จงให้ความสำคัญต่อสิ่งที่ถูกต้อง มากกว่าสิ่งที่ถูกใจ
Group Blog
 
 
มีนาคม 2555
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728293031
 
12 มีนาคม 2555
 
All Blogs
 

เงื่อนไขการปฏิวัติ - บทที่ 1 ก้าวแรกของการปฏิวัติ (ตอนที่ 1)

โดย พ.ต.อ. พุฒ บูรณสมภพ

เขียนขึ้นระหว่างปี พ.ศ. 2526 - 2528


บทที่ ๑ – ก้าวแรกของการปฏิวัติ

ผมเริ่มเขียนเรื่องนี้ในวันที่ ๒๔ มกราคม ๒๕๒๖

เหตุการณ์ทางการเมืองยังครึ้มฟ้าครึ้มฝนอยู่ จะออกหัวออกก้อยก็ยังไม่รู้ ทั้ง ๆ ที่ใคร ๆ ที่ถืออาวุธ ต่างก็มาออกโทรทัศน์และปราศรัยทางวิทยุบังคับฟังบ้างว่า จะเล่นเกมการเมืองตามหลักการประชาธิปไตย ไม่มีการออก
“ เอ๊กเซอร์ไซส์ ” เด็ดขาดก็ตาม ผมก็ไม่ค่อยจะเชื่อนัก เพราะเคยได้ยินได้ฟังประโยคนี้มาอย่างน้อยก็สองครั้งแล้วในชีวิตที่เคยอยู่ในแวดวงทางการเมืองมาอย่างลึกซึ้ง และทุกครั้งที่ได้ยิน หลังจากนั้นมาอีกไม่กี่วัน ท่านผู้ที่มีอาวุธและกำลังในมือ ก็ออกมาวาดลวดลายกันสนุก แต่เป็นการสนุกฝ่ายเดียว อีกฝ่ายหนึ่งที่วาดลวดลายไม่ทันนั้น ไม่สนุกด้วย ต้องออกเดินทางไปโดยไม่เต็มใจ

ไปไหน – ไปไหน – ไม่ใช่ไปเมโทร !
ไปโน่น ... สวิตเซอร์แลนด์ ... !

วันเปลี่ยนแปลงการปกครองครั้งแรก จากสมบูรณาญาสิทธิราช มาเป็นประชาธิปไตยในมือคณะราษฏร์นั้น ผมยังเป็นเด็กนักเรียน ม.๕ อยู่โรงเรียนเซ็นต์คาเบรียล (St. Gabriel)

วันนั้น ผมกำลังจะเตรียมตัวโดดขึ้นรถรางไปโรงเรียน ก็เจอเอารถบรรทุกทหารเต็มคันรถสองคัน แล่นผ่านหน้าผมไป แล้วเลี้ยวเข้าไปในวังบางขุนพรหม ได้ยินเสียงปืนตังเป็นชุด ๆ สอง-สามชุด แล้วก็เงียบ

รถรางยังไม่มา ผมก็เห็นรถบรรทุกทหารสองคันนั้น แล่นตามกันออกมา ผ่านหน้าผมไปอีก ทีนี้ในรถคันหน้า มีบุรุษผู้หนึ่ง ในเครื่องแต่งกายสีขาว ทั้งเสื้อและกางเกงเหมือนชุดอยู่กับบ้าน นั่งอยู่ตรงกลางหมู่วงล้อมของทหารถือปืน รถคันนั้นแล่นหายไปในทิศทางเดิมที่ผ่านมาทีแรก

ผมไปโรงเรียนตามปกติเมื่อรถรางมาถึงป้าย พอไปถึงโรงเรียนก็เห็นนักเรียนจับกลุ่มกันอยู่ที่โรงเล่นก็มี ที่ถนนในโรงเรียนก็มี มีครูและบราเดอร์หลายคน ออกมาพูดกับนักเรียนที่จับกลุ่มกันอยู่นั้น แล้วครูกับบราเดอร์ก็ไล่ให้นักเรียนกลับบ้าน วันนั้นไม่ต้องเข้าเรียน

ผมก็ไม่รู้ว่าทำไมไม่ต้องเข้าห้องเรียน แต่ก็ชอบใจ ความชอบใจของนักเรียนไม่มีอะไรที่จะเหนือไปกว่า ไม่ต้องเข้าเรียน และถูกไล่ให้กลับบ้าน ผมโดดขึ้นรถรางกลับบ้านทันที โดยไม่อยากรู้สาเหตุ

ผมมาถึงบ้าน ก็พบพ่อเป็นคนแรก
พ่อกำลังนั่งเปิดวิทยุฟังอยู่ สมัยนั้น มีสถานีวิทยุอยู่สถานีเดียว คือ สถานี เจ็ด พี เจ หรือ สถานีวิทยุศาลาแดง

พ่อผมเป็นพระยา และเคยเป็นเจ้าเมืองอยู่หลายเมือง แต่มาลาออกก่อนที่จะเกษียณ ผมก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงลาออก จะถามก็กลัวโดนไม้เรียว

