เขียนระหว่างปี พ.ศ. 2526 - 2528
รัฐบาลสมัยนั้นก็จนใจที่จะแก้ไข เพราะจู่ ๆ ก็ถูกจับมาปกครองประเทศ จะไม่รับก็ไม่มีใครยอมรับ ความปั่นป่วนเกิดขึ้นทั่วไป ประชาชนก็ขาดที่พึ่งพิง แถมบุคคลในคณะรัฐบาลบางคน ยังฉวยโอกาสหาผลประโยชน์จากความยุ่งยากในครั้งนั้นเข้าอีก เกิดการคอร์รัปชั่น แสวงหาผลประโยชน์กัดกินประเทศชาติกันอย่างขนาดใหญ่ ตักตวงเอาผลประโยชน์ที่รัฐจัดส่งให้ประชาชน ไปเป็นผลประโยชน์ส่วนตัวและพรรคพวก ประชาชนยังคงต้องเผชิญกับความยากจนอยู่ทั่วไป
ครั้งนั้น ประชาชนส่วนใหญ่จึงหันไปหาใครก็ได้ ที่จะเข้ามาเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของเขา คณะรัฐประหารจึงก่อตัวขึ้น ความจริงในขณะนั้น ได้มีกลุ่มบุคคลหลายกลุ่มที่คบคิดกันที่จะทำการปฏิวัติ แต่กลุ่มที่ไวกว่าเท่านั้นที่จะฉวยโอกาสไว้ได้ง่าย ๆ
กลุ่มคณะรัฐประหาร นำโดย พลโท (ยศตอนนั้น) ผิน ชุณหวัน ฉวยโอกาสทองอันนี้ไว้ได้ก่อนคณะอื่น ๆ ทั้ง ๆ ที่เป็นนายทหารนอกราชการ ทำการยึดอำนาจครั้งนั้นไว้ได้สำเร็จ ด้วยกำลังเพียงไม่กี่กองพัน แถมมีอยู่กองพันหนึ่ง ที่ยกกันไปจับตัวหัวหน้ารัฐบาลตอนนั้น ด้วยการแบกปืนเล็กยาวที่ไม่มีลูกเลื่อนปืนแม้แต่กระบอกเดียวทั้งกองพัน ก็ยังทำการได้สำเร็จ
ผมได้เขียนรายละเอียดของเรื่องนี้ไว้แล้วในตอนต้นๆ
นั่นเป็นข้อยกเว้นที่ไม่ปรากฏบ่อยนัก ด้วยเหตุการณ์และสภาพทางการเมือง และอะไรต่ออะไรของบ้านเมือง อำนวยให้ ประชาชนยอมรับได้ทุก ๆ กรณี เพื่อที่จะดิ้นไปหาสถานภาพใหม่ ๆ ที่อาจจะดีกว่า ด้วยความเหลวแหลกอย่างไม่มีที่ติอย่างว่าของรัฐบาลคณะนั้น
ผมอยากจะเตือนใครก็ได้ไว้สักหน่อยว่า อย่าปล่อยให้สภาวะอย่างนั้นเกิดขึ้นอีกในบ้านเมือง อย่าถือว่า มีอำนาจล้นฟ้า จะบันดาลอะไรก็ได้ หรือคุมเหตุการณ์ได้แน่นอน เกิดเรื่องขึ้นเมื่อใดก็ใช้กำลังเข้าปราบปรามได้เด็ดขาด
อย่าตกอยู่ในความประมาท เพราะเมื่อใด ประชาชนทนไม่ได้ ก็จะต้องผจญกับพลังอันมหาศาลที่กำลังของกองทัพจะต้านทานไม่ได้ เหตุการณ์เช่นนี้เคยเกิดขึ้นแล้ว ผู้ยิ่งใหญ่ที่เคยคิดว่ากุมอำนาจไว้เด็ดขาด ยังต้องมีอันเป็นไป ต้องระเห็จออกนอกประเทศ ไปตายนอกประเทศก็มี และก็เคยมีเหตุการณ์เช่นว่านี้ ซึ่งได้ทำให้มีวีรบุรุษเกิดขึ้นมาแล้ว ที่อยู่ทางฝ่ายประชาชน
วีรบุรุษแห่งสะพานมัฆวาฬนั่นยังไง ยังจำกันได้ไหมเล่า ?
วีรบุรุษท่านนั้น อย่าลืมตัวเสียก็แล้วกัน เมื่อได้มานั่งเก้าอี้ที่กุมอำนาจเต็มมือ การกล่อมพลังประชาชนนั้นไม่ใช่ของง่าย ๆ มันง่ายเป็นบางจังหวะ และมันยากเป็นบางจังหวะ ข้อสำคัญ ท่านต้องรู้จักจังหวะ
ท่านจะได้เคยสังเกตกันบ้างไหมว่า การปฏิวัติแต่ละครั้งนั้น ที่สำเร็จมักจะเป็นบุคคลที่มาจากสถาบันเดียวกัน เคยกินข้าวโต๊ะเดียวกัน นั่งเรียนในห้องเดียวกัน มีผู้บังคับบัญชาในโรงเรียนคนเดียวกัน และเป็นพ่อลูกเดียวกัน คือเสด็จพ่อรัชกาลที่ห้า ซึ่งพวกนักเรียนนายร้อยจะต้องไปเข้าแถวล้อมรอบพระบรมรูปที่ศาลาวงกลม ทุก ๆสิ้นปีการเรียน เพื่อขอพรต่อพระองค์ท่าน ก่อนการสอบไล่ใหม่ทุกปี แล้วทุกคนก็สอบได้สมปณิธานทุกปี มีเหมือนกันที่มีคนสอบตก แต่น้อยมาก ที่ตกเพราะคะแนนความประพฤติก็มี ก็ต้องนับว่าซวยไป
เพื่อนร่วมรุ่นผมคนหนึ่ง มันเป็นเอกในทางขี้เกียจดูหนังสือ วันสอบไล่ปลายปีสุดท้ายจะออกมารับกระบี่กันอยู่แล้ว มันก็ยังขี้เกียจดูหนังสือ
ข้อสอบวิชากฎหมายลักษณะอาญานั้น มันหนักแค่ไหน ทุกคนที่เคยเรียนมาก็ย่อมรู้ ไอ้เสือนี่มันรู้ตัวว่าแย่มากในวิชานี้ ถึงวันทำพิธีขอพรเสด็จพ่อ มันก็ไปล้อมวงด้วย แล้วถือโอกาสเอาหนังสือกฎหมายอาญานี้ไปด้วย เอาไปวางไว้ที่หน้าแท่นตรงหน้าพระรูป แล้วมันก็อธิษฐานให้เสด็จพ่อช่วยมัน บอกข้อสอบให้มันด้วย
พอมันขึ้นนอนแล้ว ผมก็แอบย่องลงมาจากโรงนอน จะมาล้อมันเล่น ผมแอบเปิดหนังสือนั้นออกหน้าหนึ่งลึก ๆ แล้วเอาก้อนหินทับไว้ แล้วก็ย่องขึ้นนอน เช้ามืด มันก็ลงมาดูที่แท่น เห็นหน้าหนังสือเปิดอยู่ มันก็ดีใจ คิดว่าเสด็จพ่อมาเปิดให้มัน มันก็ดูหนังสือแต่หน้านั้นทั้งหน้า หน้าอื่นไม่เอาใจใส่
ผลการออกข้อสอบวิชากฎหมายลักษณะอาญาปีนั้น ออกมาแต่หน้านั้นทั้งหน้าเลยครับ !
มีปัญหาอยู่ข้อเดียว แต่ต้องตอบกันยาวเหยียด และคำตอบอยู่ในหน้านั้นทั้งหมด ไอ้นั่นดีใจใหญ่ มันเอาดอกไม้ไปกราบไหว้เสด็จพ่อในคืนนั้นทันที
หรือเสด็จพ่อจะบันดาลให้ผมลงไปเปิดให้มันก็ไม่รู้!
