เหตุเกิดจากที่ผมได้เห็นภาพๆ นึงจากที่ไหนก็ไม่ทราบได้ เป็นภาพกระโจมที่พักเรียบง่ายในธรรมชาติ มีสะพานไม้ไผ่ทอดยาวไปยังผืนน้ำและทิวเขาเบื้องหน้า สะพานนั้นโอบล้อมไปด้วยต้นกกที่ขึ้นหนาแน่นโดยรอบ สายลมพัดเอื่อยๆ พาต้นกกไหวเอนพลิ้วไปตามกระแสลม
คิดแล้วรู้สึกว่าที่นี่สวยมาก อยากไปชะมัดเลย มันเป็น Location ที่ perfect เหมาะสำหรับการนั่งชื่นชมบรรยากาศหรือถ่ายหนังเลยทีเดียว แต่ก็ได้แต่เก็บไว้ในใจ รอโอกาสเหมาะๆ แล้วจะไปเที่ยวชม
เวลาล่วงเลยไป หลายเดือน และในที่สุดผมก็ไม่อาจปฏิเสธความความปรารถนาในใจของผมได้ เมื่อได้เห็นภาพๆ นั้น ได้ Feed ขึ้นมาใน Facebook
โอย อยากไป จึงได้ชักชวนสมัครพรรคพวกที่สนิทเข้าขั้นและพร้อมจะไปกันได้ทุกที่ .. บอกคุณๆ เหล่านั้นว่า ผมจะจองบ้านพักที่นี่นะ
บ้านกกกอด .. แน่นอนครับ ทุกคน OK
ทริปสนุกๆ ของเราจึงได้เกิดขึ้นมา ณ จุดๆ นี้
30/11/2013
เวลาประมาณ 08:30 น. พวกเราพร้อมหน้ากันที่หน้าเซเว่นแถวกระทรวงสาธารณสุข ออกเดินทางไปยังจังหวัดกาญจนบุรี ด้วยพาหนะคู่ใจของผม การเดินทางของเราในครั้งนี้ เราใช้เส้นทาง งามวงศ์วาน ตลิ่งชัน นครปฐม- บ้านโป่งและเข้าไปยังเมืองกาญจนบุรีทางนี้ เส้นทางค่อนข้าง OK ครับแต่ติดที่ไฟแดงเยอะไปหน่อยจึงใช้เวลาในการเดินทางค่อนข้างมาก ..
เวลาประมาณ 09:30 น. เราเดินทางถึงนครปฐม อาการหิวก็เริ่มเกิดขึ้น .. เราแวะทานอาหารเช้า (ต้องอาหาร สายสินะ ) ที่ร้านปฐมโภชนา ด้วยเมนู ข้าวหน้าเป็ด ข้าวหมูแดงและอะไรก็ไม่รู้(จำไม่ได้แล้วแหะๆ) นั่งทานอาหารได้สักพัก พลันรู้สึกถึงกระแสลมหนาวพัดมา ทำเอาตัวสั่น เราสามคนก็คุยกันขำๆ ว่า เราโชคดีนะ มาตอนหน้าหนาว อากาศดีแน่ๆ
หลังจากทานข้าวเสร็จเรียบร้อย เรายังไม่มีจุดหมายปลายทางที่แน่นอน จึงได้สอบถามสมาชิกว่าอยากไปที่ไหนกันบ้าง แต่ละท่านก็ตามใจผมซึ่งเป็นคนขับ และอยากไปชิวๆ ที่น้ำตกสักแห่ง ติดแต่น้ำตกเอราวัณที่ผมอยากไปนั้น แต่ละท่านก็ไปกันเกินสองรอบแล้ว 555 งั้นก็เหลือน้ำตกห้วยแม่ขมิ้นล่ะ เคยไปกันมาคนละรอบเดียว งั้นได้ข้อสรุปละ
บึ่งรถไปที่เมืองกาญจน์เพื่อที่จะขึ้นไปยังน้ำตกห้วยแม่ขมิ้น เหนือเขื่อนศรีนครินทร์กันดีกว่าครับ
