 |
24 พฤศจิกายน 2568
|
|
|
|
|
|
ช่องเย็น : นกปรอดภูเขา

กลับขึ้นรถนั่งไปยังจุดชมวิวขุนน้ำเย็น เพื่อรับประทานอาหารกลางวัน หลังจากนั้นก็เดินดูนกรอบๆ พบนกปลีกล้วยลาย ก็ถ่ายไปงั้นๆ เพราะเมื่อวานเราถ่ายมาได้แล้ว ช่วงนี้ได้นกใหม่มา 1 ตัว นั่นคือ นกปรอดภูเขา เป็นนกธรรมดา สำหรับคนที่เคยมาถ่ายนกตามภูเขา เป็นหนึ่งในนกปรอดที่พบในเมืองไทยราว 30 ชนิด มีชื่อภาษาอังกฤษตรงตัวว่า mountain bulbulปากสีดำค่อนข้างเรียว หัวสีน้ำตาล ชอบพองขนจนหัวฟู หน้าสีเทา ใต้คอมีขนสีขาว ขนคลุมหูและข้างคอสีน้ำตาลแกมส้ม อกสีน้ำตาล ท้องขาว หลังสีเขียวอมเหลืองเข้มโดดเด่น อาศัยอยู่ตามป่าดิบเขา ชายป่า ตั้งแต่ระดับความสูง 800-2,000 เมตร มักหากินเป็นฝูง ส่งเสียงร้อง จิ๊บ-จิ๊บ เหมือนเสียงของลูกเจี๊ยบ
กระจายตัวตั้งแต่แนวเขาหิมาลัย เรื่อยมายัง พม่า จีน อินโดไชนา และมาเลเซีย เดิมมีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Hypsipetes mcclellandii โดย Thomas Horsfield ในปี 1840 ตามชื่อของ John McCelland ศัลยแพทย์ของบริษัทบริติชอีสต์อินเดีย จากตัวอย่างที่ได้จากรัฐอัสสัม
ปัจจุบันย้ายมาอยู่สกุล Ixos แบ่งเป็น 9 ชนิดย่อย โดยชนิดย่อยหลักคือ I. m. mcclellandii พบในเทือกเขาหิมาลัยตะวันออก ไปจนถึงเขตภูเขาทางตะวันตกของพม่า
ในประเทศไทยพบ 2 ชนิดย่อย คือ I. m. tickelli ตั้งชื่อโดย Blyth ในปี 1855 พบทางตะวันออกของพม่า จนถึงตะวันตกเฉียงเหนือของไทย ชนิดย่อยนี้ขนตรงคอออกสีน้ำตาลอ่อนกว่าชนิดย่อยหลัก และชนิดย่อย I. m. Ioquax ตั้งชื่อโดย H.G. Deiignan ในปี 1940 พบได้ทางภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย และที่ราบสูงโบโลเวนทางภาคใต้ของลาว
สกุล Ixos ซึ่งเป็นสกุลที่เก่าแก่ ตั้งชื่อโดยนักสัตววิทยาชาวดัชต์ Coenraad Jacob Temminck ในปี 1825 เป็นภาษากรีกโบราณ หมายถึง mistletoe ซึ่งเป็นพืชกึ่งกาฝากในประเทศเขตเมืองหนาว มีมากกว่า 1,500 สายพันธุ์ เพราะสามารถสังเคราะห์แสงได้เอง พึ่งพาอาหารเพียงบางส่วนจากต้นไม้ใหญ่ ที่มันอาศัยเกาะเกี่ยวอยู่ มันจึงมีสีเขียวแม้จะอยู่ในช่วงฤดูหนาว ดังนั้นชาวเคลต์ (celts)ในวัฒนธรรมเซลติก (cerltics) จึงถือว่า เป็นต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ ชาวเคลท์ คือชาวยุโรปโบราณที่มีต้นรากมาจากชาวอินโด-ยูโรเปียน มีถิ่นกำเนิดและความรุ่งเรืองเริ่มต้นจากยุโรปตอนกลาง ก่อนที่จะกระจายตัวไปทั่วยุโรป ในราว 1200 ปีก่อนคริสตกาลมีความเชื่อเรื่องเทพในธรรมชาติหลายองค์ ไม่ว่าจะเป็น เทพแห่งต้นไม้ ป่า แม่น้ำ ท้องฟ้า ทะเล สงคราม และไฟ และเชื่อเรื่องโลกแห่งวิญญาณที่อยู่เหนือการรับรู้ของมนุษย์ ผ่านพิธีกรรมและการบูชายัญของนักบวชเรียกว่าดรูอิด (druid) ชาวเคลต์เชื่อว่า ต้นกาฝากนั้นเป็นของขวัญจากสวรรค์ ถือว่าเป็นต้นไม้ที่อมตะที่มีสีเขียวตลอดปี และไม่เคยที่จะตกลงมายังพื้นดิน พลินี (Pliny) นักปราชญ์ชาวโรมัน บันทึกพิธีกรรมเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า ในวันข้างขึ้น 6 ค่ำ ดรูอิดจะการบูชายัญวัวขาว 2 ตัว จากนั้นสวมชุดขาว และปีนขึ้นไปต้นโอ๊กศักดิ์สิทธิ์ ใช้เคียวทองคำตัดผลต้นกาฝาก โดยใช้ผ้าสีขาวรองรับไม่ให้ตกลงสู่พื้นดิน แล้วไปผสมเครื่องดื่ม เพื่อดื่มเฉลิมฉลองถึงความอุดมสมบูรณ์ นอกจากนี้ยังเชื่อว่า มันเป็นยาที่รักษาได้ทุกโรค ราว 300 ปีก่อนคริสกาล เป็นจุดสิ้นสุดของอารยะธรรมกรีก ชาวเคลต์ได้เข้ามาครอบครองพื้นที่ทางตอนใต้ของยุโรป เกาะต่างๆ ทางตะวันตกของทวีป รวมถึงไอร์แลนด์และอังกฤษ วัฒนธรรมของชาวเคลต์เจริญถึงขีดสุด ราว 100 ปีก่อนคริสตกาล อารยะธรรมโรมันได้เข้ามาแทนที่กรีก พวกเขาเรียกชาวเคลต์ในพื้นที่ทางตอนใต้ของยุโรปว่า คนเถื่อน (galli) และต่อมาจะกลายชื่อของชาวกอล (Gaul) โรมันทำสงครามขับไล่ออกไป และขยายไปจนการบุกเกาะอังกฤษ
 ค.ศ. 313 จักรพรรดิคอนสแตนตินที่ 1 (Constantine I) ได้ประกาศเสรีภาพทางศาสนา ยุติการเข่นฆ่าชาวคริสเตียนค.ศ. 380 จักรพรรดิเธโอโดซิอุสที่ 1 (Theodosius I) ได้ประกาศให้คริสต์ศาสนาเป็นศาสนาหลักประจำรัฐ ค.ศ. 432 คริสต์ศาสนาได้เริ่มเข้าสู่เกาะไอร์แลนด์ ทำให้มีการถ่ายรับบางวัฒนธรรมมาจากชาวเคลต์ เช่น วันสิ้นสุดของฤดูกาลเก็บเกี่ยวและวันปีใหม่ ที่ตรงกับวันที่ 31 ตุลาคมและ 1 พฤศจิกายน ของทุกปี เป็นวันที่ชาวเคลต์เชื่อว่า ม่านที่กั้นระหว่างโลกมนุษย์และโลกวิญญาณ จะบางที่สุด และนั่นคือที่มาของวันฮาโลวีน และวันสมโภชนักบุญ คริสตจักรไม่เคยมีบันทึกว่า พระเยซูนั้นประสูติวันที่เท่าไหร่ แต่ได้กำหนดให้วันที่ 25 ธันวาคม ซึ่งตรงกับวันยูล (yule) หรือวันฉลองเทศกาลเหมายันของชาวเคลต์ (winter solstice) เป็นวันคริสต์มาส เพื่อให้พวกนอกรีตจะได้ละทิ้งประเพณีเดิมของตนไป ชาวเคลต์เชื่อว่ากาฝาก คือต้นไม้แห่งความอุดมสมบูรณ์ (evergreens) จึงนำมันมาประดับบ้านในช่วงฤดูหนาว เพื่อแสดงถึงความหวัง เพื่อที่จะต้อนรับการกลับมาใหม่ของฤดูใบไม้ผลิ และนี่ก็คือประเพณีการประดับต้นคริสต์มาสเป็นสีเขียวในปัจจุบัน ความเชื่อเรื่องความอุดมสมบูรณ์ (fertility) ผ่านต้นกาฝาก ยังคงตกทอดมาจนถึงปัจจุบัน นั่นไม่ใช่เพราะอิทธิพลโดยตรง จากชาวเคลต์เพียงอย่างเดียว แม้ชาวเคลต์จะล่มสลายไปในช่วงโรมันบุก แต่วัฒนธรรมได้ถูกถ่ายทอดให้กับชาวนอร์ส (Norse) ที่เจริญขึ้นมาแทนที่ ก่อกำนิดขึ้นในแถบสแกนดิเนเวีย (scandinavia) ในช่วงปี 100-400 และก้าวขึ้นถึงขีดสุดในราวปี 700-900 ที่เรียกว่า ยุคของชาวไวกิ้ง และชาวนอร์สเองก็มีตำนานที่เกี่ยวข้องกับความอุดมสมบูรณ์ ผ่านต้นกาฝากเช่นกัน เรื่องนั้นมีอยู่ว่า

