|
|
 |
| | 1 |
| 2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 |
| 9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14 | 15 |
| 16 | 17 | 18 | 19 | 20 | 21 | 22 |
| 23 | 24 | 25 | 26 | 27 | 28 | 29 |
| 30 | |
|
|
 |
13 พฤศจิกายน 2568
|
|
|
|
|
|
ช่องเย็น : นกกระจ้อยคอขาว

จากที่ทำการฯ ผ่านด่านป่าไม้ขึ้นไปยังช่องเย็นมีระยะทาง 28 กมแต่ขึ้นไปได้ในช่วงเวลาหนึ่ง รถตู้ก็จอดเพื่อให้ลงไปดูนกข้างทาง ถนนข้างหนึ่งเป็นป่าที่จะติดภูเขา ส่วนถนนอีกข้างเป็นเหวลึกลงไป มีสิ่งที่เรียกว่าเวฟนก ที่หมายถึงช่วงที่กลุ่มนกหลายชนิดบินผ่าน มันก็จะยากๆ ในการติดตาม ที่เราถ่ายภาพทันมีเพียงนกกระจ้อยคอขาว(Yellow-bellied Warbler) พบได้ตามป่าดิบโดยเฉพาะบริเวณที่มีไผ่ ทั่วทุกภาคในประเทศไทย ตั้งแต่ที่ราบจนถึงบนภูเขา (ยกเว้นที่ราบลุ่ม) คิ้วขาวยาวชัดเจนตัดกับหัวสีเทาและแถบตาสีคล้ำ คอและอกขาว ท้องเหลืองเด่นชัด ลำตัวด้านบนเขียวแกมเหลือง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Abroscopus superciliaris ตั้งชื่อโดย Edward Blyth นักสัตววิทยาชาวอังกฤษ ในปี 1859 ตีพิมพ์ในวารสาร Proceeding of the Asiatic SocietyVol. 4 หน้า 214 ซึ่งเป็นตัวอย่างที่เก็บมาจากเขตตะนาวศรี โดย Samuel Tickell จากป่า woods of Teewap'hado ที่ความสูง 1,100 เมตร ซึ่งปัจจุบันไม่ทราบว่าคือสถานที่ไหน เราเคยได้ยินชื่อ Blyth มาหลายครั้ง จากการตั้งชื่อนกหลายชนิด แม้กระทั่งนกที่หลายคนชอบอย่าง Blyth’s paradise flycatcher กล่าวได้ว่า เขาเป็นบิดาของการศึกษานกในอนุทวีปอินเดียเลยทีเดียว

เอ็ดเวิร์ด ไบลธ์ เป็นบุตรชายของช่างตัดเสื้อ เกิดที่กรุงลอนดอน เมื่อ 23 ธันวาคม ค.ศ. 1810 เมื่ออายุได้ 10 ปี มารดาก็ส่งไปเข้าโรงเรียนที่วิมเบิลดัน ปี 1825 เข้าเรียนด้านเคมีแต่ไม่ชอบ จึงลาออกไปเป็นเภสัชกรที่เมืองทูตติ้ง ปี 1837 ก็ลาออกมาเป็นนักเขียนและบรรณาธิการหนังสือ ปี 1841 ได้รับข้อเสนอให้มาเป็นภัณฑารักษ์ที่ Asiatic Society ที่เบงกอล เขายากจนมาก กระทั่งต้องเบิกเงินล่วงหน้า 100 ปอนด์ จากรายได้ 300 ปอนด์ต่อปี เพื่อเป็นค่าเดินทางมายังอินเดีย ซึ่งเงินเดือนนี้ไม่เคยเปลี่ยนแปลงตลอด 20 กว่าปี ที่เขาทำงาน ในขณะที่ต้องต้องเสียค่าเช่าบ้าน ถึงเดือนละ 4 ปอนด์ ภัณฑารักษ์มีหน้าที่ในการจัดทำบัญชีสิ่งของในพิพิธภัณฑ์ซึ่งอยู่มีมากมาย แต่ผ่านไปจนถึงปี 1847 รายการบัญชี ก็ยังจัดทำไม่สำเร็จ จนถูกร้องเรียนไปที่ลอนดอนและเกือบถูกเลิกจ้าง เหตุผลนั้นก็คือ เขาให้ความสนใจในด้านปักษีวิทยา มากกว่าการทำงานประจำ การสนใจในงานวิจัยด้านนกของเขา ยังสร้างความขัดแย้งกับ George Robert Gray ผู้ดูแลงานสัตววิทยาของ British museum ในปี 1848 ไบลธ์กล่าวหาว่า เกรย์ไม่ให้ความร่วมมือ ในการเข้าถึงข้อมูลที่จำเป็น ที่ต้องใช้ในการทำอนุกรรมวิธาน ตัวอย่างนกในอินเดีย ที่เขาได้รับจากผู้ที่ออกภาคสนาม
