นวนิยาย (เอ๊ย) ไม่ใช่ สารคดี (เอ๊ะ ใช่หรือเปล่า ?) เรื่อง เงื่อนไขการปฏิวัติ สองตอนแรกของผม ที่ได้ตีพิมพ์ไปแล้วเรียนร้อย (ใน ต่วยตูน)ทั้งสองตอน ไม่ได้ส่งปฏิกิริยาสะท้อนกลับจากทิศทางใดมา ด้วยระยะเวลาอันสมควรแล้ว ทำให้ผมมานั่งเขียนเงื่อนไขอย่างว่านี้ต่อเป็นตอนที่สาม ได้ ด้วยใจคอที่ไม่ตื่นเต้น
นี่ก็แสดงให้เห็นว่า ข้อเขียนของผมไม่ได้รุนแรงอะไร เป็นไปอย่างอ่อนนวลละมุนละไม หรือมิฉะนั้น ก็เป็นเพราะว่า ท่านผู้มีอำนาจที่จะชี้ต้นตายปลายเป็นได้นั้น ท่านมีใจเป็นธรรม ใช้ธรรมเป็นอำนาจ มิได้ใช้อำนาจเป็นธรรม ยอมรับฟัง (ความจริงอ่าน) ด้วยความหนักแน่น เอาก้อนหินก้อนใหญ่มาถ่วงหัวใจไว้อย่างมั่นคง ไม่เงื้อกำปั้นฟาดโครมลงมาบนคอคุณต่วย ซึ่งหากท่านฟาดลงมาจริง ๆ กำปั้นนั้นก็คงจะมาลงคอต่อของผมด้วยอันนี้ ผมขอขอบพระคุณ
เอ๊ะ! หรือท่านไม่ได้อ่านแฮะ ?
ตอนสามนี้ ผมว่าผมจะเขียนเป็นตอนสุดท้าย สุดท้ายของ เงื่อนไขการปฏิวัติ ไม่ใช่สุดท้ายของข้อเขียนที่ผมจะเขียน ให้คุณต่วย
ผมกับคุณต่วย ไม่มีวันพรากจากกัน ถึงแม้ว่า คุณต่วยมักจะหนีผมขึ้นไปนอนบ่อย ๆ แค่เพียงเวลาสองทุ่ม โดยไม่ได้อ้างอะไรทั้งสิ้น นั่งคุยกันอยู่ดี ๆ ในวงการสังสรรค์วันเสาร์ พอถึงสองทุ่ม แกก็ต้องลุกขึ้นเดิน ทำทีเข้าห้องน้ำ ผมก็ไม่ทันได้สังเกตว่า แกเดินไปทางไหน แล้วแกก็หายไป ผมเห็นว่า แกหายไปนานเกินควร เกรงว่าจะไปหลับในห้องน้ำ หรือว่าตกส้วมตาย ผมก็ต้องถาม คุณนิด ศรีภรรยาผู้มีความอดทนของคุณต่วย หรือไม่ก็ถามยายอึ่ง ลูกสวยผู้น่ารักของคุณต่วยว่า คุณต่วยหายไปไหน ก็ได้รับคำตอบเหมือน ๆ กันว่า ขึ้นนอนแล้วค่ะ
ที่เป็นเช่นนั้น ทีแรก ผมก็คิดว่า คุณต่วยแกรังเกียจผม แต่มาสอบถามไร่เรียงกันอีกที ก็พบว่า วันสังสันทน์วันเสาร์ทุกเสาร์นี้ เขาติดตลาดกันตั้งแต่สิบโมงเช้า ผมนั้น กว่าจะไปถึงก็มักจะร่วม ๆหกโมงเย็น เพราะผมกินเหล้าก่อนเที่ยงไม่ได้ ฉะนั้น ตอนที่ผมไปถึง วงเขาก็ไปกันหลายกิโลเมตรแล้ว ผมเพิ่งจะออกวิ่ง ก็เป็นธรรมดาอยู่เอง ที่กวดยังไงก็ตามเขาไม่ทัน มีบางคนเท่านั้นที่กินเหล้าด้วยความละเมียดละไม ที่ยังคงอยู่ต้อนรับผมได้ คุณต่วยแกกินเหล้าประเภทเห็นเหล้าเป็นศัตรู ที่จะต้องทำลายให้ย่อยยับเร็ว ๆ ดังนั้น แกจึงถึงที่หมายก่อนคนอื่น เมื่อถึงที่หมายแล้วก็ต้องขึ้นนอน เพราะถ้าขืนนั่งอยู่ต่อ เพื่อจะคุยกับผม ก็คงจะคุยกันไม่รู้เรื่อง ผมคุยเรื่องหนังจีน แกก็คงจะคุยเรื่องหนังตะลุงกับผม อาจจะเป็นเหตุให้เกิดการวิวาทขึ้นโดยไม่จำเป็น
นี่เองที่ทำให้ผมรักคุณต่วย เพราะคุณต่วยต้องการถนอมน้ำใจผม ด้วยการขึ้นนอนเสียก่อนที่จะคุยกันคนละเรื่อง เราจึงคบกันมาได้จนถึงป่านนี้ การหนีขึ้นนอนเป็นยุทธวิธีอันหนึ่งในการเลี่ยงการต่อสู้ เพื่อถนอมน้ำใจคน