ในสมัยที่เทพครองนครแอสการ์ด บาลเดอร์ (Balddr) บุตรชายของเทพีฟริกก์ (Frigg) เป็นเทพแห่งแสงสว่าง ความบริสุทธิ์และความงาม ทุกคนต่างรักเทพองค์นี้ แต่แล้ววันหนึ่ง เทพีฟริกก์ก็มีนิมิตว่า บาลเดอร์จะเสียชีวิต ซึ่งเป็นเรื่องหายนะ เพราะเมื่อโลกสูญเสียความสว่าง นี่คือจุดเข้าสู่วันสิ้นสุดโลก (Ragnarok) ด้วยความรักบุตรชาย นางจึงเดินทางไปทั่ว 9 โลก เพื่อขอร้องสรรพสิ่งทั้งหลาย ว่าจะไม่ทำร้ายให้บาลเดอร์เสียชีวิต ทุกสรรพสิ่งในโลกล้วนรับคำ เมื่อกลับมายังแอสการ์ด บาลเดอร์จึงกลายเป็นเทพอมตะ ที่ไม่มีสิ่งใดทำอันตรายได้
นี่กลับกลายเป็นเกมส์ของเหล่าเทพแห่งแอสการ์ด ที่จะสรรหาสิ่งต่างๆ เพื่อทดลองปาใส่บาลเดอร์ แต่มีสิ่งหนึ่งที่เทพีฟริกก์ได้มองข้ามไป นั่นคือต้นกาฝาก (mistletoe) เพราะนางคิดว่ามันเป็นพืชที่ต่ำต้อย ไม่มีทางที่จะทำร้ายเหล่าเทพได้โลกิเทพแห่งความเจ้าเล่ห์ได้แอบปลอมตัวเป็นหญิงชรา และหลอกถามเทพีฟริกก์จนล่วงรู้ความลับนี้ วันหนึ่งที่การละเล่นปาของใส่บาลเดอรอันเป็นเรื่องปรกติเกิดขึ้นนั้น โลกิได้พาเทพโฮดร์ (Hoor) บุตรของโอดินและเทพีฟิกก์ น้องชายของบาลเดอร์ที่ตาบอด มาร่วมเล่นเกมส์นี้ด้วย
ในขณะที่สิ่งของต่างๆ ที่เทพองค์อื่นปาใส่บาลเดอร์ไม่สามารถถูกตัวเขาได้ แต่แล้วโลกิยืนคอยบอกตำแหน่ง ให้โฮดปาไม้แหลมใส่นั้น กลับทะลุร่างไป เทพบาลเดอร์เสียชีวิตทันที นำความมืดหม่น ไร้เสียงใดๆ มาสู่แอสการ์ด เมื่อเทพแห่งแสงสว่างได้ตายจากโลกไปเสียแล้ว
เทพีฟิกก์เสียใจร้องไห้ จนผลของกาฝากกลายเป็นสีขาว นางสาบานว่า ต้นกาฝากจะไม่กลายเป็นสัญลักษณ์แห่งความตาย แต่จะเป็นสัญลักษณ์แห่งความรัก
และนั่นคือที่มาของควมเชื่อเรื่องความอุดมสมบูรณ์โดยผ่านต้นกาฝาก ที่เรียกว่า kiss under mistletoe บันทึกเป็นครั้งแรก ราวคริสต์ศตวรรษที่ 18 ประเพณีนี้ผู้ชายจะจูบหญิงสาวภายใต้ต้นกาฝาก ที่นำมาประดับต้นคริสต์มาส โดยมีข้อแม้ว่า การจูบหนึ่งครั้งนั้น ต้องเด็ดลูกกาฝากออกหนึ่งลูก การจูบนั้นจะสิ้นสุดลง เมื่อลูกกาฝากนั้นหมดไปและทั้งหมดนั้น คือตำนานที่เกี่ยวข้องกับคำว่า Ixos อันเป็นชื่อนกสกุลนี้
| Create Date : 24 พฤศจิกายน 2568 |
|
1 comments |
| Last Update : 24 พฤศจิกายน 2568 17:00:01 น. |
| Counter : 59 Pageviews. |
 |
|
|
| | |
โดย: หอมกร 25 พฤศจิกายน 2568 7:18:40 น. |
|
|
|
| |
|
BlogGang Popular Award#21
|
 |
ผู้ชายในสายลมหนาว |
|
 |
|
|
|
ก็ต้องมีนกปรอดแม่น้ำมั๊ยหละเนี่ย