พ่อฟังวิทยุอยู่ครู่ใหญ่ก็ปิดวิทยุ แล้วก็ส่งเสียงด่าโขมงโฉงเฉง จับได้ความแค่ว่า ด่าพ่อล่อแม่ใครก็ไม่รู้
ได้ยินเป็นตอน ๆ ว่า “ ไอ้พวกฉิบ ... ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง หัวมันจะต้องขาด ...” แล้วก็หันมาเห็นผม ข้อความที่ด่าก็หยุด กลายเป็นหันมาเล่นงานผม

“ เอ็งกลับมาทำไม ทำไมไม่เรียนหนังสือ – หา ”

ผมก็บอกว่า ทางโรงเรียนเขาไล่นักเรียนกลับบ้านหมด ผมก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าทำไม

“ ระยำ ” พ่อผมพูดออกมาเพราะ ๆ ได้คำเดียว ก็เดินเข้าห้องไป

ผมมารู้เอาตอนเย็นจากคำพูดของพ่อ ที่เล่าให้พวกพี่ ๆ น้อง ๆ ในบ้านฟังว่า มีการกบฏเกิดขึ้น เขาเปลี่ยนการปกครองกัน จับเอาเจ้านายหลายคนไปควบคุมตัวไว้ เขาจะยึดอำนาจการปกครองมาเป็นของคณะราษฏร์ พระเจ้าอยู่หัวจะเป็นอย่างไรบ้างก็ไม่รู้

พ่อผมเป็นห่วงพระองค์ท่าน นั่ง ๆ เดิน ๆ บ่นไปทั้งวัน

นั่นเป็นครั้งแรกที่ผมได้รับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงการปกครอง สมัยนี้ก็คงจะเรียกว่า ปฏิวัติ หรือ รัฐประหาร

วันนั้น เป็นวันที่ ๒๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๕

ผมไม่ได้เอาใจใส่ว่า ใครจะมาปกครองประเทศ เพราะไม่รู้จะเอาใจใส่ไปทำไม ผมรู้แต่ว่า ผมมีนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นชื่อใหม่ ตำแหน่งใหม่ ที่ผมเพิ่งจะเคยได้ยิน แล้วก็มีใครต่อใครอีกหลายคนเป็นรัฐมนตรี

ผมเคยได้ยินแต่คำว่า เสนาบดี แต่ผมจำได้ว่า คนที่เขาเรียกว่า นายกรัฐมนตรี ในตอนนั้นชื่อว่า พระยามโน ฯ

ตอนนั้นยังไม่รู้ว่า มโน อะไร มารู้อีกหลายวันว่า ชื่อของท่านเต็ม ๆ มีว่า พระยามโนปกรณ์นิติธาดา ถูกหรือเปล่าก็ยังไม่รู้ ผมก็ไม่แน่ใจ แต่ว่าคงจะถูกนะ

เจ้านายเชื้อพระวงศ์ออกไปต่างประเทศกันหลายพระองค์หลังจากวันนั้น วังต่าง ๆ ถูกยึดโดยคณะราษฏร์ ฯ หลายวังถูกเอามาทำเป็นสถานที่ราชการก็มี ทำเป็นที่อยู่อาศัยของบุคคลในคณะราษฏร์ ฯ ก็มี

เหตุการณ์ยังคงวุ่นวายกันอยู่อีกหลายวัน แต่ผมไม่มีหน้าที่ที่จะต้องไปกังวลกับเขาด้วย

โรงเรียนเซ็นต์คาเบรียลเปิดเรียนเป็นปกติในอีกไม่กี่วันต่อมา ผมก็ไปเรียนของผมต่อที่ชั้นเดิม

ครูประจำชั้นของผมชื่อ มาสเตอร์ เลโอ โอนารี่ ภายหลังท่านเปลี่ยนชื่อเป็นไทย ผมก็จำไม่ได้อีกว่า ชื่ออะไร ท่านเป็นครูที่บังคับไม่ให้นักเรียนพูดภาษาไทยในห้องเรียน ให้พูดแต่ภาษาฝรั่งเศส ซึ่งเป็นภาษาที่พวกเราเรียนกันอยู่

ใครเผลอพูดไทยออกมาคำเดียวก็ต้องเสียหนึ่งสตางค์ พวกผมก็เลยส่งภาษาฝรั่งเศสกันปร๋อ ด่าเป็นภาษาฝรั่งเศสได้แสบเหมือนฝรั่งเศสด่า จนเดี๋ยวนี้ก็ยังไม่ลืม




 

Create Date : 12 มีนาคม 2555
4 comments
Last Update : 26 มีนาคม 2555 2:52:37 น.
Counter : 909 Pageviews.

 

ชอบจังเลย..ได้อ่านเรื่องอย่างนี้อีกแล้ว...

ขอบคุณมากๆ...

 

โดย: ก้นกะลา 13 มีนาคม 2555 0:09:35 น.  

 

เรื่องราวน่าสนใจ และน่าติดตามมากๆค่ะ

 

โดย: sawkitty 13 มีนาคม 2555 13:46:32 น.  

 

 

โดย: Smileangle1982 13 มีนาคม 2555 19:18:26 น.  

 

ปรกติเราได้เรียนประวัติศาสตร์มาแต่ไม่ได้ลงในรายละเอียดขนาดนี้
ทำให้คิดถึงบรรยากาศเก่าๆ คลาสสิคดีครับ

 

โดย: Anglo 16 ตุลาคม 2555 11:18:18 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


ธารน้อย
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 26 คน [?]




New Comments
Friends' blogs
[Add ธารน้อย's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.