พระเจ้าใหญ่องค์หลวง เป็นพระประธานที่ประดิษฐานอยู่บนศาลาการเปรียญหรือวิหารพระเจ้าใหญ่องค์หลวงของวัดหลวง พุทธลักษณะปางเรือนแก้ว พระอิริยาบถประทับนั่งขัดสมาธิราบในซุ้มเรือนแก้ว พระหัตถ์ซ้ายวางหงายบนพระเพลา พระหัตถ์ขวาวางคว่ำบนพระชานุ นิ้วพระหัตถ์ชี้พระธรณี
พระพุทธรูปปางเรือนแก้วนี้ในพุทธตำนานอธิบายความไว้ว่า ในสัปดาห์ที่ 4 หลังตรัสรู้ พระพุทธองค์เสด็จจากรัตนจงกรมเจดีย์ไปประทับในเรือนแก้ว (รัตนคฤห) ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ซึ่งเทพยดาเนรมิตถวาย เพื่อทรงพิจารณาพุทธธรรม ในกำหนด 7 วัน จนบังเกิดเป็นประภาวลี (รัศมีที่แผ่ออกจากกายสำหรับบุคคลมีบุญญาธิการ หรือพระพุทธรูป) สถานที่ดังกล่าวจึงมีชื่อ “รัตนฆรเจดีย์” พระพุทธรูปปางนี้เป็นพระพุทธรูปประจำเดือน 7
พระอุโบสถวัดหลวงภายในพระอุโบสถ เรียบ ๆ ค่ะพระอุโบสถ พระวิหารบันไดทางเดินลงไปถนนหน้าริมมูลมองกลับขึ้นไปวัดคุ้น ๆ ว่าตรงนี้เป็นด้านหลังตลาดค่ะผ่านโรงเรียนอนุบาลทุ่งศรีเมือง09.56 น. วัดแจ้งค่ะ
เจ้าราชบุตร (หนูคำ) หนึ่งในคณะอาญาสี่ ผู้ปกครองเมืองอุบลราชธานีได้สร้างวัดทองนพคุณสนองพระคุณมารดาแล้วมีใจชื่นชมยินดีมาก จึงให้สร้างวัดอีกวัดหนึ่งขึ้นที่สวนอีกแปลงของท่านและอยู่ทางเหนือของเมือง วัดแจ้งถูกสร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2431 ตรงกับรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 เมื่อเดินทางจากตัวเมืองไปทางเหนือพอมาถึงบริเวณวัดนี้ก็จะสว่างพอดี หรือเรียกว่า แจ้งพอดี จึงขนานนามวัดนี้ว่า “วัดแจ้ง” นอกจากนี้ท่านยังได้สร้างพระประธานประดิษฐานไว้ในศาลาการเปรียญและสร้างอูปมุงสำหรับใส่อัฐิธาตุบรรพชนของท่านไว้ด้วย
สิมวัดแจ้ง
สิมวัดแจ้งนั้นได้รับการยกย่องว่ามีรูปทรงสวยงามและมีงานจำหลักไม้ที่มีฝีมือแบบพื้นบ้านโดยแท้ซึ่งนับวันจะหาดูเป็นตัวอย่างศึกษาได้ยาก สร้างแล้วเสร็จ พ.ศ. 2455 หรือหลังจากการตั้งวัดแล้ว 24 ปี โดยญาท่านเพ็ง เป็นผู้ควบคุมการก่อสร้าง มีขนาดความกว้าง 6 เมตร ยาว 15 เมตร สูง 10 เมตร หันหน้าไปทางทิศตะวันออก
