงาน  หาข้าวมื้อเย็นกินแถวโรงเรียน  โชคดี ที่โรงเรียนที่ฉันสอน 
คือ โรงเรียนเลิศศิลป์พิทยา  อยู่เชิงสะพานพุทธ แต่ต้องเดินเข้าซอย
ไปลึกพอสมควร  ตอนเย็น ฉันออกจากโรงเรียน  เดินข้ามสะพายพุทธมาเรียนภาคค่ำที่
โรงเรียนอำมาตยศึกษา  ก็สบาย ๆ (ยังเด็กไง เดินสบาย ๆ ) 
มาถึงโรงเรียน ก็ประมาณ 16.30 น. เหลือเวลาเข้าเรียน ครึ่งชั่วโมง สบาย ๆ ทบทวง บทเรียนไป
  ฉันเลือกเรียน แผนกวิทย์  หวังจะเข้าเรียน  คณะเภสัชกร  แต่อุปสรรค
ก็มีอีก เจอครูสอนตรีโกณ  ชื่อครูแสวง  (ฉันจำแม่นจนถึงทุกวันนี้ ) เป็นผู้พลิกผันชีวิตฉัน ต้องเปลี่ยนเข็ม
จากการเรียนสายวิทย์  มาเป็นสายศิลป์  เพราะรู้ว่า  ถ้าเจอ
ครูสอนที่สอนอย่างลัด  โดยไม่ยอมอธิบายเพิ่มเติม  ฉันต้องไปไม่รอด  สอบ มศ.5 ไม่ผ่านแน่  นับว่า
ฉันโชคดี  เลยเสียเวลาเรียนสายวิทย์ ไป 1 เทอม  เริ่มเรียนสายศิลป์ใหม่
และสอบผ่าน ม.ศ. 5 ลำดับที่ 642   ซึ่งปีนั้น ผู้เข้าสอบน่าจะประมาณเป็นหมื่นคนนะ สอบผ่านประมาณ
เกือบพันคน มั้ง  ฉันก็จำไม่ค่อยได้แล้ว  ที่จำได้ว่า ได้อันดับ 642 
เป็นแผ่นตรวจรายชื่อคนสอบได้  เป็นแผ่นรองสุดท้าย ฉันบันทึกไว้ในหนังสือที่ฉันเขียน  จึงจำได้ ค่ะ 
         การเริ่้มต้นในชีวิตทางการศึกษา ก้าวไปอีกขั้นหนึ่งแล้ว 
สิ่งที่ฉันต้องสู้ต่อไป ก็คือ การสอบสอบเอ็นทรานซ์  ฉันลงทุนไปเรียนพิเศษติวที่ ร.ร.สมถวิล
1เดือน หลายร้อยบาทอยู่  มีเงินเก็บตอนสอนหนังสือ
เรียนช่วงหลังเลิกสอน  ประมาณวันละ น่าจะ 3 ชั่วโมง  ครูสังคมที่ติว  ฉันจำเขาได้  เขาเตือนว่า
พวกที่เรียนลัดมา  ความรู้จะแน่นเหมือนนักเรียนที่เรียนตามปรกติไม่ได้แน่ 
เพราะฉะนั้น  อย่าเลิอกมหาวิทยาลัยและคณะที่คนอยากเข้ามาก ๆ และควรเลือกมหาวิทยาลัย
ที่อยู่ต่างจังหวัด เราอาจสู้เขาไม่ได้  ฉันตัดสินใจว่า  
ฉันจะมาทางสายครูโดยตรง  สมัยนั้น  สายครูที่ดัง ๆ คือ ว.ศ. ทั้ง 8 แห่ง  แห่งที่อยู่ กรุงเทพฯ มีประสานมิตร