แต่ข้อร้องเรียนนี้ถูกปัดตกไป เพราะเกรย์ได้รับการสนับสนุน จากนักวิชาการหลายคนในลอนดอน รวมถึงชาลส์ ดาร์วินด้วย ไบลธ์แต่งงานกับหญิงม่ายในปี 1854 แต่เธอก็เสียชีวิตลงในปี 1857 หลังจากนั้นสุขภาพของเขาก็ค่อยๆ ทรุดโทรมลง
ปี 1863 ไบลธ์เดินทางกลับอังกฤษเพื่อรักษาตัว โดยยังคงได้รับเงินเดือนเต็มปี แต่นั่นยังไม่เพียงพอ นอกจากยืมเงินคนอื่น ยังต้องยึดอาชีพเสริมตอนที่เขาทำงานที่เบงกอล นั่นคือการค้าสัตว์ระหว่างอินเดียกับอังกฤษ ปี 1865 เขาช่วย Thomas Jerdon ในการเขียนหนังสือ The Birds of India ไบลธ์ได้เป็นสมาชิกผู้แทน (correspond member) ของสมาคมสัตววิทยาแห่งลอนดอน และเป็นสมาชิกพิเศษ (extraordinary member) ของสหภาพปักษีวิทยาอังกฤษ
ในช่วงบั้นปลายเขามีปัญหาด้านสุขภาพจิตและติดสุราอย่างหนัก จนต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลจิตเวช นอกจากนี้ยังเคยถูกจับในข้อหาทำร้ายคนขับรถม้า เขาเสียชีวิตด้วยโรคหัวใจเมื่อวันที่ 27 ธันวาคม ค.ศ. 1873

ย้อนกลับไปในขณะที่ไบลธ์ยังทำงานในร้านขายยา เขายังเป็นนักเขียนอิสระ ปี 1835 ถึง 1837 ได้ตีพิมพ์บทความ 3 เรื่อง ลงในวารสาร Louden's Magazine of Natural History โดยเรื่องแรกนั้นชื่อ An attempt to classify the 'varieties'of animals, with observations on the marked seasonal and other changes which naturally take place, and also on the principal forms of domesticated animals อธิบายเกี่ยวกับความแปรผันของสิ่งมีชีวิต (variation) ที่แยกได้เป็น 4 แบบ
1. ความแปรผันอย่างง่าย (simple variations) หรือความแตกต่างเพียงเล็กน้อยระดับปัจเจก ที่แตกต่างกันเพียงในระดับ (degree) เท่านั้น พูดง่ายๆ ว่าสัตว์ชนิดเดียวกัน มีหน้าตาที่ไม่เหมือนกัน 100% 2. ความแปรผันที่เกิดขึ้นภายหลัง (acquired variations) ที่ส่งผลให้สิ่งมีชีวิตเปลี่ยนแปลงรูปร่าง สีสัน หรือพฤติกรรม ไปจากสภาพเดิม โดยไม่ใช่เพราะลักษณะทางพันธุกรรมโดยตรง เช่น สัตว์ที่อยู่ในสภาพอากาศที่หนาวเย็น อาจมีขนหนาและยาวกว่า ขณะที่ชนิดเดียวกันในเขตอบอุ่น กลับมีขนสั้นและหยาบกว่า เมื่อสิ่งแวดล้อมเปลี่ยนไป เช่น จากการย้ายถิ่นหรือการเลี้ยงดูที่แตกต่าง ลักษณะเหล่านี้ก็มักจะค่อย ๆ ปรับกลับ ไปตามสภาพใหม่ หมายความว่าความแปรผันนี้ ไม่ถ่ายทอดต่อทางพันธุกรรมโดยถาวร แม้ว่าจะคงอยู่ได้ชั่วระยะเวลาหนึ่ง ในสัตว์ที่เกิดในสภาพนั้นก็ตาม 3. สายพันธุ์ (breeds) หมายถึง กลุ่มของสัตว์ชนิดเดียวกัน ที่ได้รับการคัดเลือกหรือผสมพันธุ์โดยมนุษย์ เพื่อเน้นลักษณะบางอย่างเช่น ขนาด สี รูปร่าง หรือความสามารถเฉพาะตัว ลักษณะของสายพันธุ์มีความคงที่มากกว่าความแปรผันที่เกิดภายหลัง และสามารถถ่ายทอดต่อไปยังรุ่นลูกได้เช่น สุนัขหรือม้าสายพันธุ์เฉพาะ ซึ่งแม้จะมีลักษณะต่างกันอย่างชัดเจน แต่ทั้งหมดก็ยังเป็นชนิดเดียวกัน การสร้างสายพันธุ์จึงเป็นการแทรกแซงโดยมนุษย์ ไม่ใช่โดยธรรมชาติ 4. ความหลากแท้จริง (true varieties) หมายถึง ความแตกต่างที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ และสามารถสืบทอดได้อย่างมั่นคงในรุ่นต่อไป โดยไม่จำเป็นต้องมีการคัดเลือกหรืออิทธิพลจากมนุษย์ ตัวอย่างเช่น ชนิดย่อยของนกในพื้นที่ต่าง ๆ ของเกาะอังกฤษ ที่มีสีหรือขนาดแตกต่างกันไปเพียงเล็กน้อยจากชนิดหลัก เมื่อเวลาผ่านไปนานพอ ความหลากหลายแท้จริงนี้ มักเป็นจุดเริ่มต้นของสิ่งที่อาจกลายเป็นสิ่งมีชีวิตชนิดใหม่ (new species) และประชากรที่แตกต่างไปนี้จะไม่สามารถกลับมาผสมพันธุ์กันได้อีก นี่คือบทความที่ออกมาก่อนหน้า On the Origin of Species ของ Charles Darwin มากกว่า 20 ปี แต่ก็เป็นเพียงการอธิบายสิ่งที่ทุกคนในสมัยนั้นน่าจะทราบแล้ว จุดประสงค์ของบทความนี้จริงๆ ก็เพียงเพื่อจะสร้างความเข้าใจ ว่าเมื่อใดที่เราควรจะกำหนดให้สัตว์ตัวนั้นถือเป็น new species ชาร์ล ดาร์วิน เกิดในปี 1810 ในครอบครัวที่มีฐานะร่ำรวยและมีชื่อเสียง มีโอกาสได้เข้าโรงเรียนแพทย์ แต่เขาไม่ชอบจึงลาออกเมื่อหลังจบปีสอง ปี 1831 ครอบครัวฝากเขาขึ้นเรือหลวงบีเกิลที่ออกเดินสำรวจโลก นั่นเป็นจุดที่ทำให้เขาเข้ามาสนใจถึงความแตกต่างของสิ่งมีชีวิตหนึ่งในนักวิชาการที่เขียนจดหมายพูดคุยเรื่องนี้คือ Alfred Russell Wallaceซึ่งได้ออกสำรวจภาคสนามมายังคาบสมุทรมาลายาในช่วงปี 1854-1864กุมภาพันธ์ 1855 บทความเรื่อง On the Law which has regulated the introduction of Species ของวอลลเลซลงตีพิมพ์ใน The Annual and Magazine ofNatural History; zoology, botany, and geology.กุมภาพันธ์ 1855 ดาร์วิน เขียนจดหมายถึงไบลธ์ เพื่อขอข้อมูลเรื่องความแปรผันของสัตว์เลี้ยงในประเทศต่าง ๆ ซึ่งไบลธ์ตอบกลับด้วยความยินดี และทั้งสองได้ติดต่อกันอย่างต่อเนื่อง ไบลธ์เป็นคนแรก ๆ ที่ตระหนักถึงความสำคัญของบทความที่วอลเลซเขียนดังจดหมายที่ส่งถึงดาร์วินเมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 1855 กล่าวว่า คุณคิดยังไงกับบทความของวอลเลซ ผมว่าดีมาก เขาอธิบายไว้ได้เหมาะสมทีเดียว และจากทฤษฎีของเขา ดูเหมือนว่าสายพันธุ์สัตว์เลี้ยงในบ้านหลายชนิดได้พัฒนาเป็นสปีชีส์จริง ๆ เป็นข้อเท็จจริงที่ยอดเยี่ยมมาก ที่เพื่อนวอลเลซจะค้นพบได้! ดาร์วิน และวอลเลซ ได้ส่งบทความมายัง Linnean Society of London เนื่องจากทั้งสองบทความมีความใกล้เคียงกันเกี่ยวกับ theory of evolution by natural selection จึงถูกตีพิมพ์พร้อมกันลงใน Proceedings of the Linnean Society : Zoology เมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม 184824 พฤศจิกายน 1859 ดาร์วินตีออกหนังสือ On the Origin of Species ซึ่งดาร์วินเองก็ให้ความเคารพต่อไบลธ์อย่างมาก