เราขับรถออกมาจากไร่แสงอรุณได้สักพัก ประมาณ 1 ชั่วโมง .. ก็เดินทางถึงเชียงแสนแล้วล่ะครับ
... หันมองนาฬิกา ยังไม่เที่ยงเลย จึงขอแวะเข้าไปเที่ยวชมวัดนี้ก่อนครับ "วัดพระธาตุผาเงา"
พเข้าไปในบริเวณวัด เหลือบไปเห็นทางขึ้นไปนมัสการพระบรมสารีริกธาตุ ... ไม่รอช้า จึงขับรถขึ้นไปทันทีครับ .. เส้นทางดีแต่ค่อนข้างชันและหวาดเสียวนะครับ
ระหว่างทาง มีพระอุโบสถไม้สักทองให้เข้าไปไหว้พระกันด้วยนะครับ สวยงามมากจริงๆ
ลวดลายแกะสลักงดงามมากครับ
"วัดพระธาตุผาเงา" ตั้งอยู่บนฝั่งแม่น้ำโขงทางด้านทิศตะวันตก ตรงกันข้ามกับประเทศลาว อยู่ห่างจากสามเหลี่ยมทองคำประมาณ ๑๕ กม.
ชื่อของวัดนี้มาจากชื่อของพระธาตุผาเงาที่ตั้งอยู่บนยอดหินก้อนใหญ่ คำว่าผาเงาก็คือ เงาของก้อนผา (ก้อนหิน)
หินก้อนนี้มีลักษณะสูงใหญ่คล้ายรูปทรงเจดีย์และทำให้ร่มเงาได้ดีมาก ชาวบ้านจึงตั้งชื่อว่า พระธาตุผาเงา"
วัดพระธาตุผาเงามีโบราณวัตถุ-สถานที่สำคัญหลายประการเช่น พระพุทธรูปหลวงพ่อผาเงา ศิลปะสมัยเชียงแสน อายุประมาณ ๗๐๐-๑,๓๐๐ ปี,
พระธาตุผาเงา เป็นพระธาตุองค์เล็กทรงแปดเหลี่ยม ศิลปะล้านนา, วิหารหลวงพ่อผาเงา, อุโบสถ, พระธาตุจอมจัน, พระบรมธาตุพุทธนิมิตเจดีย์,
หอพระไตรปิฎกเฉลิมพระเกียรติ, บันไดนาค, ซุ้มประตูโขง และพิพิธภัณฑ์ผ้าทอล้านนาเชียงแสน
เห็นวิวแม่น้ำโขง และประเทศลาวด้วยครับ
พระอุโบสถวัดพระธาตุผาเงา เป็นสถาปัตยกรรมล้านนาสร้างด้วยคอนกรีตเสริมเหล็กตกแต่งด้วยไม้สักแกะสลัก และลวดลายปูนปั้นในศิลปะแบบล้านนา
ท่านผู้หญิงอุศนา ปราโมช ณ อยุธยา เป็นประธานกรรมการก่อสร้างอุโบสถเพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่สมเด็จพระเทพ รัตนราชสุดาาฯ สยามบรมราชกุมารี
และได้เสด็จฯ ทรงเป็น ประธานพิธีถวายอุโบสถ เมื่อวันที่ ๖ มกราคม ๒๕๔๗
อีกทั้งได้พระราชทานพระราชานุญาตอัญเชิญอักษรพระนามาภิไธย่อ สธ ประดิษฐาน หน้าบันอุโบสถด้วย
เรายังได้ขึ้นไปเยี่ยมชม พระบรมธาตุพุทธนิมิตเจดีย์ ซึ่งเป็นจุดที่สูงที่สุดของวัดด้วย ... วิวสวยทีเดียวครับ เห็นได้กว้างไกลมาก
พระบรมธาตุพุทธนิมิตเจดีย์ สร้างขึ้นด้วยความจงรักภักดีในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และ น้อมเกล้าน้อมกระหม่อม
ถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยสร้างครอบพระธาตุเจ็ดยอดซึ่งเป็น พระธาตุเก่า
ภายในมีภาพเขียนฝาผนังพุทธประวัติ และพระราชประวัติพระนางจามเทวี
ถ่ายที่จุดชมวิว 3 ประเทศ ไทย - ลาว - พม่า
หลังจากนั้นเราก็ลงมาด้านล่างกันครับ ที่นี่ยังมีอะไรให้ชมอีกมากมาย รวมทั้งหอพระไตรปิฎกซึ่งสวยงามมากเลยครับ ..
