|
|
| 1 | 2 | 3 | 4 | 5 |
6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 |
13 | 14 | 15 | 16 | 17 | 18 | 19 |
20 | 21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 |
27 | 28 | 29 | 30 | 31 | |
|
|
|
8 ตุลาคม 2567
|
|
|
|
สวนรถไฟ : กระเต็นหัวดำ
เดือนแห่งนกอพยพ เรามีโปรแกรมทุกสัปดาห์ เรามาสวนรถไฟบ่อยมาก เริ่มต้นจากไปเฝ้าบ่อกระเต็นหลังห้องน้ำ นั่งรออยูนานไม่พบการเคลื่อนไหว ออกเดินวนรอบบ่อ พบว่าตรงที่นกลง มีช่างก่อสร้างสองคนนั่งคุยกัน จบข่าว ไปกันต่อที่ดงต้นสนที่เคยมีคนบอกว่า ตรงนี้มี นกเค้าแมว เลี้ยวผ่านเข้าไปใจก็ชื้น มีคนกลุ่มหนึ่งตั้งกล้องขึ้นไปบนต้นไม้ เราเข้าไปเงียบๆ ยกกล้องสองตาส่องดู นกเค้ากู่ นั่งกันอยู่ 4 ตัว อ้าวไหนพี่เค้าเคยบอกว่าตรงนี้มีเค้าแมว แห้วนกใหม่ไปอีกหนึ่งกรุบ ไม่ไกลกันนักที่เล่าว่าเจอนกจาบคาลงเล่นน้ำ ตอนนี้ก็บ่าย คนกลุ่มหนึ่งตั้งกล้องถ่ายอะไรสักอย่าง น่าจะรอจาบคามั้ง เราไม่ได้ถามอะไรแต่ก็นั่งรอกับเค้า แห้วมาตลอดทางแล้วนี่
ไม่มีอะไรจะเสียมากไปกว่านี้ สักพักหลายคนก็ลุกเดินไป แอบได้ยินว่าเค้ามาเฝ้ากระเต็นน้อย แต่มันบินไปทางโน้นแล้ว เรามาใหม่เดินไปก็ไร้ประโยชน์ เพราะไม่รู้ว่าก่อนหน้ามันอยู่ที่ไหน
ระหว่างที่นั่งเงียบเหงาอยู่คนเดียว สักพักนกอะไรก็โฉบลงมา น่าจะเป็นนกกระเต็นหัวดำ เราเดินไปเพื่อส่องหา แต่ว่าต้นไม้รกมาก กลับมานั่งรอมันลงใหม่ พี่คนเดิมที่เคยเจอกันก็มาถามว่าได้อะไร เราก็บอกข่าวไป หลายคนก็เลยกลับมาเฝ้า ในที่สุดก็สมหวัง ได้นกใหม่มาเป็นรางวัลในวันนี้
กระเต็นหัวดำ (black-capped kingfisher) มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า H. pileata เป็นนกกระเต็นที่อยู่ในสกุล Halcyon ที่มี 12 สายพันธุ์ ในบ้านเราพบอีกชนิดหนึ่งนั้นคือ กระเต็นแดง (Ruddy kingfisher) กระเต็นหัวดำถูกบันทึกไว้ครั้งแรกโดย Georges-Louis Leclerc เคาท์แห่งบูฟอง นักธรรมชาติวิทยาชาวฝรั่งเศส ในปี 1780 ในหนังสือชื่อ Histoire Naturelle des Oiseaux เป็นนกกระเต็นขนาดกลาง มีปากขนาดใหญ่สีแดง หลังสีน้ำเงิน อกสีขาว ลักษณะเด่นตามชื่อคือมีหัวสีดำคล้ายกับคนใส่หมวกแก๊ป มีถิ่นอาศัยแถบปากแม่น้ำ ป่าโกงกางตามแนวชายฝั่ง ตั้งแต่อินเดีย ศรีลังกา บังคลาเทศ พม่า และข้ามไปที่ ตะวันออกของจีนแถบกวางตุ้ง ฮ่องกง และไหลำ อีกส่วนหนึ่งเป็นนกกลุ่มเหนืออาศัยอยู่ในในตัวทวีปตามริมแม่น้ำ ของจีนในยูนนาน กวางโจว หูหนาน หนิงเซี่ย เหอเป่ย คาบสมุทรเกาหลี ชานตง อานฮุย และฟูเจี้ยน พอถึงฤดูหนาว นกกลุ่มนี้ก็จะอพยพลงมายังเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงประเทศที่เป็นหมู่เกาะต่างๆ หนังสือของ Sharpe, R. B. ชื่อ A monograph of the Alcedinidae : or family of Kingfisher ตีพิมพ์ในปี 1871 กล่าวว่า อ้างถึง Mr. Blyth ว่าพบมากที่ปากแม่น้ำของบังคลาเทศฝั่งตะวันออก และพบบ้างทางทิศตะวันตก คาบสมุทรมาลายา และประเทศจีน อ้างถึง Swinhole ว่าเป็นนกประจำถิ่นพบที่กวางตุ้ง และแม่น้ำแยงซี และกัปตัน Briggs ได้ส่งตัวอย่างนกนี้ จากทวายไปให้ Mr. Gould อ้างถึง Schomburgk ว่าชาวจีนใช้ขนของนกชนิดนี้ทำพัด เช่นเดียวกับชาวสยาม และอ้างถึงกัปตัน Beaven ว่า นกชนิดนี้พบมากที่หมู่เกาะอันดามันของอินเดีย ผู้เขียนกล่าวว่า เค้ามีตัวอย่างนกชนิดนี้ 3 ตัว ยิงมาได้จากปีนัง และมีตัวอย่างนกอีกตัวหนึ่งจากซาราวักได้มาจาก Mr. Wallace ปากของมันดูสั้นและอ้วนกว่า ลำตัวด้านล่างมีสีเข้มกว่านกจากปีนัง แต่จากการวัดขนาดลำตัวนั้นพบว่า ไม่มีความแตกต่างกัน https://en.wikipedia.org/wiki/Tian-tsui#/media/File:Chinese_kingfisher_tiara.jpg ทั้งหมดนี้บอกอะไรเรา หนังสือเขียนขึ้นในช่วง พ.ศ. 2414 หรือต้นรัชกาลที่ 5 และอาจจะย้อนเรื่องไปก่อนหน้านั้นเล็กน้อย ทำให้เห็นว่านกชนิดนี้เคยเป็นนกประจำถิ่นที่อาจพบได้ในไทย พม่าตอนล่าง ลงไปถึงมะละกา แต่ปัจจุบันพวกมันนั้นหายไป จะเป็นการล่าเพื่อเอาขนไปทำพัด แบบในหนังสือหรือเปล่า
ในบันทึกของจีนกล่าวถึง ของบรรณาการจากละโว้ว่า มีทองคำ งาช้าง นกกระเรียน นกแก้วห้าสี นอระมาด อำพันทอง และขนนกกระเต็น พวกเค้าล่ามันมาได้อย่างไร บันทึกของโจวต้ากวนที่เข้ามาเมืองพระนครได้บันทึกไว้ว่า นกกระเต็นนั้นค่อนข้างจับยากในดงทึบมีบึงและในบึงมีปลา นกกระเต็นบินออกจากดงเพื่อหาปลาเป็นอาหาร ชาวพื้นเมืองเอาใบไม้ คลุมร่างของตนไว้แล้วนั่งอยู่ริมน้ำ มีกรงใส่นกกระเต็นตัวเมียไว้ตัวหนึ่ง เป็นนางนกต่อ และมือถือร่างแหเล็กๆ ไว้ คอยให้นกมาก็ครอบร่างแหลงไป วันหนึ่งๆ จับได้ 3 หรือ 5 ตัว บางวันจับไม่ได้เลยก็มี แล้วราชสำนักจีนนำไปใช้อะไร กล่าวกันว่า ชาวจีนนิยมขนสีฟ้าของนกกระเต็นมาตั้งแต่เมื่อ 2,000 ปีก่อน วิธีการคือ ตัดขนนกกระเต็นออกเป็นชิ้นเล็กๆ แล้วติดบนเครื่องประดับศีรษะเรียกว่า เทียนชุ่ย ในปลายราชวงศ์ชิงที่อำนาจของกษัตริย์นั้นอ่อนแอลง จากเครื่องประดับที่ใช้ราชสำนัก ที่การครอบครองนั้นบังคับเข้มงวด การเป็นเครื่องประดับของชาวบ้าน และนักท่องเที่ยว โดยมีโรงงานจำนวนมากในกวางตุ้ง ต่อมาความนิยมลดลง เมื่อมีการเกิดขึ้นของสีสังเคราะห์ โรงงานแห่งสุดท้ายปิดลงในปี 1933 แล้วทำไมต้องสีฟ้า ส่วนตัวเชื่อว่ามันเป็นสีที่ทำขึ้นมาได้ยาก กว่าภาพท้องฟ้าในจิตกรรมไทยจะเป็นสีฟ้าก็เมื่อปลายรัชกาลที่ 