โดยในบทแรกของหนังสือ เขาเขียนว่า “มิสเตอร์ไบลธ์ ผู้ซึ่งมีความรู้กว้างขวางและหลากหลาย ความเห็นของเขามีค่ายิ่งกว่าผู้ใด”ปี 1859 วอลเลซค้นพบความแตกต่างระหว่างเขตทางชีวภูมิศาสตร์ ระหว่างหมู่เกาะมาเลย์ กับหมู่เกาะอินโด-ออสเตรเลีย ว่าแม้จะมีระยะทางที่ไม่ห่างกันนัก แต่สัตว์ที่พบในภูมิภาคหนึ่ง จะไม่พบในอีกภูมิภาคหนึ่ง และสัตว์ที่พบนั้นแตกต่างกันอย่างชัดเจน ปัจจุบันเรียกว่า Wallace line การค้นพบนี้ ทำให้วอลเลซเป็นหนึ่ง ในรายชื่อของคนที่เชื่อว่า อาจค้นพบทฤษฏีวิวัฒนการก่อนชาลส์ ดาร์วิน) ใครคือผู้ที่ค้นพบทฤษฎีวิวัฒนาการ ?คนทั่วไปอย่างเราคงตอบว่า ชาลส์ ดาร์วิน แต่สำหรับนักวิชาการ คำถามนี้ยังคงเป็นที่ถกเถียง ในปี 1911 Vickers, H.M. ได้เขียนบทความ An Apparently hitherto Unnoticed "Anticipation" of the Theory of Natural Selection" ลงในวารสาร Nature
โดยพยายามชื้ให้เห็นว่าไบลธ์ อาจจะเป็นผู้ที่พบทฤษฏีวิวัฒนาการก่อนดาร์วิน เช่น อธิบายการกำเนิดของสายพันธุ์โดย artificial selection ที่กระทำโดยมนุษย์ เป็นต้น
ผู้ที่เกาะติดเรื่องมากที่สุดคงจะเป็น Loren Eiseley ที่ตีพิมพ์หลายบทความ อย่างยาวนาน จนในที่สุดก็รวบรวมพิมพ์ออกมาเป็นหนังสือได้ในปี 1979 สองปีหลังจากที่เขาเสียชีวิตลง Darwin and the Mysterious Mr. X : New Light on the Evolutionists ตัวอย่างเช่น พบว่ามีคำศัพท์หลายคำในหนังสือของดาร์วิน ที่ถูกใช้โดยไบลธ์มาก่อน โดยที่คำเหล่านั้น ไม่ได้เป็นคำที่แพร่หลายในวงวิชาการในเวลานั้น เป็นไปได้หรือไม่ว่า บทความของไบลธ์คือแรงบันดาลใจของดาร์วิน
แต่การค้นพบบันทึกสมุดบันทึกของดาร์วินในภายหลัง ก็ได้หักล้างข้ออ้างนี้ นักวิชาการอย่าง Ernst Mayr และ Cyril Darlington วิเคราะห์ว่า ทั้งสองคนมีคิดแนวทางต่างกัน แนวคิดของไบลธ์เป็นการคัดทิ้ง (elimination) กล่าวคือ ไบลธ์มองว่าธรรมชาติทำหน้าที่กำจัดสิ่งที่ผิดปกติ เพื่อคงต้นแบบ (type) ที่สมบูรณ์ของสิ่งมีชีวิตไว้
ซึ่งเป็นความคิดแบบนักเทววิทยาธรรมชาติ (์Natural Theologian) ที่ใช้หลักฐานเชิงประจักษ์คือธรรมชาติเป็นข้ออธิบายว่า เพราะสิ่งมีชีวิตนั้นมีความซับซ้อน หลากหลายเกินกว่าที่ใครจะสร้างขึ้นมาได้ ดังนั้นมีเพียงสิ่งเดียวที่จะทำเช่นนี้ได้ นั่นก็คือ พระเจ้า
ในขณะที่ดาร์วินเป็นคนแรกที่มองว่า ธรรมชาติต่างหากที่เป็นผู้คัดเลือก (selection) สิ่งที่เหมาะสม เพื่อสร้างทิศทางการเปลี่ยนแปลงของสิ่งมีชีวิต ซึ่งเป็นรากฐานของทฤษฎีวิวัฒนการ ที่ได้รับการยอมรับกันในปัจจุบัน
| Create Date : 13 พฤศจิกายน 2568 |
|
2 comments |
| Last Update : 14 พฤศจิกายน 2568 12:59:11 น. |
| Counter : 106 Pageviews. |
 |
|
|
| | |
โดย: หอมกร 13 พฤศจิกายน 2568 17:09:41 น. |
|
|
|
| |
|
BlogGang Popular Award#21
|
 |
ผู้ชายในสายลมหนาว |
|
 |
|
|
|