เกิดมา ผมก็เพิ่งจะเคยเข้าไปภายในหอพระไตรปิฎก วัดนี้เป็นที่แรกเลยล่ะ..
หอพระไตรปิฏกเฉลิมพระเกียรติ ๘๐ พรรษา ๕ ธันวาคม ๒๕๕๐ ตัวเรือนสร้างด้วยไม้สักทองทั้งหลัง เพื่อเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
เนื่องในวโรกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๘๐ พรรษา ๕ ธันวาคม ๒๕๕๐
หอพระไตรปิฏกเฉลิมพระเกียรติ ๘๐ พรรษา ๕ ธันวาคม ๒๕๕๐ ยังเป็นที่ เก็บรวบรวมพระไตรปิฏกนานาชาติ ของพระพุทธศาสนา ๙ ประเทศ ๙ ภาษา
อนาคตต่อไปจะเป็นแหล่งค้นคว้าของพุทธศาสนิกชนสืบไป
ตู้พระไต่ปิฎกของแต่ละชนชาติ จะมีลักษณะแตกต่างกันไปตามเอกลักษณ์ของประเทศนั้นๆ ครับ สวยงามมากเลย
ได้เวลาทานข้าวแล้ว แต่ผมไม่ได้ศึกษาถึงแหล่งทานอาหารของเชียงแสนเลย จึงตัดสินใจนั่งทานและชมวิวกันที่ศูนย์อาหารครับ .. วิวสวยอีกแล้ว
นั่งทานอาหารที่นี่ก็ได้บรรยากาศดีครับ มีเรือของหลายสัญชาติเลยจอดอยู่ริมตลิ่ง ไม่รู้ว่าขับมาจากไหนกันบ้าง .. การค้าที่นี่คงจะครึกครื้นดีนะ ^^
พระบรมธาตุพุทธนิมิตเจดีย์ ที่ไปมาเมื่อสักครู่นี้ครับ
เมื่อทานข้าวกันอิ่มแล้ว คราวนี้ก็มาถึง Hi-Light ช่วงบ่ายซึ่งเป็นสถานที่ที่อยากจะไปมาก คือผมอยากจะเห็นร่องรอยอารยธรรมของเชียงแสนน่ะครับ ^^
ซึ่งตอนนี้ก็มีสถานที่ในใจอยู่ 2 แห่งคือวัดเจดีย์หลวง และวัดต้นสน
หาไม่เจอสักที่ ^^ ปรากฎว่าหลงครับ GPS จากมือถือเน่ามากมาย กว่าจะถึวัดเจดีย์หลวงก็เสียเวลาไปเยอะเลย Y-Y
ในที่สุดก็เดินทางมาถึงวัดเจดีย์หลวงแล้วครับ สวยงามยิ่งใหญ่สมคำร่ำลือเลยครับ ^^
วัดเจดีย์หลวง เดิมสันนิษฐานว่าคือ วัดพระหลวง เป็นวัดสำคัญที่สุดวัดหนึ่ง ในเมืองโบราณเชียงแสน พระเจ้าแสนภู พระราชนัดดาของพญามังราย
สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 1887 ภายในวัดมีเจดีย์องค์ใหญ่สูง 88 ม. ตั้งอยู่บนฐานกว้าง 24 ม. ถือเป็นเจดีย์ทรงระฆังล้านนาที่ใหญ่ที่สุดในเชียงแสน
ด้านทิศตะวันออกมีซากวิหารเก่าแก่ ประดิษฐานพระประธานขนาดใหญ่ที่ได้รับการขุดแต่งแล้ว นอกจากนี้ยังมีเจดีย์ราย ขนาดเล็กอีกสี่องค์
พญาแสนภูผู้สถาปนาเมืองเชียงแสน ให้เป็นศูนย์กลางอาณาจักรล้านนาตอนบน และเป็นผู้สถาปนาวัดเจดีย์หลวงแห่งนี้
พระองค์ได้ประทับอยู่ที่นี่กับพระนางชิบคำ พระมเหสี ได้เพียง 7 ปี ก็ถึงแก่พราลัย ในปี พ.ศ. 1877 สิริพระชมมายุได้ 60 พรรษา
ใกล้ๆ กับวัดเจดีย์หลวง ยังมีวัดสำคัญอีกวัดหนึ่งซึ่งสวยงามมากครับ "วัดป่าสัก"
เจอนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติกำลังเข้ามาเที่ยวชม พอดีครับ (นักท่องเที่ยวคนไทยหายไปไหนหมดนะ !!)