ได้รับพระราชทานกิตติบัตร ในการอนุรักษ์อุโบสถลักษณะสถาปัตยกรรมสิมวัดแจ้ง เป็นทรงพื้นถิ่นอีสาน ก่ออิฐถือปูนตั้งบนฐานเอวขัน ในผังสี่เหลี่ยมผืนผ้า หันหน้าไปทางทิศตะวันออก ขนาด 3 ห้อง ด้านหน้าเป็นมุขโถง โครงสร้างอาคารใช้เสาและผนังรับน้ำหนักโครงสร้างหลังคาจั่วพนักบันได ยังคงสืบคติรูปสัตว์ทวารบาลรูปจระเข้ เทพเจ้าแห่งน้ำ เฉกเช่นพญานาค ซึ่งเป็นคติพื้นเมืองเดิม ส่วนตัวเรือนมีช่องหน้าต่าง มีหย่องหน้าต่างลวดลายพื้นเมืองอีสาน คันทวยแบบนาคขดคดโค้งประดับกระจกหลากสีที่ได้รับการยกย่องจาก น.ณ.ปากน้ำ ผู้เชี่ยวชาญศิลปะไทยโบราณ “…คันทวยจำหลักไม้ (สิมวัดแจ้ง เมืองอุบล) ศิลปะลักษณะพื้นเมืองของอีสาน แม้จะจำหลักเป็นรูปนาคปิดทองประดับกระจกเช่นเดียวกับภาคกลาง แต่นายช่างจำหลักได้สอดแทรกความคิดลงไป เห็นรูปร่างแปลกตากว่าที่เห็นในภาคกลาง การออกแบบตัวลายก็งามเป็นลักษณะพื้นเมืองโดยแท้”
“ และบริเวณแผงหน้าจั่วสามเหลี่ยมมีรูปลวดลายประดับที่บอกเราตัวตน ประกอบด้วยรูปแกะสลักเป็นรูปดอกบัว อันน่าจะหมายถึงที่มาของชื่อเมืองอุบล ลวดลายช่อดอกกาละกับ ซึ่งเป็นแม่ลายสำคัญของสกุลช่างหลวงเวียงจันทน์ ที่นิยมใช้มากตามวัดต่าง ๆ ในเขตเมืองอุบล แบบแผนลวดลายกระจังรวนแบบสยาม ซึ่งพบมากในแถบเมืองอุบล หรือสาหร่ายรวงผึ้งแบบสยาม ที่ผสมผสานกับฮวงผึ้งแบบล้านช้างได้อย่างมีเอกลักษณ์ที่โดดเด่นเฉพาะตัว
และส่วนที่สำคัญคือ ที่หน้าบัน หรือสีหน้าที่มีความแตกต่างจากวัดอื่น ๆ กล่าวคือมีการใช้รูปสัตว์ในวรรณคดีอย่างรูปคชสีห์ ซึ่งถือเป็นรูปสัญญะของกลุ่มเจ้านายพื้นเมืองที่มีฐานานุศักดิ์รองมาจากเจ้าเมือง ซึ่งน่าจะสัมพันธ์เกี่ยวเนื่องกับ คตินิยมรูปสัตว์ที่ทำนกหัสดีลิงค์ประเภทดั่งที่คุณพ่อบำเพ็ญ ณ อุบล ได้อธิบายว่า เมรุรูปคชสีห์ ใช้กับผู้ที่ถึงอสัญกรรม ที่มีตำแหน่งรองลงมาจากเจ้าอาญาสี่ แต่เป็นผู้มีเชื้อสายสืบมาจากอาญาสี่ ไม่มีสิทธิ์นำศพขึ้นนกหัสดีลิงค์ เจ้านายและประชาชนจึงทำเมรุขึ้นอีกแบบหนึ่งเป็นรูปคชสีห์ ประกอบหอแก้ว แล้วเชิญศพขึ้นประดิษฐานบนหอแก้ว แล้วก็ชักลากไปพิธีฌาปนกิจ