เวลาประมาณ 12:00 น. เราเดินทางถึงเขื่อนศรีนครินทร์แล้ว หากใครเดินทางมาถึงที่นี่คงจะเห็นรีสอร์ทสวยๆ อยู่บนเนินเขาและเบื้องล่างเป็นอ่างเก็บน้ำเขื่อนศรีนครินทร์ กันบ้างล่ะ ผมซึ่งผ่านไปทางนั้น อดทนที่จะไม่ชื่นชมความงามของรีสอร์ท ณ จุดนั้นไม่ไหว เลยขอแวะชมบรรยากาศกันก่อนครับ รีสอร์ทนี้ชื่อว่า .. กินลมชมวิว กะจะแวะทานอาหาร สั่งกาแฟสักแก้ว .. พนักงานใจดี แจ้งว่าที่นี่ไม่มีไฟฟ้า และอาหารคร๊าบ สั่งเครื่องดื่มได้อย่างเดียว ส่วนเครื่องดื่มก็จะเป็นพวกชา- กาแฟหรือน้ำหวานก็ได้ .. ด้วยความเกรงใจจึงสั่งเนสกาแฟเย็นมา 1 แก้ว ค่าวิวครับ ^^
ชมวิวสวยๆ กันได้สักพัก เราคงต้องหาอะไรทานกันแล้วล่ะ ตกลงเราจะไปทานอาหารกันที่น้ำตกห้วยแม่ขมิ้นกัน .. เราจึงออกเดินทางต่อ ด้วยถนนลาดยาง ที่วิ่งค่อนข้างสบายๆ ใช้เวลาเดินทาง ชั่วโมงเดียวก็ถึงแล้วล่ะครับ
ตัวน้ำตก อยู่ห่างจากที่ทำการอุทยานแห่งชาติเพียง 100 เมตร เป็นน้ำตกที่สวยงามมากที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศไทย เกิดจากลำห้วยแม่ขมิ้นที่ไหลผ่านเทือกเขาหินปูนลดหลั่นลงมาเป็นชั้นๆ ก่อให้เกิดน้ำตกที่สวยงามทั้งหมด 7 ชั้น คล้ายกับน้ำตกเอราวัณ
แต่ละชั้นมีชื่อเรียกเรียงลำดับจากชั้นที่ 1 - 7 ดังนี้ คือ ดงว่าน ม่านขมิ้น วังหน้าผา ฉัตรแก้ว ไหลจนหลง ดงผีเสื้อ และร่มเกล้า ระยะทางรวม 2,270 เมตร นอกจากนี้อุทยานแห่งชาติได้จัดทำเส้นทางศึกษาธรรมชาติของป่าเบญจพรรณและป่าเต็งรัง โดยจะผ่านจุดชมทิวทัศน์ของอ่างเก็บน้ำเขื่อนศรีนครินทร์ ผู้สนใจติดต่อเจ้าหน้าที่ที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว
วันนี้นักท่องเที่ยวค่อนข้างเยอะเลยทีเดียว ต่างคนต่างเริ่มจับจองสถานที่กางเต๊นท์กัน ส่วนผมซึ่งไม่ได้ค้างแรมก็ต้องหาร้านอาหารทานแล้วล่ะครับ เพราะนี่ก็บ่ายคล้อยละ โรคกระเพาะจะถามหาเอา ^^
เราทานอาหารกันที่ศูนย์อาหารของอุทยาน ด้วยความหิวเราสั่งอาหารมากันเยอะมาก ปลาทอด ส้มตำ แกงป่า ไก่ย่าง น้ำตก แต่เราสามคนก็ทานหมด ^^ ยังไม่ทันได้นั่งพัก ผมก็ชักชวนสมาชิกร่วมทริปให้ออกมาเดินเล่นกันซะแล้ว ..
จุดที่จะเข้าชมน้ำตกในรอบนี้ผมขอเน้นน้ำตกชั้นสูงๆ นะครับ (ชั้นล่างๆ เคยเดินมาแล้ว) เราเดินชมตั้งแต่น้ำตกชั้นที่ 4 ขึ้นไปยังชั้นที่ 5 และ Hi-Light คือชั้นที่ 6 ซึ่งผมคิดว่าชั้นที่ 6 นี่แหละคือชั้นที่สวยงามที่สุดของน้ำตกแห่งนี้ .. เวลาบ่าย ไร้นักท่องเที่ยว แสงตะวันสาดส่องลอดเงาไม้มายังตัวน้ำตกที่ไหลเอื่ยๆ ความรู้สึกนี้ มันใช่มาก !!!