  ปทุมวัน บางแค มั้ง  แต่ฉันเลือก ว.ศ.บางแสน ที่อยู่ จังหวัดชลบุรี
        ฉันสอบเสร็จถึงวันประกาศผล  ไปดูผล  ปรากฏ ว่า สอบไม่ได้ ค่ะ เสียใจมาก ร้องไห้อยู่หลายวัน
แม่ดีใจ ที่ฉันสอบไม่ได้  เพื่อนหลาย ๆ คน โทรมาถามว่า สอบติดที่ไหน
  ฉันจุกเลยเพราะทุกคนเชื่อมั่นว่าฉันต้องสอบได้แน่นอน  (เพื่อน ๆ ที่สนิท เขาว่าฉันเรียนเก่ง อิอิ )
ยิ่งเสียใจที่ทำให้เพื่อน ๆ ผิดหวัง  บอกว่าฉันล้อเล่นหรือเปล่า 
 ฉันรู้สึกจุกมากยิ่งขึ้นแต่ความจริงก็คือความจริง  จุดจบของการเริ่มต้น  จะเป็นเช่นนี้แล้วหรือ 
เฮ้อ ! เสียใจ หงอยเหงา อารมณ์ไม่ดีอยู่ 3-4 วันในการรับโทรศัพท์
จากเพื่อนและไม่อยากจะรับโทรศัพท์เลย   จนถึงสาย ๆ ของวันที่ 4 หลังจากการประกาศผล 
พ่อมาตามไปรับโทรศัพท์  ฉันลุกขึ้นไปรับกรอกเสียงห้วน ๆ ว่า
มีเรื่องอะไรอีก ล่ะ (นึกว่าเพื่อน)  เสียงจากโทรศัพท์บอกมาว่า  "คุณติด ว.ศ. 4 หญิง ครับ 
พรุ่งนี้เชิญไปรายงานตัว"  ฉันช็อคไปพักหนึ่ง  ถามไปว่า 
"แต่ดิฉันไปดูประกาศมาแล้ว ว่า ดิฉันสอบไม่ติดสักคณะเลยนะคะ "ทางผู้โทร หัวเราะน้อย ๆ ตอบมาว่า 
คุณติดสำรองครับ เขาไม่ได้ประกาศ ตอนนี้ มีคนสละสิทธิ์ ครับ 
พรุ่งนี้ มาสอบสัมภาษณ์ที่ ตึก......(รายละเอียดจำไม่ได้แล้ว) ฉันดีใจจนเนื้อเต้น   บอกพ่อ  พ่อก็ดีใจ
แม่โกรธ หาว่าฉันไม่ห่วงพ่อเลย  (ตอนนั้น พ่อไม่ค่อยสบาย 
โรงงานน้ำหวานก็ปิดไปแล้ว  เพราะไม่มีใครรับช่วงต่อ  พวกข้าราชการก็มาไถเงินจะให้ย้าย
ไปนอกเมือง )  พ่อบอกแม่ว่า  ในเมื่อฉันสอบได้แล้ว  ต้องให้เรียน 
เงินที่เซ้งบ้านเก่าไป ซื้อบ้านใหม่ที่อยู่ปัจจุบันนี้ ก็ยังเหลือเงินอีกหลายแสน  ประหยัด ๆ 
ก็สามารถส่งให้ฉันเรียนจบได้อยู่แล้ว   ฉันซาบซึ้งในความรักของพ่อมาก
  น่าเสียดาย  ท่านไม่มีโอกาสได้อยู่จนถึงเห็นความสำเร็จของฉัน  ฉันยังไม่ได้ตอบแทน
บุญคุณของพ่อเลยคงต้องเป็นชาติหน้า นั่นแหละนะ 