เมรุคชสีห์ ครั้งสุดท้ายคือเมรุเผาศพพระอุบลกิจประชากร (ท้าวบุญเพ็ง บุตรโฮบล) ดังนั้นการปรากฏรูปคชสีห์ในส่วนสีหน้าที่สำคัญนี้ ย่อมสื่อความสัมพันธ์อย่างมีนัยยะสำคัญกับผู้สร้างวัดแจ้ง แห่งนี้ ประกอบข้างซ้ายขวาช้างเอราวัณ (อีกนัยยะหนึ่งหมายถึงเทพแห่งทิศตะวันออก) และมีรูปพระอินทร์ประทับอยู่ด้านบน (ซึ่งถูกโจรกรรมหายไปนานแล้วน่าจะก่อนปีพ.ศ. 2510) คตินี้ช่างพื้นเมืองอุบลน่าจะได้รับอิทธิพลร่วมมาจากสยามเช่นเดียวกับสิมวัดทุ่งศรีเมือง สำนักช่างที่มีความสัมพันธ์เชิงช่างกับสยามอย่างแนบแน่น ซึ่งก็ปรากฏการใช้รูปพระอินทร์ทรงช้างเอราวัณที่สีหน้าสิมด้วยเช่นกัน หากแต่ในวัดพื้นเมืองทั่ว ๆ ไป คตินี้ไม่เป็นที่นิยมในหมู่ช่างพื้นบ้าน
ส่วนยอดที่เป็นเครื่องลำยองต่าง ๆ ล้วนเป็นลักษณะสกุลช่างพื้นบ้านเมืองอุบล โดยเฉพาะรูปนาคสะบัดหงอน ส่วนวัสดุมุงหลังคา เดิมมุงด้วยแป้นไม้หรือกระเบื้องไม้ ราวปี พ.ศ. 2495 จึงมีการซ่อมแปลงเป็นกระเบื้องดินเผาตามบันทึกของ วิโรฒ ศรีสุโร ในหนังสือสิมอีสานล่าสุดเมื่อปี พ.ศ. 2561 หน่วยงานที่ดูแลได้ทำการบูรณะซ่อมแซมใหม่อีกครั้ง ด้วยการติดกระจกสีตามหลักฐานเดิมยืนยันว่า มีการประดับกระจกสี ซึ่งแตกต่างจากการซ่อมครั้งก่อนหน้า ซึ่งไม่ได้มีการติดกระจกสีตามแบบแรกสร้าง ทำให้เกิดวิวาทะในสังคม ทั้งกลุ่มนักอนุรักษ์ซึ่งเข้าใจว่า เดิมไม่มีกระจกสีทั้งหมด ได้ทำให้สิมหลังนี้เป็นที่สนใจเป็นอย่างมาก ทั้งกลุ่มคนรุ่นใหม่และรุ่นเก่าที่เข้าไปถามหาความจริง
ทั้งหมดจะเห็นถึงการผสมผสานกันไปมาของ 2 สกุลช่าง ทั้งราชสำนักเวียงจันทน์และราชสำนักสยาม เฉกเช่นเดียวกันกับพัฒนาการทางสังคมวัฒนธรรม ที่เคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงไม่เคยหยุดนิ่งตายตัว ก่อให้เกิดเป็นนวัตศิลป์ใหม่ไทย-อุบล ที่มีอัตลักษณ์ของตัวเองผ่านเป็นบทบันทึกทางประวัติศาสตร์สมัยที่ส่งผ่านงานช่างสร้างสรรค์ ณ สิมวัดแจ้ง แห่งเมืองอุบลและอีสานในเวลาต่อมา
รถแห่เทียนเข้าพรรษา 10.24 น. เดินผ่านวัดมณีวนาราม (อัปบล็อกไปแล้วค่ะ)จวนผู้ว่าฯ ความเดิม ปราสาทวัดพูน้ำตกตาดฟาน น้ำตกตาดเยืองปากซองไฮแลนด์ สวนดอกไม้มนตราน้ำตกคอนพะเพ็งตะวันขึ้นที่ผาแต้มภาพเขียนสีผาแต้มทุ่งดอกไม้ป่าสร้อยสวรรค์หาดสลึง สามพันโบกทุ่งดอกไม้ป่าวนอุทยานน้ำตกผาหลวงวัดทุ่งศรีเมือง วัดมณีวนาราม วัดมหาวนารามอาสนวิหารแม่พระนิรมล วัดสุปัฏนารามวรวิหารวัดพระธาตุหนองบัววัดศรีอุบลรัตนาราม ทุ่งศรีเมือง