.ตามตำนานเมืองเชียงแสน พระเจ้าแสนภู เจ้าเมืองเชียงแสนได้รับพระบรมสารีริกธาตุจากพระพุทธโฆษาจารย์เมื่อ พ.ศ. 1838
จึงโปรดให้สร้างพระอารามและพระเจดีย์เพื่อบรรจุ พระบรมสารีริกธาตุ พร้อมกับปลูกต้นสักล้อมรอบ 300 ต้น จึงเรียกว่าวัดป่าสัก
(ผมไม่แน่ใจว่าต้นสักที่นี่ มันเป็นต้นสักสมัยไหนกันนะ ต้นยังไม่ใหญ่ขนาดที่จะเป็นต้นไม้ที่มีอายุหลายร้อยปี )
ภายในพื้นที่ 16 ไร่ ร่มรื่นไปด้วยต้นสักใหญ่ มีซากโบราณสถานกระจายอยู่รวม 22 จุด
ประกอบด้วยซากเจดีย์และวิหารวางตัวในแนว เหนือ-ใต้ โดยมีสิ่งที่โดดเด่น คือ เจดีย์วัดป่าสักเป็นเจดีย์ทรงมณฑป ตกแต่งลวดลายปูนปั้นอย่างวิจิตร
ถือกันว่าเป็นฝีมือช่างชั้นครู ได้รับอิทธิพลจากแคว้นหริภุญไชย หรือเมืองลำพูนโดยส่วนฐานได้อิทธิพลมาจากเจดีย์กู่กุด
และส่วนมณฑปได้รับอิทธิพรากเจดีย์ เชียงยัน จ. ลำพูน มีการตกแต่งซุ้มฝักเพกาด้วยลายประจำยามลายหน้ากาลตัวมกรแบบพุกาม
ประติมากรรมรูปมารแบบแบบชวาหรือทวารวดี ส่วนรูปเทวดาและพระพุทธรูปแบบต่างๆนั้นเป็นลักษณะเฉพาะของท้องถิ่น
ในส่วนของโบราณสถานนั้นแนะยำให้มาดูกันเครับ เพราะค่อนข้างมี detail ที่สวยงามมากกล้องจะเก็บได้ไม่หมด ^^ คุ้มค่าแก่การเข้ามาเที่ยวชมครับ
ปล. วัดป่าสักนั้น นักท่องเที่ยวจะต้องเสียค่าเข้าชม เป็นจำนวนเงิน 10 บาทครับ
บ่าย 3 แล้ว ได้เวลาที่เราจะต้องกลับเข้าเมืองเชียงรายแล้วล่ะครับ ^^
เราออกเดินทางจากเชียงแสน ใกล้ถึงเมืองเชียงรายแล้วเหลือบไปเห็นป้าย "มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง" ซึ่งได้รับการ confirm ว่าเป็นมหาวิทยาลัยรัฐ ที่สวยที่สุดในประเทศ ^^
ไม่รอช้า .. เลี้ยวรถเข้าไปเที่ยวชมเลยครับ เห็นแค่ตึกมหาวิทยาลัยก็เชื่อแล้วว่า ^^ สวยงามจริงๆ
มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง เป็นสถาบันอุดมศึกษาในกำกับของรัฐบาลตั้งอยู่ที่จังหวัดเชียงราย ก่อตั้งเมื่อวันที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2541
ภายหลังการเรียกร้องของชาวจังหวัดเชียงรายที่ต้องการมีมหาวิทยาลัยในท้องถิ่น และเพื่อเป็นการระลึกถึงสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี
จึงได้มีการจัดสร้างมหาวิทยาลัยขึ้นและใช้พระราชสมัญญา "แม่ฟ้าหลวง" เป็นชื่อมหาวิทยาลัย
