อย่างนี้ คือ ปล่อยวางได้แล้วใช่ใหม
มีคำถามเข้ามา ผมอ่านแล้วเห็นว่าเป็นคำถามที่น่าสนใจ จึงนำมาแสดงไว้ใน blog นี้ ขอบคุณท่านที่ถามมาด้วยครับ
คำถามที่ถามมา ผมสรุปออกได้เป็น 3 ข้อดังนี้ครับ
1..การภาวนาเพื่อการหลุดพ้น จำเป็นต้องตัดทิ้งทางโลกใช่หรือไม่
2..ปกติเป็นคนร่าเริง แจ่มใส พอมาปฏิบัติด้วยการรู้สึกตัว ก็รู้สึกกลายเป็นคนเฉยๆ ไป คือเมื่อมีเรื่องดีใจก็จะแค่รู้สึกดีแล้วก็ปล่อยมันผ่านไป ว่างๆนิ่งๆไม่คิดอะไร รู้สึกสงบดี อย่างนี้ คือ ปล่อยวางได้แล้วใช่ใหม
3..รู้สึกว่า ความสุขแบบเก่า ๆ ที่เย้ายวนใจจะพยายามดีงให้กลับไปอีก แต่ก็มาคิดว่า ตอนนี้ก็ดีแล้ว ไม่สุขไม่ทุกข์ จะกลับไปแบบเก่าทำไมอีก อย่างนี้ถูกต้องใหม
******** มาดูความเห็นของผมในคำถามเหล่านี้กัน
คำถามที่เข้ามาเป็นเรื่องละเอียดอ่อนมาก ไม่สามารถจะตอบว่า ใช่ หรือ ไม่ใช่ เพียงแค่นี้ เพราะจะทำให้เข้าใจผิดไปได้ ซี่งเมื่อเข้าใจผิด การเดินทางเพื่อให้เข้าถึงองค์มรรค เพื่อการหลุดพ้น จะเดินผิดทางได้ทันที
ก่อนอื่น ต้องมาให้คำจำกัดความเรื่องคำว่า เรื่องทางโลก เสียก่อนว่าหมายความว่าอย่างไร
เรื่องทางโลกนั้น ถ้าจำแบ่งกัน ก็พอจะออกมาได้ว่า
A..การมีครอบครัว มีสามี มีภรรยา มีบุตร ที่ต้องรับผิดชอบ B..มีภาระหน้าที่ในทางการงานทางโลก ต้องออกไปทำงานเพื่อหาเงินเลี้ยงชีพ C..ต้องมีหน้าที่ทำงานบ้าน ซักผ้า กวาดบ้าน ทำกับข้าว ล้างจานชาม ถูบ้าน รดน้ำต้นไม้ และงานบ้านอื่นๆ D..การเที่ยวเตร่สนุกสนาม ไปดูหนัง ไปเที่ยวต่างจัวหวัด สนุกเฮฮากับเพื่อน ๆ แต่ไม่ได้ทำอะไรเป็นทีเสื่อมเสีย
( อาจจะมีอย่างอื่นอีกก็ได่ )
ต่อไป ก็ต้องมาดูทางเดินแห่งการหลุดพ้นกันก่อน ทางเดินแห่งการหลุดพ้น ผมจะแบ่งเป็น 4 ระดับ
ระดับที่ 1...คนทั่วๆ ไป ทียังไม่มีกำลังจิตพอ และ ไม่สามารถเห็นจิตปรุงแต่งได้ ระดับที่ 2...นักภาวนาทีฝีกฝน จนเห็นจิตปรุงแต่งได้บ้างแล้ว ระดับที่ 3...นักภาวนาทีฝีกฝน จนเห็นจิตปรุงแต่งได้เป็นอย่างชำนาญ และ เห็นจิตผู้รู้ได้ด้วย ระดับที่ 4...นักภาวนาทีฝีกฝนจนขำนาญ ที่ได้กำลังจิตสูงกว่า ระดับที่ 3 ขึ้นไป
ทีนี้มาถึงคำถามกัน
1..การภาวนาเพื่อการหลุดพ้น จำเป็นต้องตัดทิ้งทางโลกใช่หรือไม่