เราใช้เวลาที่ชั้น นานมากครับ แต่ก็ใกล้จะเย็นแล้ว เราจำเป็นที่จะต้องออกจากน้ำตกเพื่อกลับที่พักแล้วล่ะ
เราบึ่งรถเพื่อจะย้อนกลับไปยังที่พักที่เราได้จองไว้ ตอนนี้ ยังพอมีเวลา ขอแวะพักผ่อนที่สันเขื่อนศรีนครินทร์สักพักนึงครับ ตอนนี้บ่ายแก่ๆ จากแดดแรงก็เปลี่ยนเป็นแสงสีทองสวยๆ แล้วครับ
ได้เวลาอันสมควรที่เราจะเข้าที่พักกันเสียที เราเดินทางย้อนกลับมาทางเมืองกาญจน์เพื่อเตรียมเข้าที่พักของเราในค่ำคืนนี้ .. เดินทางแค่เพียงอึดใจเดียวก็ถึงแล้วครับ บ้านกกกอด ไม่รอช้า เมื่อเก็บของเข้าที่พักเรียบร้อย เราก็ขอชื่นชมบรรยากาศสวยๆ ของที่นี่กันเลยครับ ใกล้มืดแล้ว แสงกำลังสวย เราเดินไปที่ท่าน้ำเพื่อเก็บภาพประทับใจกันอย่างสนุกสนาน .. บ้างก็นั่งสงบนิ่งฟังเสียงลมหนาวพัดมากระทบกับต้นกก .. มีความสุขและสงบอย่างพิลึก ^^
ตอนนี้มืดแล้ว เราออกเดินทางไปทานอาหารค่ำที่ครัวคุณลุง ร้านอาหารรสเด็ดอยู่หน้าปากซอยทางเข้าบ้านกกกอด เป็นร้านริมแม่น้ำแควที่ราคาอาหาร OK เลยทีเดียว ลมหนาวพัดมาเอื่อยๆ ทำให้หนาวสั่นตอนที่ทานอาหาร (ทรมานแท้ๆ) วันนี้เราสั่งกับข้าวหลายอย่างครับ แต่ที่ติดใจก็คือ ปลาแรกทอดสมุนไพร (กินหมดยันก้างเลยล่ะครับ) เมื่อเรา ทานอาหารเสร็จ เราก็ขับรถอออกไปเที่ยวแถวๆ นี้ อยากรู้ว่าช่วงหัวค่ำ ชาวบ้านแถบนี้มีกิจกรรมอะไรกันบ้าง
สรุปว่าเงียบครับ ไม่มีกิจกรรมอะไรเลย เราจึงตัดสินใจซื้อขนมขบเคี้ยว และ แคนตาลูปข้างทาง มาทานในระหว่างที่นั่งชมดวงดาวกันตรงท่าน้ำครับ (โรแมนติกไหมล่ะ)
เรานั่งชมดาวกันอยู่สักพัก ก็ได้เวลานอนเอาแรงกันแล้วล่ะครับเพราะเหนื่อยกันมาทั้งวัน จะได้รีบตืนมาดูพระอาทิตย์ขึ้นยามเช้าด้วย
เราตื่นมาท่ามกลางความหนาว เช้านี้ดวงอาทิตย์ทำหน้าที่อย่างที่เคย เมื่อบิดขี้เกียจและล้างหน้าล้างตาเรียบร้อย เราก็ชักชวนกันเดินมาที่ท่าน้ำหน้าบ้าน เพื่อชมพระอทิตย์ขึ้นกันครับ
วันนี้ท้องฟ้าเป็นสีส้ม สวยงามและอบอุ่นมากครับ
จากนั้นเราก็ทานอาหารเช้า ที่นี่มีอาหารเช้าให้บริการครับ เราทานอาหารพร้อมกับเล่นกลับสุนัขของที่นี่ มีสามตัว ชื่อ ขนมหวาน ขนมผิง และขนมถ้วยครับ สุนัขที่นี่เชื่องและเป็นมิตรกับแขกมากเลยทีเดียว ^^