ก็เห็นจะเริ่มเรื่อง เงื่อนไขการปฏิวัติ ตอนที่สามได้เสียทีละ ทีนี้
ผมได้ให้ข้อคิดไว้ในตอนที่สอง แล้วว่า การปฏิวัติที่จะทำได้สำเร็จนั้น ต้อง
1. ผู้จะทำการปฏิวัติ จะต้องเป็นทหารราบ
2. ผู้จะทำการปฏิวัตินั้น จะต้องเป็นบุคคลในคณะปกครองแผ่นดิน
3. ผู้จะทำการปฏิวัตินั้น จะต้องเป็นผู้คุมอำนาจของกองทัพบก โดยเฉพาะ ทหารราบ อย่างแน่นแฟ้นในกำมือ
ทั้งสามข้อนี้เป็นหลักใหญ่ๆ แต่ว่าหลักการอะไรก็ตาม ย่อมมีข้อยกเว้น หลักการนี้ก็ต้องมีข้อยกเว้นเช่นกัน ข้อยกเว้นนั้นจะมีก็ต่อเมื่อสถานการณ์ของประเทศตกอยู่ในภาวะวุ่นวายทางด้านเศรษฐกิจและการปกครอง จนหาที่ติไม่ได้ เรียกว่า เลวสมบูรณ์แบบ
สภาวะเช่นนี้หาได้ยากในเมืองไทย ไม่ค่อยจะมีให้เห็น เพราะสภาพโดยแท้ของเมืองไทยเรานั้น ความยุ่งยากประเภทนี้ไม่ปรากฏให้เห็นบ่อยนัก หรือ เรียกว่า แทบจะไม่มีให้เห็นเลย มันจึงเป็นสภาวะที่ชักจูงใจให้คนส่วนใหญ่ของประเทศ เกิดความเบื่อหน่าย และพร้อมที่จะยอมรับความเปลี่ยนแปลง ไม่ว่าจะมาในรูปใด ขอให้ได้อยู่ในสภาวะที่ไม่เหมือนกับที่ได้รับอยู่นั้น
เมื่อสมัยที่สงครามโลกครั้งที่สองจบไปใหม่ๆ สภาวะของบ้านเมืองตอนนั้นยุ่งเหยิงจนแทบจะเอาตัวไม่รอด ประเทศไทยเกือบจะถูกยึดครองโดยมหาอำนาจที่ชนะสงคราม เคราะห์ดีที่เรามีพระมหากษัตริย์ที่เป็นที่ยึดเหนี่ยวของประชาชน และมีพระสยามเทวาธิราชคุ้มครอง เราจึงรอดจากการถูดยึดครองออกมาได้อย่างปาฏิหาริย์
เมื่อญี่ปุ่นยึดครองญวนได้แล้ว เพื่อส่งกำลังเข้ามาในกรุง แล้วเดินทางต่อไปยังทางใต้และตะวันตก ถ้าผู้นำประเทศของเราขณะนั้น ไม่รู้จักใช้กโลบายยืดหยุ่น กรุงเทพ ฯ ก็คงจะเป็นผุยผงไปแล้ว และประเทศไทยทั้งประเทศก็คงตกอยู่ในฐานะถูกยึดครอง โดนกองทัพลูกพระอาทิตย์แน่นอน
ผู้นำในขณะนั้น จึงต้องจำยอมรับสภาพความเป็นมหามิตร และร่วมรุกร่วมรบกับญี่ปุ่น พอญี่ปุ่นแพ้โดยไม่มีเงื่อนไข เราก็ต้องตกเป็นผู้แพ้ไปด้วย กองทัพอังกฤษ ซึ่งเป็นกองทัพที่รับผิดชอบในแถบนี้ ก็จะเข้ามายึดครองเราเช่นผู้แพ้ เคราะห์ดีที่เรามีพระมหากษัตริยาธิราช ที่มีพระปรีชาญาณล้ำเลิศ และมีพระสยามเทวาธิราชคุ้มครองเราอยู่ การสงครามครั้งนั้น มีประเทศเราเพียงประเทศเดียว ที่เป็นฝ่ายอักษะ ที่ได้รับการยอมรับจากสัมพันธมิตร ให้คงสภาพเดิมอยู่ได้
รบกันแทบแย่ โดยทิ้งระเบิดจนกรุงเทพ ฯ เป็นเมืองร้าง ด่าพ่อล่อแม่เขาจนลั่นโลก ด่าไปจนถึงกษัตริย์ของเขาเสียไม่มีดี ผลตอนจบลงท้าย กลับเจ๊าไปได้
ไม่แพ้ ไม่ชนะ
อย่างนี้ ไม่เรียกว่า ปาฏิหาริย์ จะให้เรียกว่าอะไร ไม่เคยมีในประวัติศาสตร์การสงคราม