นั่นเป็นเหตุการณ์ประทับใจตอนหนึ่งของชีวิตในโรงเรียนนายร้อย เหตุการณ์ประทับใจอย่างนี้ก็คงจะมีเกิดขึ้นในระหว่างเพื่อนร่วมรุ่นอื่น ๆเหมือนกัน แตกต่างกันไปตามแต่เหตุการณ์ เราไม่โกรธกัน ไม่ถือกัน เพราะรู้ว่าเป็นการหลอกล้อกันระหว่างเพื่อนฝูง
บางรายมีเรื่องกระทบกระทั่งกันนิดหน่อย ก็ชวนกันเข้าห้องยิม เอานวมมาสวมเข้า แล้วก็ต่อยกันโดยไม่นับยก จนกว่าฝ่ายหนึ่งจะหมอบลงไป แล้วเขาก็จับมือกัน เลิกแล้วกันไป ไม่ถือโทษโกรธพยาบาทกัน ไม่ชอบใจกันอีกเมื่อไร ก็ชกกันอีกได้ ที่เขาไม่ชกกันด้วยหมัดลุ่น ๆ ด้วยความโมโหหุนหัน ก็เพราะถ้าขืนทำอย่างนั้น ผู้บังคับบัญชาในโรงเรียนมาเห็นเข้า ก็ต้องเข้าไปนอนเอนหลังในห้อง ๑๘
ห้อง๑๘ เป็นห้องเดียวที่พวกนักเรียนนายร้อยไม่อยากเข้าไปนอน เพราะมันเป็นห้องขังสำหรับผู้กระทำความผิดร้ายแรง เป็นห้องที่ผู้ถูกลงโทษจะต้องหอบที่นอนหมอนมุ้งเข้าไปนอน แทนที่นอนบนกองร้อย แล้วแต่จะถูกกำหนดให้นอนกี่วัน โดยคำสั่งลงโทษนั้น ๆ แล้วยังถูกตัดแต้มความประพฤติอีกยี่สิบแต้ม
แต้มความประพฤตินี้ ถือเป็นสมบัติอันควรแก่การทะนุถนอมเป็นอย่างยิ่ง ต้องพยายามรักษาไว้ อย่าให้ถูกตัดโดยไม่จำเป็น เพราะถ้าถูกตัดเกินกำหนดที่วางไว้ ก็อาจมีหวังไม่ได้เข้าสอบไล่
เมื่อไม่ได้เข้าสอบไล่ มันก็ต้องสอบตก โดนเรียนซ้ำชั้น และกฎของโรงเรียนนายร้อยนั้น เขาเปิดโอกาสให้เรียนชั้นเดียวกันได้เพียงสองปี ถ้าสอบตกทั้งสองปี เขาก็เชิญออกไปเรียนที่อื่น จะมานั่งสอบทุกปี เป็นปู่โรงเรียนอย่างโรงเรียนสามัญ นั้นไม่ได้ เขาต้องเปิดที่ว่างให้คนอื่นมาเข้าเรียนบ้าง
ฉะนั้น มักจะเกิดเรื่องเมื่อถึงคราวสอบไล่ประจำปี หรือสอบเก็บคะแนนประจำภาคบ่อย ๆ โดยเพื่อนที่อยากจะช่วยเพื่อน โดยแอบให้เพื่อนลอกคำตอบจากกระดาษคำตอบของตัว ที่ทำเป็นปล่อยให้ห้อยลงข้าง ๆตัวบนโต๊ะเรียน แล้วให้เพื่อนข้างหลัง ชะโงกแอบอ่านเอาเอง นายทหารที่คุมสอบเห็นเข้า จับได้ รายงานขึ้นไป โดนถูกปลดออกไปก็มี
สมัยที่ผมเป็นผู้ช่วยบังคับหมวด มีนักเรียนในหมวดของผมโดนจับได้อย่างนี้ ในการสอบเก็บคะแนนประจำภาค ถูกออกไปสองคน ทั้งคนให้ดู และคนดู
ท่านเอาจริงกันถึงขนาดนั้น
สองคนนั่นเลยไม่ได้สวมเครื่องแบบทหาร ต้องไปประกอบอาชีพทางอื่น คนหนึ่งไปอยู่ศุลกากร อีกคนไปเป็นนักกฎหมาย ก็ยังดีที่ไม่ไปเป็นโจร
รู้สึกว่าผมจะออกห่างไปจากหัวเรื่อง เงื่อนไขในการปฏิวัติมากไปสักหน่อยแล้ว แต่มันก็เกี่ยวข้องกันอยู่กับหัวเรื่องหน่อย ๆ เหมือนกัน เป็นการโปรดเหตุผลในการปฏิวัติ ส่วนหนึ่งให้ทราบเป็นกระสายไว้ก่อนที่จะได้อ่านต่อไป