สายแล้ว ได้เวลาที่เราจะอาบน้ำแต่งตัวเพื่อที่จะไปยังจุดหมายปลายทางของเราอีกที่สักทีนะ อุทยานแห่งชาติเฉลิมรัตนโกสินทร์ โดยต้องเดินทางไปยังอีกด้านของเขื่อนศรีนครินทร์ครับ เรียกว่าอ้ปมโลกกันเลยทีเดียว
เบื้องต้นเรามารู้จักกับอุทยานอแห่งชาตินี้กันก่อนครับ
อุทยานแห่งชาติเฉลิมรัตนโกสินทร์ ตั้งอยู่ในท้องที่อำเภอศรีสวัสดิ์ จังหวัดกาญจนบุรี เป็นอุทยานแห่งชาติที่มีเนื้อที่ไม่มาก แต่มีสภาพป่าอุดมสมบูรณ์
มีจุดเด่นและธรรมชาติที่สวยงาม เช่น น้ำตก หน้าผา และถ้ำธารลอด ที่นับว่าเป็นสิ่งมหัศจรรย์ที่เกิดจากการยุบตัวของหินปูน ประกอบกับการกัดเซาะของน้ำทำให้เขาหินปูนกลายเป็นสะพานธรรมชาติขนาดมหึมา และมีหลักฐานแสดงถึงด้านประวัติศาสตร์เป็นทางเดินทัพของพม่าและกองทัพญี่ปุ่น
ใช้เวลาสักพักใหญ่ เราก็เดินทางมาถึงกันแล้วล่ะครับ ด้วยความหิว เราตัดสินใจทานอาหารเที่ยงประเภทไก่ย่าง ส้มตำ ข้าวเหนียวกันที่นี่แหละ อากหารอร่อยจนต้องเบิ้ลเลยทีเดียว เมื่อทานอากหารเสร็จ เราก็เริ่มเดินเท้าเข้าเที่ยวชมสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังของอุทยานแห่งนี้กันครับ ซึ่งก็คิอ ถ้ำธารลอดน้อย และถ้ำธารลอดใหญ่
ถ้ำธารลอดน้อยอยู่ห่างจากที่ทำการอุทยานแห่งชาติ 100 เมตร ตัวถ้ำจะมีความยาวประมาณ 300 เมตร
ปากถ้ำกว้างประมาณ 25 เมตร สูงประมาณ 10 เมตร มีธารน้ำไหลลอดใต้ถ้ำ ทำให้บรรยากาศร่มรื่นเย็นสบาย
อุทยานแห่งชาติได้จัดทำระบบไฟฟ้าสำหรับส่องสว่างและทางเดินลัดเลาะไปตามลำห้วยในถ้ำ ภายในถ้ำมีหินงอกหินย้อยปรากฏเป็นรูปต่างๆ ยามเมื่อกระทบกับแสงไฟจะส่องประกายระยิบระยับงามจับตามาก โดยเฉพาะบริเวณกลางโถงถ้ำ ผนังถ้ำด้านขวามือเป็นหินปูนฉาบลักษณะคล้ายน้ำตก สวยงามมาก
ภายในถ้ำยังมี หมาน้ำ หรือเขียดว้าก ซึ่งส่งเสียงร้องคล้ายสุนัข เมื่อเดินทะลุถ้ำธารลอดน้อยแล้ว จะพบกับสภาพป่าที่ร่มรื่น และมีทางเดินต่อไปถ้ำธารลอดใหญ่ ซึ่งมีระยะทางอีกประมาณ 2,200 เมตร
ระหว่างทางเดินไปถ้ำธารลอดใหญ่ ช่วง 1000 เมตรแรกจะเป็นทางเดินสบายๆ ครับ หลังจากนั้นล่ะ เอาเรื่องเลย ต้องปีนป่ายบันไดที่มีความสูงกับภูเขาลูกย่อมๆ ลุยน้ำลุยโคลนนิดหน่อย หลบเลี่ยงต้นไม้บ้างและต้องใช้วิชาตัวเบา หาร่องหินเหมาะๆ ในการถีบตัวขึ้นไปด้านบน
จนมีนาทีนึง ที่ผมบอกตัวเองว่า ไม่ไหวแล้ว .. แต่ก็ได้แรงฮึกมาจากเพื่อนร่วมทริปนั่นแหละครับที่ทำให้เราประสบความสำเร็จได้ ..