  อุปสรรค 4 ปี ในวิทยาลัยวิชาการศึกษา  มีทั้งสุขและทุกข์ปะปนกันไป (ดังที่ฉันได้เล่าเล็ก ๆ น้อย ๆ
ในบล็อกก่อนไปแล้ว)  ฉันก็ต้องอดทน  แม่ให้ค่าใช้จ่าย เดือนละ 100 บาท
เป็นค่าใช้จ่ายส่วนตัว  เพราะค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ทาง ว.ศ. เก็บไปเป็นเทอม ๆ ไปแล้ว  
      ในที่สุด  จุดจบของการเริ่มต้นของฉัน  ก็สมปรารถนาตามที่ฉันได้ตั้งใจไว้ ค่ะ 
     
 ตะพาบ ครั้งนี้  ก็เล่าเรื่องตัวเอง ยาวไปหน่อย แต่ก็เป็นประสบการณ์ที่เกิดกับตัวฉันเอง ใช้เป็นข้อคิดได้บ้าง
พอสมควร  ว่า การเริ่มต้น จำเป็นต้องมี  ถึงแม้ว่า การเริ่มต้นนั้น
จะเต็มไปด้วยความยากลำบาก อุปสรรคมากมาย  เราจึงต้องอาศัยความอดทนให้ถึงที่สุด แต่ถ้าเราได้ทำเต็มที่แล้ว
  การเริ่มต้นนั้น จะมีจุดจบที่ไม่สมปรารถนาตามที่เราต้องการ
เราก็จะไม่เสียใจ  เพราะเราได้ทำเต็มที่  อดทนเต็มที่แล้ว  ก็ต้องปล่อยวาง  ยอมรับจุดจบ
ของการเริ่มต้นเรื่องนั้น ๆ ค่ะ   สวัสดี ค่ะ 




   


 



Create Date : 20 กรกฎาคม 2567
Last Update : 20 กรกฎาคม 2567 22:13:45 น. 25 comments
Counter : 444 Pageviews.
(โหวต blog นี้) 

ผู้โหวตบล็อกนี้...
คุณกะว่าก๋า, คุณปัญญา Dh, คุณหอมกร, คุณtoor36, คุณkae+aoe, คุณmultiple, คุณดอยสะเก็ด, คุณสายหมอกและก้อนเมฆ, คุณจันทราน็อคเทิร์น, คุณสองแผ่นดิน, คุณชีริว, คุณThe Kop Civil


 
อรุณสวัสดิ์ครับอาจารย์

เมื่อคืนสามทุ่มกว่าๆผมก็ปิดคอมเตรียมตัวนอนเลยครับ
เดี๋ยวนี้ผมนอนเช้าและตื่นเช้ามากขึ้น
อย่างวันนี้ตี 4 ครึ่งก็ตื่นแล้วครับ 555

โจทย์นี้ผมส่งให้น้องต่อนานแล้วครับ
นานจนผมลืมไปแล้วว่าตอนส่งโจทย์ให้นั้น
ผมคิดอะไรอยู่ ไม่แน่ใจว่าเป็นช่วงเปลี่ยนผ่านรัฐบาลรึเปล่า
ผมเลยใช้คำว่า "จุดจบ" และ "การเริ่มต้น" นี่ล่ะครับ

อาจารย์เป็นคนเด็ดเดี่ยวมากๆเลยครับ
เวลาคิดทำอะไรจึงตั้งใจและทุ่มเทมากๆ

เงินเดือนที่อาจารย์ได้รับในสมัยนั้น
นับว่าเป็นเงินเดือนที่สูงมากเลยนะครับ
ถ้าเทียบกับค่าทองในยุคนั้น

ผมชอบภาพเด็กนักเรียนของอาจารย์ครับ
ตอนนี้คงจะมีอายุกันพอสมควร
ถ้าจะมีใครบังเอิญได้เห็นและจำตัวเองได้จากภาพนี้
น่าจะเป็นเรื่องที่น่ายินดีมากๆเลย

คุณพ่อของอาจารย์ท่านน่ารักมากๆครับ
สนับสนุนลูกสาวให้เรียนหนังสือ
ซึ่งพ่อแม่ส่วนใหญ่ในยุคนั้น
น่าจะอยากให้ลูกสาวออกมาทำงานมากกว่า
อ่านแล้วนึกถึงแม่ผมด้วยครับ
ความจริงแม่ผมชอบเรียนรู้ ชอบศึกษามากๆ
แต่ครอบครัวไม่สนับสนุน แม่ผมเลยเรียนถึงแค่ ป.4 เท่านั้นครับ




โดย: กะว่าก๋า วันที่: 21 กรกฎาคม 2567 เวลา:5:01:40 น.  