ตอบ..การภาวนานั้น ทีจำเป็นคือต้องอยู่ในระดับที่พอเหมาะพอควรในเรื่องต่างๆ จึงจะไปได้ดีในการหลุดพ้น สำหรับเรื่องทางโลกที่เขียนไว้ข้างบน คือ ข้อ A B C นั้นเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับฆราวาส แต่ถ้ามีปัญหามากเกินไป ก็จะเป็นการขัดขวางความรวดเร็วในการหลุดพ้น เพราะต้องมามัวแก้ไขปัญหาเหล่านี้ แต่ถ้าไม่มีเสียเลย ก็ไม่ดีอีกในการภาวนา เพราะ ความก้าวหน้าในการภาวนานั้น เช่นในระดับที่ 2 (ทีเขียนไว้ข้างบน) จำเป็นต้องมีเรื่องมากระทบแล้วให้จิตปรุงแต่งทำงานก่อน เพราะถ้าจิตปรุงแต่งไม่ทำงานก่อน ก็จะไม่สามารถเห็นขบวนการเกิดดับที่เป็นไตรลักษณ์ของจิตปรุงแต่งได้ เมื่อไม่เห็นไตรลักษณ์ ความก้าวหน้าในการภาวนาก็จะไม่มีเช่นกัน
ความพอเหมาะพอควรในการภาวนานั้น นักภาวนาจำเป็นต้องมีเวลาฝีกฝนอยู่เสมอ ถ้าไม่มีเวลาก็ให้ฝีกฝนในชีวิตประจำวัน ถ้ามีเวลาก็ฝีกฝนในรูปแบบเพิ่มอีก เมื่อฝีกฝนอยู่เสมอ ฝีกบ่อยๆ จะเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพของจิตให้มีกำลังตั้งมั่น แล้วเมื่อเกิดปัญหาทางโลก จิตปรุงแต่งจะเกิดขึ้น แล้วความตั้งมั่นแห่งจิตทีได้จากการฝีกฝนนี่แหละ จะไปเห็นขบวนการทีเป็นไตรลักษณ์ของจิตปรุงแต่งได้ ซี่งเมื่อเห็นความเป็นไตรลักษณืได้ ก็จะเป็นปัญญาในการภาวนา และ นี่คือความก้าวหน่าในการภาวนา
ส่วนข้อ D ต้องดูความเหมาะสม ถ้ามากไป ก็จะฟุ่งซ่านมาก ถ้าน้อยไป ก็จะเสียเพื่อนฝูงไป
*************** 2..ปกติเป็นคนร่าเริง แจ่มใส พอมาปฏิบัติด้วยการรู้สึกตัว ก็รู้สึกกลายเป็นคนเฉยๆ ไป คือเมื่อมีเรื่องดีใจก็จะแค่รู้สึกดีแล้วก็ปล่อยมันผ่านไป ว่างๆนิ่งๆไม่คิดอะไร รู้สึกสงบดี อย่างนี้ คือ ปล่อยวางได้แล้วใช่ใหม
ตอบ..นักภาวนาต้องดูระดับการภาวนาก่อนครับ จีงจะบอกได้ว่า ใช่การปล่อยวางจริง ๆ หรือไม่ ถ้านักภาวนาไม่เคยเห็นอาการจิตปรุงแต่งเลย คือ ยังอยู่ในระดับที่ 1 (ทีเขียนไว้ข้างบน) อย่างนี้ก็แสดงว่า ไม่ใช่การปล่อยวางครับ
สำหรับการปล่อยวางนั้น ในระดับแรก ๆ คือ การปล่อยวางด้วยกำลังของสัมมาสมาธิ โดยนักภาวนาจะเห็นอาการจิตปรุงแต่งเกิดขี้น แล้วดับลงเป็นไตรลักษณ์ เพราะจิตปล่อยวางไม่เข้าไปเกาะเกี่ยวจิตปรุงแต่ง จีงทำให้จิตปรุงแต่งเกิดแล้วสลายเป็นไตรลักษณ์ อันป็นกลไกแห่งธรรมชาติที่เป็นแบบนี้เอง แล้วนักภาวนาก็จะเห็นไตรลักษณ์นี้ได้และเกิดปัญญาขึ้นจากที่เห็นไตรลักษณ์นี้ได้