และนอกจากนี้ ยังมีโอกาสเข้าไปเที่ยวชมศูนย์ภาษาและวัฒนธรรมจีนสิรินธร ซึ่งก็เป็นอีกแห่งที่ขึ้นชื่อในเรื่องของความสวยงามด้วยครับ
ที่นี่เสียค่าเข้าชมท่านละ 10 บาทเท่านั้น เทียบกับประสบการณ์และความสวยงามที่ได้พบเจอ นับว่าคุ้มหลาย ^^
ประวัติของศูนย์ภาษาและวัฒนธรรมจีนสิรินธร เมื่อเดือนมีนาคม พุทธศักราช 2542 คณะรัฐบาลประเทศไทยเสนอให้รัฐบาลประเทศจีนจัดตั้ง ศูนย์ภาษาและวัฒนธรรมจีน
ณ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองวันคล้ายวันพระราชสมภพของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ครบรอบ 100 ปี ในปี พุทธศักราช 2543
รัฐบาลจีนได้ให้ความเห็นชอบในการจัดตั้งศูนย์ภาษาและวัฒนธรรมจีน ณ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง โดยยินดีให้ความช่วยเหลือแบบให้เปล่า
และยังสนับสนุนจัดหาอุปกรณ์ในการเรียนการสอนพร้อมหนังสือตำรา เอกสารประกอบการสอนต่าง ๆ
เพื่อให้มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงใช้ในการเรียนการสอนภาษาจีนอย่างมีประสิทธิภาพ
การก่อสร้าง ศูนย์ภาษาและวัฒนธรรมจีน ได้ยึดเอาศิลปะและสถาปัตยกรรมแบบ ซูโจว
เป็นโครงสร้างของอาคาร โดยมีกำแพงล้อมรอบตัวอาคารทั้งหมดสี่ด้าน ภายในประกอบด้วยสวนหิน และสระบัว ศาลาดูปลา ที่สร้างตามแบบดั้งเดิมของจีน
การก่อสร้างศูนย์ภาษาและวัฒนธรรมจีนแห่งนี้ ได้นำเอาวัสดุการก่อสร้างที่สำคัญบางส่วนมาจากประเทศจีน เช่น ปูนปั้นมังกร หลังคา ครอบเชิงชาย
สิงโตคู่ บัวเสา ตลอดจนรูปแบบศิลปะแบบจีน ประตูวงพระจันทร์ หน้าต่างหกเหลี่ยม ประตูและหน้าต่างลวดลายจีน
ได้เวลา 17:00 น. แล้วครับ ผมจำต้องจากมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงไปแต่เพียงเท่านี้เพราะว่านัดทาง AVIS ไว้เวลา 18:00 น.
นับว่าจบไปได้ด้วยดีครับ สำหรับทริป 31 ชั่วโมงของผม ถือว่าเป็นโจทย์ที่ท้าทายความสามารถของเราแบบเล็กๆ สนุกไปอีกแบบ
หากใครมาท่องเที่ยวเชียงรายแล้วได้แวะมาอ่าน Blog ผม คงจะมี idea เพิ่มเติมในการวางแผนทริปเที่ยวเชียงรายชิลๆ แบบไม่ต้องขึ้นดอยสูงกันครับ ^^
:ขอบคุณข้อมูลจาก:
//ancientcitycr.wordpress.com/
//th.wikipedia.org