 
สวัสดีครับอาจารย์

อาจารย์มีความเพียรพยายาม สู้ชีวิตครับ
ทำให้ประสบความสำเร็จในการทำงานครับ


โดย: ปัญญา Dh วันที่: 21 กรกฎาคม 2567 เวลา:9:57:40 น.  

 
ผมแอบอิจฉาเพื่อนนิดๆ
เพราะเพื่อนเป็นข้าราขการ เป็นอาจารย์สอนในวิทยาลัยเทคนิค
จริงๆผมไปสมัครก่อนเพื่อน ทางวิทยาลัยก็รับแล้ว
แต่บังเอิญพ่อผมเรียกตัวกลับมาช่วยงานที่ร้าน
เพื่อนก็เลยไปสมัครต่อและได้ทำงานที่นี่อย่างยาวนาน
ตอนนี้เพื่อนผมก้าวหน้าตามลำดับ
เป็นหัวหน้าคณะไปแล้ว 555
เป็นเพื่อนรุ่นพี่ที่สนิทกันมากๆเลยครับ

อาจารย์ผ่านปัญหามาได้เพราะมีเพื่อนดี มีลูกศิษย์ดี
แม้กระทั่งตอนนี้ลูกศิษย์ก็ยังแวะมาหา พาไปเที่ยว ไปทำกิจกรรมต่างๆมากมาย
น่าชื่นใจกับอาจารย์มากๆเลยครับ



โดย: กะว่าก๋า วันที่: 21 กรกฎาคม 2567 เวลา:15:21:16 น.  

 
ปล. ผมนึกขึ้นได้ว่าอาจารย์บอกว่าเพลงที่ผมลงไว้มีเสียงที่เบามาก
อาจารย์ลองเช็คดูในปุ่มลำโพงของคอมหรือเปล่าครับ
ว่าได้เปิดดังสุดแล้วหรือยัง
คอมส่วนใหญ่จะตั้งค่าไว้ที่ 50 ครับ
ถ้าไม่ได้ตั้งค่าไว้เสียงในยูทูป หรือ เวลาฟังเพลงก็จะเบาน่ะครับ
เพราะผมเช็คในเครื่องคอมของผมเสียงดังเป็นปกติเลยครับ



โดย: กะว่าก๋า วันที่: 21 กรกฎาคม 2567 เวลา:19:32:11 น.  

 
หวัดดีค่ะอาจารย์



โดย: หอมกร วันที่: 21 กรกฎาคม 2567 เวลา:20:40:47 น.  

 
พ่อแม่ในยุคนั้นไม่ค่อยให้ลูกสาวเรียนเท่าไหร่ น่าจะอารมณ์ว่าเดี๋ยวก็แต่งออกไปแล้วมั้ง

บางทีมันไม่ใช่ความผิดเราแต่รู้สึกเหมือนมองหน้าไม่ติดเหมือนกันนะครับ เพื่อนไม่ได้ เราได้ เคยเจอเรื่องลักษณะแบบนี้เหมือนกัน ถึงเพื่อนมันจะบอกไม่ต้องคิดมากก็เถอะ


โดย: คุณต่อ (toor36 ) วันที่: 21 กรกฎาคม 2567 เวลา:21:49:53 น.  

 
อรุณสวัสดิ์ครับอาจารย์



โดย: กะว่าก๋า วันที่: 22 กรกฎาคม 2567 เวลา:5:29:10 น.  