สำหรับการปฏิบัตินั้น ถ้ารู้สึกตัวแล้วเฉยๆ นี่ก็ดีอยู่แล้วครับ เพียงแต่ว่า นักภาวนาต้องดูตัวเองก่อนครับว่า ถ้าไม่เคยเห็นอาการจิตปรุงแต่งแล้วละก็ นี่แสดงว่า มีอะไรไปกดทับจิตไม่ให้ปรุงแต่งแล้ว นักภาวนาต้องหาการกดทับจิตนี้ไห้พบว่า ตัวเองไปทำอะไรกดทับไว้ แล้วแก้ใขในเรื่่องนี้
ทีนี้ ท่านอาจสงสัยว่า ทำไมครูบาอาจารย์จึงบอกว่า ให้จิตเฉยๆ อย่าให้มีการปรุงแต่งละ ซี่งคำอธิบายของผมมันไม่สอดคล้องกับคำสอนของครูบาอาจารย์ เรื่องนี้ท่านนักภาวนาต้องดูระดับการภาวนาทีผมเขียนไว้ข้างบนก่อนครับ ถ้านักภาวนาที่ภาวนาได้ในระดับที่ 4 นั้น จิตของเขาจะเฉยๆ และไร้การปรุงแต่งครับ แต่เขาจะต้องผ่านระดับ 1/2/3 มาก่อนหน้านี้แล้ว แต่ถ้าท่านยังไม่เคยผ่านระดับต้นๆ 1/2/3 มาเลย แล้วเป็นว่า จิตมันเฉยๆ ละก็ ท่านข้ามขั้นไป เแสดงว่า จิตถูกกดทับไว้ จึงเฉยๆ แต่คนที่เขาผ่านระดับต้นๆ มาก่อนแล้ว จิตเขาเฉยๆ เพราะปัญญาในระดับต้น ๆ ทีเขาผ่านมานั้น ทำให้เขามีปัญญาในระดับที 4 ซีงในระดับนี้ จิตของนักภาวนาจะเฉยๆ ไร้การปรุงแต่งที่ไม่ใช่เฉย ๆ เพราะมีการกดทับจิตครับ
***************
3..รู้สึกว่า ความสุขแบบเก่า ๆ ที่เย้ายวนใจจะพยายามดีงให้กลับไปอีก แต่ก็มาคิดว่า ตอนนี้ก็ดีแล้ว ไม่สุขไม่ทุกข์ จะกลับไปแบบเก่าทำไมอีก อย่างนี้ถูกต้องใหม
ตอบ...เรื่องนี้อยู่ทีปัญญาของตัวนักภาวนาเองครับ ถ้านักภาวนามีปัญญาที่ผ่านระดับความก้าวหน้าของการภาวนาดังที่ผมเขียนไว้ข้างบน นักภาวนาจะมีปัญญาจัดการเรื่องนี้ได้เอง และ นักภาวนาจะมองเห็นสัจธรรมได้ว่า ไม่ว่าสุขหรือทุกข์ มันก็คือสิ่งเดียวกัน เป็นการปรุงแต่ง มันไม่ต่างกันเลย แล้วนักภาวนาทีมีปํญหาเห็นความจริงในเรื่องนี้ได้ ก็จะจัดการเรื่องนีได้โดยไม่หลงไปกับกิเลส
แต่ถ้านักภาวนายังไม่มีปัญญาเกิด ยังเป็นเพียงระดับที 1 ก็ต้องชั่งใจตัวเองให้ดีครับว่า สิ่งเย้ายวนใจที่เข้ามานั้น ก่อให้เกิดปัญหาในชีวิตหรือในการภาวนาหรือไม่ ถ้ามีปัญหาก็ควรหลีกเลี่ยง ถ้าไม่มีปัญหา จะเสพย์สุขก็ได้แต่ให้พอเหมาะจนหลงไปกับกิเลส
ชิวิตการเป็นคนนั้น ต้องมีสุขที่พอควร ถ้ามีแต่ทุกข์ ไม่มีสุขเลย ชิวิตก็จะหม่นหมองและเป็นภัยต่อตนเองและคนรอบข้างได้
Create Date : 24 มีนาคม 2556 |
|
1 comments |
Last Update : 24 มีนาคม 2556 19:48:15 น. |
Counter : 2040 Pageviews. |
|
|
|
ท่่านทีสนใจเข้าร่วมกิจกรรม ลงชื่อได้ที่นี่ครับ
https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=namasikarn&month=03-2013&date=15&group=14&gblog=14