ผมใช้เวลาไปร่วม 2 ชั่วโมงเลยทีเดียว กับการเดินขึ้นมาที่ยอดเขา และได้มาเที่ยวชมถ้ำที่สุดยิ่งใหญ่อลังการแห่งนี้
ถ้ำธารลอดใหญ่มีลักษณะคล้ายสะพานหินธรรมชาติ มีความกว้าง 60 เมตร ตัวถ้ำด้านล่างยาว 60 เมตร กว้าง 40 เมตร และสูง 40 เมตร บนเพดานถ้ำมีโพรงขนาดใหญ่ที่แสงแดดส่องลอดเข้ามาในถ้ำได้ ทำให้ภายในถ้ำสว่างและมีต้นไม้ใหญ่ขึ้นอยู่ตามพื้นถ้ำ
ที่ฟากหนึ่งของผนังถ้ำมีภาพเขียนสีรูปพญานาค ซึ่งชาวกะเหรี่ยงเชื่อว่าถ้ำแห่งนี้เคยเป็นที่อยู่ของพญานาค นอกจากนี้แล้วยังมีหลักฐานปรากฏว่าบริเวณนี้เป็นที่ฝังศพของมนุษย์โบราณ
จากการค้นพบโครงกระดูกเป็นจำนวนมาก ปัจจุบันนำไปจัดไว้ให้ชมที่พิพิธภัณฑ์วัตถุโบราณ โครงการพระราชดำริห้วยองคต อำเภอหนองปรือ จังหวัดกาญจนบุรี
เรานั่งเล่น และเดินชมความอลังการที่นี่กันสักพัก พลันก็นึกถึงความยากลพบากในการเดินขึ้นมา ทำให้เราไม่อยากจะเดินลงกันซะแล้ว Y-Y เ วลาก็ใกล้ค่ำแล้วสินะ
.. แต่ก็ทำไงได้ เราเดินลงรวดเดียวออกมาถึงปากถ้ำกันในเวลา 17:00 น. ครับ และตัดสินใจเดินทางออกจากอุทยาน เพื่อเดินทางไปยังจุดมุ่งหมายถัดไปของเราเลย
หมู่บ้านมังกรสวรรค์ ..
เราใช้เวลาประมาณ 2 ชม เลยทีเดียวในการเดินทางมาถึงที่นี่
เส้นทางที่เราเดินทาง รถค่อนข้างเยอะและถนนมืดมากครับเลยใช้เวลาไปพอสมควรเลย
หมู่บ้านมังกรสวรรค์สถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจแห่งใหม่ตั้งอยู่ภายในอุทยานมังกรสวรรค์ (ศาลเจ้าพ่อหลักเมือง) และพิพิธภัณฑ์ลูกหลานพันธุ์มังกร
รูปแบบของหมู่บ้านได้จำลอง "เมืองลีเจียง" ซึ่งเป็นเมืองเก่าแก่โบราณ และมีรูปแบบที่สวยงามจนได้รับแต่งตั้งให้เป็นเมืองมรดกโลก ตั้งอยู่ในสาธาราณรัฐประชาชนจีน
ภายในหมู่บ้านที่ออกแบบได้สวยงามลงตัว เหมือนหนึ่งได้เดินเข้าไปในหมู่บ้านโบราณของเมืองจีน ซึ่งแต่ละหลังก็เป็นสถานที่ที่ให้บริการต่างกันออกไป มีร้านขายสินค้า และของที่ระลึก (ร้านสำเพ็ง) โรงหนัง โรงนวด โรงเตี๊ยม ร้านอาหาร ปฎิมากรรมที่งดงามอย่างเสามังกรฟ้า จากเมืองฉงอู่ สาธาราณรัฐประชาชนจีน และยังขึ้นไปชมวิวได้ 360 องศา บนหอคอยชมวิว ที่จะได้เห็นทิวทัศน์โดยรอบของอุทยานมังกรสวรรค์
เป็นสถานที่ที่เหมาะกับการถ่ายภาพที่หนึ่งของเมืองสุพรรณ และช่วงเวลาเย็นค่ำ นักท่องเที่ยวจะเพลิดเพลินกับน้ำพุและแสงสีที่สวยงามด้วยล่ะครับ
เราปิดทริปที่แสนสนุกแห่งนี้กันที่นี่ และเดินทางกลับเข้าสู่กทม ในเวลาประมาณ 23:00 น. นับเป็นทริปประทับใจที่เกิดจากภาพถ่ายภาพเดียว
ซึ่งภาพๆ นั้นทำให้นึกถึงภาพอีกหลายๆ ภาพที่ได้วนเวียนเข้ามาในชีวิต เอามาร้อยเรียงกันเป็นทริปๆ หนึ่งที่สามารถเป็นไปได้จริง ในเวลาสองวันครับ ^^
- บ้านกกกอด , น้ำตกห้วยแม่ขมิ้น , กินลมชมวิว, หมู่บ้านมังกรสวรรค์ ( ผ่านตาใน Facebook)
- ถ้ำธารลอด (ภาพยนตร์เรื่อง 5 แพร่ง)
ขอบคุณข้อมูลบางส่วน จาก
//www.suphan.biz/Dragonvillage.htm
//www.dnp.go.th/
⁞
งามอย่างกะไม่ใช่ประเทศไทยค่ะ
เห็นแล้วอยากตามเที่ยว สวย