 
ขอบคุณสำหรับคะแนนโหวตครับอาจารย์

ชีวิตเป็นของเรา
เราจึงควรมีเจตจำนงสรีในการเลือกและตัดสินใจ
สิ่งต่างๆที่เกี่ยวข้องกับตัวเราจริงๆครับ

ผมไม่แน่ใจเรื่องเสียงเบา-ดังในคอมครับ
แต่ตอนที่อัดคลิปนั้นก็ตั้งค่าเป็นปกติ
แต่ไม่ได้รับแจ้งจากเพื่อนในเฟซหรือในบล็อกว่าเสียงเบาเลย
ก็เลยลองสอบถามอาจารย์ดูครับ



โดย: กะว่าก๋า วันที่: 22 กรกฎาคม 2567 เวลา:11:54:12 น.  

 
เพื่อนอาจารย์ ง่วงเกียง อาจารย์เต๊ะ ชื่อจีน ง่วงทั้งวัน ครับ แฮร่ 555

ดูรูปแล้ว สมัยวัยรุ่นนี่ ท่าทางอาจารย์สุจะชอบปาร์ตี้นะครับ แต่งตัวเปรี้ยวไม่เบา อิอิ

เพื่อน สมัย ปสี่ นี่ อาจารย์เต๊ะ จำใครไม่ได้ซักกะคนเลยครับ
สมัยนั้นแต่งตัวหรูมาก ผู้ชายใส่สูทผูกไทด์กัน
อาจารย์เต๊ะ พึ่งจะมีสูท กะเค้าตอนทำงานนี่เองครับ

ส่วนเรื่องความขยัน นี่ต้องยกให้อาจารย์เลยนะครับ
ไปเป็นครูสอนหนังสือหารายได้เสริม ได้เงินเดือนตั้ง เจ็ดร้อย
ถ้าจำไม่ผิด สมัยนั้นทอง บาทละ แปดร้อย เองนะครับ
ถือว่ามีรายได้ดีทีเดียวเชียวนะครับนี่

ส่วนคนที่สอบเทียบมานี่ อาจารย์เต๊ะ ว่าเก่งมากเลยนะครับ
สมัยนั้น เอนทรานซ์นี่ อาจารย์เต๊ะ ยังทัน
แถมเอน ตั้ง สองรอบ รอบแรกติด ครุศิลป์จุฬา แต่ใจไม่อยากเป็นครู
เลยเอนใหม่ ติด ถาปัด แต่สุดท้าย หนีไม่พ้น ก็ต้องมาเป็นครูอยู่ดี
สอนเรื่อยมา จนหนวดหงอกเลยละครับ 555

ของอาจารย์สุ โชคดีมากๆเลยนะครับ
เอนไม่ติดนี่ สมัยนั้นเรื่องใหญ่เลย แต่โชคดีมีคนสละสิทธิ์นะครับ
เป็นอาจารย์เต๊ะ นี่ ต้องไปรำแก้บนเลยเชียว 555

ส่วนเรื่องค่าเล่าเรียนนี่ ต้องขอบคุณ พ่อแม่เรานะครับ
ยากดีมีจน ยังไงก็พยายามส่งเสียให้ลูกได้เรียนจบ
สมัยเป็น นศ นี่ อาจารย์เต๊ะ หุ่นดีมากเลยครับ
เพราะ ไม่ค่อยมีสตางค์กินข้าวกับเค้า 555

พอได้ทำงานมีเงินเดือนเอง เลยกินซะพุงกลมเลยเชียวครับ 555
อาจารย์สุสบายดีนะครับ รักษาสุขภาพนะครับ





โดย: multiple วันที่: 22 กรกฎาคม 2567 เวลา:14:00:22 น.  

 
อรุณสวัสดิ์ครับอาจารย์



โดย: กะว่าก๋า วันที่: 23 กรกฎาคม 2567 เวลา:4:55:26 น.  

 
ขอบคุณสำหรับคะแนนโหวตครับอาจารย์

ถ้าเราดับทุกข์ที่ต้นเหตุได้
ก็นับว่าเป็นเรื่องที่ดีเลยนะครับ
แต่ถ้าดับได้แค่ปลายเหตุ
ไม่ช้าไม่นานก็ต้องกลับมาทุกข์อีกอย่างแน่นอนครับ



โดย: กะว่าก๋า วันที่: 23 กรกฎาคม 2567 เวลา:22:13:56 น.  