3 แม้สีฟ้าที่ผลิตมาจากหินในธรรมชาติ จะถูกค้นพบมาตั้งแต่ในสมัยอียิปต์ แต่มันก็เป็นของที่มีราคาแพงมาก นิยมใช้ในชนชั้นสูงเท่านั้น เมื่อเข้าสู่ยุคเฟื่องฟูวัฒนธรรม ในสมัยเรเนสซองก์ สีฟ้าเป็นที่ต้องการเป็นอย่างมาก ทำให้ฝรั่งเศสประกาศว่า ใครก็ตามที่สังเคราะห์สีฟ้าขึ้นมาได้ จะมีรางวัล 6,000 ฟรังก์ ในที่สุดในปี 1826 ก็มีคนได้สำเร็จ ชื่อว่าสี Ultramarine
กลับมาที่ในตอนท้ายของหนังสือที่กล่าวถึง นกที่แปลกๆ พบในซาราวัก ในขณะที่เชื่อกันว่ากระเต็นหัวดำเป็นสายพันธุ์เดี่ยว โดยไม่มีสายพันธุ์ย่อยนั้น ในหนังสือของ Hachisuka ชื่อ The Birds of the Philippine Islands: with Notes on the Mammal Fauna (1931–1935) หน้าที่ 142 กล่าวถึง Palawan Black–caped kingfisher (H. p. palawanensis) ว่าตัวอย่างเป็นของ Lord Rotchchild ได้จากเมือง Balabac เกาะปาลาวัน เก็บอยู่ที่ American museum of National History เมือง New York มีการบรรยายลักษณะไว้ พบว่าไม่ได้แตกต่างจากสายพันธ์หลัก
แต่ขนาดตัวนั้นเล็กกว่า ปีก 127 หาง 77 ปาก 56 ขา 14 นิ้วกลาง 26 ขณะทีกลุ่มหลัก ปีก 127-133 หาง 83-88 ปาก 57-65 ขา 15 นิ้วกลาง 27 ในหนังสือนี้ยังกล่าวว่า นกที่บอร์เนียวและสุมาตราไม่มีแตกต่างเช่นกัน แต่นกจากเกาะไหหลำ เก็บโดย Katsumatra มีขนาดตัวใหญ่กว่า โดยมีขนาดของปีก 137 นอกจากนี้ยังมีตัวอย่างที่อยู่ในของสะสม ของ Lord Rotchchild อีก 8 ตัวที่เก็บมาจากเกาะไหหลำ พบว่าปีกนั้นมีขนาดใหญ่เช่นกัน (137) และสีของปากนั้นเข้มกว่า แต่จนถึงปัจจุบัน ก็ยังไม่มีหลักฐานที่แน่ชัดว่า นกชนิดนี้มีความแตกต่างกัน จนสามารถตั้งขึ้นได้เป็นสายพันธุ์ย่อย แต่ที่แน่ๆ เราสามารถกล่าวได้ว่า พวกมันเคยเป็นนกประจำถิ่น ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มาก่อน ก่อนที่จะถูกล่าอย่างหนัก เพื่อนำขนไปทำเครื่องประดับ จนไม่พบการทำรังวางไข่อีกเลย มีการประมาณว่าทั่วโลกมีนกกระเต็นหัวดำเต็มวัยอยู่ประมาณ 10,000 ตัว และมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง จากการเปลี่ยนแปลงของภูมิประเทศ ในสถานที่อยู่อาศัยและสถานที่ทำรังในประเทศจีนและคาบสมุทรเกาหลี ความเสี่ยง จัดอยู่ในสถานะถูกคุกคามระดับ 2 (vulnerable) ระดับเดียวกับแต้วแร้วนางฟ้า ที่เราเขียนไปก่อนหน้านี้แล้ว
Create Date : 08 ตุลาคม 2567 |
|
1 comments |
Last Update : 8 ตุลาคม 2567 16:59:17 น. |
Counter : 47 Pageviews. |
|
|
|
| |
โดย: หอมกร 8 ตุลาคม 2567 17:28:18 น. |
|
|
|
| |
|
BlogGang Popular Award#20
|
|
ผู้ชายในสายลมหนาว |
|
|
|
|
ไม่เคยเจอตัวเลย ตัวมันเล็กแน่ๆ