 
การเริ่มต้นของจุดจบเขียนง่าย แต่ผมว่าจุดจบของการเริ่มต้นเขียนยากนะ
ชีวิตคนถ้ามันตัดจบแฮปปี้เอนดิ้งได้แบบนิทานก็ดีนะครับ
แต่มันต้องจบด้วยการลาจากด้วยความตายแน่นอนอยู่แล้ว คำว่าจุดจบมันเลยไม่ดีเท่าไหร่

จำได้ว่าพ่ออาจารย์ทำโรงน้ำหวาน นึกถึงบรรยากาศโรงงานเมื่อสัก 60-70 ปีที่แล้วเลยครับ
ภาพเก่าปี พ.ศ.2512 ถึงจะเป็นขาวดำแต่ยังคมชัดอยู่เลยครับ รักษารูปดีจริงๆ
ฟังอาจารย์เล่าเรื่องเข้าเรียนสมัยก่อน กว่าจะเข้าได้แต่ละที่ยากแล้วยากอีก
ไม่เหมือนเดี๋ยวนี้ เรียนๆไปมันก็ไปได้เรื่อยๆนะครับ
เอ็นทรี่นี้ได้รู้ประสบการณ์การเรียนการสอบของอาจารย์ละเอียดขึ้นไปอีก
อาจารย์ขยันนะครับ เรียนไปด้วยสอนหนังสือไปด้วย
เพิ่งรู้ว่าสมัยนั้นมีสอนพิเศษเด็กเตรียมึ้นประถม 1 กันแล้ว
เรียนหนักกันตั้งแต่เด็กตั้งแต่ยุคนั้นเลยนะครับ
ไม่รู้ว่าเงิน 700 บาทเทียบค่าเงินยุคนี้แล้วประมาณเท่าไหร่นะครับ

ลูกศิษย์รุ่นแรกของอาจารย์ ป่านนี้คงอายุสัก 60 แล้วครับ
สอบ ม.ศ.5 หมื่นคน ได้อันดับ 6 ร้อยกว่าคือเก่งเลยครับ
เอ็นทรานซ์คือด่านสุดหินของเด็กวัยเรียนเลย ราวกับสอบได้แล้วชีวิตมาถึงเส้นชัย
แต่พอผ่านมาแล้วรู้สึกว่าต้องไปต่ออีกเยอะเลยครับ
ดีนะ อาจารย์มีทั้งสมหวังผิดหวัง ได้ประสบการณ์ครบถ้วน
ผิดหวังได้แป๊บนึงก็พลิกล็อค มีคนสละสิทธิ์ให้อีก
ฟ้าดินบันดาลให้ไปต่อได้แบบไม่หยุดยั้ง


โดย: ชีริว วันที่: 23 กรกฎาคม 2567 เวลา:22:43:59 น.  

 
อรุณสวัสดิ์ครับอาจารย์



โดย: กะว่าก๋า วันที่: 24 กรกฎาคม 2567 เวลา:5:18:37 น.  

 
สวัสดีครับอาจารย์
ผมอ่านจนจบ ขอชื่นชมในความเพียรพยายาม ความขยันขันแข็งอาจารย์เลยครับ สุดยอดมาก ๆ สัมผัสได้ถึงบรรยากาศการประกาศผลสอบเอนทรานซ์สมัยโน้นเลยครับ รุ่นผมใช้เทียนกับไฟฉายไปส่องหาชื่อครับ มีส่งจดหมายมาที่บ้านด้วยครับ
เงินทุกบาทกว่าจะหามาได้ ยิ่่งหามาได้ด้วยตัวเอง ผมว่าเป็นอะไรที่เท่ห์มาก ๆ ครับ
ผมก็เคยไปสอบเทียบเหมือนกันครับอาจารย์ สอบเทียบจบ ม.6 เพื่อน ๆ เอ็นท์ติดตั้งแต่ ม.4 ม.5 ไปกันเกือบครึ่งห้องเลย แต่ผมไม่ติดนะครับ เลือกคณะสูงเกินไปครับ 555


โดย: The Kop Civil วันที่: 24 กรกฎาคม 2567 เวลา:10:34:06 น.  

 
ขอบคุณสำหรับคะแนนโหวตครับอาจารย์

ความทรงจำที่เจ็บปวด
ลบยาก ลืมยากจริงๆครับ
ผมว่ามันติดตรึงในใจ
ไม่เหมือนความสุขที่อาจลืมได้เร็วกว่า
มีความสุขอันใหม่ก็ลืมความสุขอันเก่าได้ง่าย
แต่ทุกข์นี่ ถ้าเป็นทุกข์หนักๆ
ลืมยากจริงๆครับ



โดย: กะว่าก๋า วันที่: 24 กรกฎาคม 2567 เวลา:20:00:45 น.  

 
เดี๋ยวผมกลับมานะครับอาจารย์ วันนี้ปวดหัว ปวดตาไปหมดครับ
ไม่รู้ขาดกาแฟ ไมเกรน หรือสายตาครับ


โดย: จันทราน็อคเทิร์น วันที่: 24 กรกฎาคม 2567 เวลา:22:10:02 น.  

 
อรุณสวัสดิ์ครับอาจารย์



โดย: กะว่าก๋า วันที่: 25 กรกฎาคม 2567 เวลา:5:10:17 น.  

 
ขอบคุณสำหรับคะแนนโหวตครับอาจารย์

ทุกสิ่งอยู่กับเราได้เพียงชั่วคราว
.
.
ถ้าเราพิจารณาคำนี้ให้ดี
จะพบว่าเป็นคำที่ดีและมีความหมายมากๆเลยครับอาจารย์
ผมว่าเป็นประโยคที่ลดทอนความโลภ ความหวงแหนยึดติดได้ดีมากๆครคับ



โดย: กะว่าก๋า วันที่: 25 กรกฎาคม 2567 เวลา:11:30:43 น.  

 
สวัสดีครับอาจารย์

ผมได้ยินจากคุณพ่อมาเหมือนกันครับว่าเมือก่อนมีเรียนภาคคำด้วย
คงเหมือน ป.โท ที่ผมเรียนมา ปกติเรียนเสาร์อาทิตย์ แต่บางทีก็นัดเสริมเย็นวันธรรมดา
ก็เรียน 18.00-21.00 แต่ 2 ทุ่มก็ไม่เจอผมแล้วครับ 555555

ขนาดสมัยก่อนคนสมัครสอบมากถึง 4-5 พันคนเลยหรอครับ เดี๋ยวนี้ต้องเป็นหมื่นแน่ๆ
ถึงว่า เค้าถึงบอกว่า การบรรจุครูนี่ยากมาก ๆ เก่งแล้วต้องโชคดีด้วย บางคนเป็นครูที่เก่งน่ารัก แต่ก็ยังเป็นลูกจ้างราชการอยู่ ผมรูเลยครับว่าไม่ใช่ครูท่านไม่เก่ง แต่บางทีโอกาสมันยังไม่มาจริงๆ

ตอนนี้หลานผมเริ่มเรียนจีน ต้องขอเอาศัพทย์มาปรึกษาอาจารย์แล้วครับ อิอิ

ชอบเรื่องการสอบ ม.ศ. 5 และเอ็นทรานซ์ของอาจารย์ครับ ตื่นเต้นมาก การเปิดดูรายชื่อทีละแผ่นคงตื่นเต้นมากจริงๆ
การที่รู้ว่าติดสำรองแล้วไปรายงานตัว ในตอนที่คิดว่าไม่ได้แล้วเซ็งไปแล้ว ดีใจที่คุณพ่อเข้าใจครับ


โดย: จันทราน็อคเทิร์น วันที่: 25 กรกฎาคม 2567 เวลา:16:31:46 น.  

 
จากบล๊อก

555555 ขอบคุณครับอาจารย์เรื่องคำผิด ผมก็ผีเข้าผีออก ถูกบ้างผิดบ้าง 555555 พยายามครับ

งานชอบ นายดี ถือว่าโชคดีเลยครับ
ผมมีความสุขกับงานมาก ถึงแม้จะดีบ้างร้ายบ้างก็ตามครับ


โดย: จันทราน็อคเทิร์น วันที่: 25 กรกฎาคม 2567 เวลา:17:24:07 น.  

 
มาชวนอาจารย์ไปทบทวนภาษาจีนครับ


โดย: คุณต่อ (toor36 ) วันที่: 25 กรกฎาคม 2567 เวลา:22:46:32 น.  

 
อรุณสวัสดิ์ครับอาจารย์



โดย: กะว่าก๋า วันที่: 26 กรกฎาคม 2567 เวลา:5:23:42 น.  

 
ขอบคุณสำหรับคะแนนโหวตครับอาจารย์


ผมไม่แน่ใจครับว่าเขียนบล็อกนี้จากข่าว
หรือจากเรื่องราวของเพื่อน
เพราะเขียนไว้นานหลายปีแล้ว

วิธีคิดของอาจารย์ดีมากๆเลยครับ
ใช้ธรรมะจัดการปัญหาที่เกิดขึ้น
ย่อมเป็นการใช้สติปัญญาในการรับมือกับความทุกข์ที่ดีมากจริงๆครับ

เชียงใหม่มีข่าวว่าจะมาพายุ 24-25 แต่ก็ไม่มีฝนครับ



โดย: กะว่าก๋า วันที่: 26 กรกฎาคม 2567 เวลา:15:15:56 น.  

 
ใช่ๆ อาจารย์ไปอินเดียช่วงที่ผมเที่ยวจีนเลยครับ
และซีอานกลายเป็นหนึ่งในเมืองที่อยากไปที่สุดของจีนเพราะอ่านบล็อกอาจารย์ และพี่ที่ทำงานเคยไปแล้วมาเล่าให้ฟัง
กว่าจะได้ไปก็อีกหลายปีให้หลังเลยครับ คุ้มค่าจริงๆ ได้ทัวร์ดีด้วย
อาจารย์จำราคาค่าใช้จ่ายต่างๆ ได้แม่นมาก สมัยนี้ทัวร์ซีอานสองหมื่นปลายๆ ก็ยังมีอยู่นะครับ แต่คิดว่าอาหารกับโรงแรมคงดรอปลงไปกว่านี้เยอะ
คานาสือ มีหลายคนในทริปเดียวกับผมอยากไปเหมือนกัน บางคนจองโปรแกรมถัดไปกับไกด์เรียบร้อยเลยครับ ติดใจบริการ ♥


โดย: ชีริว วันที่: 26 กรกฎาคม 2567 เวลา:22:46:04 น.  

 
อรุณสวัสดิ์ครับอาจารย์



โดย: กะว่าก๋า วันที่: 27 กรกฎาคม 2567 เวลา:5:39:36 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 
space

อาจารย์สุวิมล
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 46 คน [?]




เป็นครูสอนภาษาไทยที่เกษียณอายุราชการแล้ว สนใจเรื่องการเขียนหนังสือให้ความรู้ ชอบการท่องเที่ยว หากท่านที่เข้ามาชมและอ่านแล้ว มีความสนใจและต้องการสอบถามเรื่องความรู้ด้านภาษาไทย ถ้ามีความสามารถจะให้ความรู้ได้ ก็ยินดีค่ะ

http://i697.photobucket.com/albums/vv337/dd6728/color_line17.gif
space
space
space
space
[Add อาจารย์สุวิมล's blog to your web]
space
space
space
space
space