วัดศรีอุบลรัตนาราม เดิมชื่อ วัดศรีทอง เป็นพระอารามหลวงชั้นตรี ชนิดสามัญ สังกัดคณะสงฆ์ธรรมยุติกนิกาย เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมือง คือ พระแก้วบุษราคัม
พระวิหารพระพุทธประทานพร วัดศรีอุบลรัตนาราม
วัดศรีอุบลรัตนารามหรือวัดศรีทอง สร้างเมื่อ พ.ศ. 2398 หลังจากสร้างวัดสุปัฏนารามวรวิหารแล้ว 2 ปี ตรงกับรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 สร้างโดยพระอุปราชโท (ต้นตระกูล ณ อุบล) ซึ่งท่านเป็นพระบิดาของพระอุบลเดชประชารักษ์ (เสือ ณ อุบล) โดยท่านได้อุทิศที่ดินส่วนของท่านจำนวน 25 ไร่ สร้างเป็นวัด ในวันที่มีการกล่าวถวายที่ดินต่อหน้าพระเถระยกให้เป็นสมบัติในพระพุทธศาสนาเพื่อเป็นการตั้งวัดนั้น ในยามราตรีกาลของวันนั้นเกิดนิมิตประหลาดขึ้น คือ มีแสงสว่างพวยพุ่งขึ้นเป็นสีเหลืองทองภายในบริเวณสวน จึงได้ถือนิมิตมงคลนี้ตั้งชื่อวัดว่า “วัดศรีทอง” แล้วนิมนต์ท่านเทวธัมมี (ม้าว) จากวัดสุปัฏนารามวรวิหารเป็นเจ้าอาวาสองค์แรก ท่านเจ้าอาวาสนี้เป็นพระสิทธิวิหาริกของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและเป็นลูกศิษย์ของท่านพันธุโล (ดี) ได้สร้างพระอุโบสถ พระประธาน หอแจก พระประธานในหอแจก โดยพระอาจารย์สีทา ชัยเสโน เป็นช่างผู้อำนวยการ ซึ่งท่านเป็นลูกศิษย์ของท่านเทวธัมมี (ม้าว) ที่ไปครองวัดบูรพาราม และเป็นอาจารย์ของพระอาจารย์เสาร์ กันตสีโล พระบูรพาจารย์ฝ่ายวิปัสสนาสายอีสาน ได้มีผู้อัญเชิญเอาพระแก้วบุษราคัมของเจ้าพระตามาถวายเป็นสมบัติของวัด และเจ้าพรหมเทวานุเคราะห์วงศ์ได้อัญเชิญเอาพระเจ้าทองทิพย์สำริดจากเวียงจันทน์มาถวายเป็นพระพุทธรูปประจำวัดนี้อีกองค์หนึ่งด้วย ซึ่งเป็นพระพุทธรูปจำลองพระบางแห่งนครหลวงพระบางมาแต่โบราณ
วัดนี้มีพระอุโบสถที่สร้างตามแบบพระอุโบสถวัดเบญจมบพิตรดุสิตวราราม กรุงเทพมหานคร
พระอุโบสถของวัดศรีอุบลรัตนาราม ได้ถอดแบบจำลองมาจากพระอุโบสถวัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม กรุงเทพฯ พระอุโบสถหลังนี้ได้สร้างขึ้นเพื่อทดแทนพระอุโบสถหลังเดิมที่มีอายุกว่า 100 ปี ที่มีสภาพเก่าแก่และทรุดโทรมมากไม่สามารถซ่อมแซมได้ เริ่มทีเดียวจึงคิดจะสร้างเพื่อเป็นที่ประดิษฐานพระแก้วบุษราคัมเท่านั้น แต่เนื่องจากขาดทุนทรัพย์ จึงได้ทำพิธีวางศิลาฤกษ์ล่วงหน้าไปก่อน และเริ่มสะสมงบประมาณการก่อสร้างจากเงินบริจาคที่ได้จากการจัดงานนมัสการสรงน้ำพระแก้วบุษราคัมที่ทางวัดได้จัดขึ้นเป็นประจำทุกปีและเงินบริจาคจากกิจการต่าง ๆ
เมื่อสะสมเงินบริจาคมาจนถึงปี พ.ศ. 2507 ก็ยังได้งบประมาณไม่เพียงพอต่อการก่อสร้าง ด้วยความเป็นห่วงในเรื่องนี้ ท่านเจ้าคุณธรรมวราภรณ์ เจ้าอาวาสวัดนรนาถสุนทริการาม จังหวัดพระนคร จึงได้ปรารภและขอร้องให้ คุณหญิงตุ่น โกศัลวิตร เป็นผู้อุปถัมภ์ในการก่อสร้าง ซึ่งท่านผู้หญิงตุ่นมีความเลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธศาสนาอยู่แล้วจึงได้บริจาคเงินส่วนตัวของท่านรวมกับเงินทุนสะสมของวัดเป็นงบประมาณก่อสร้างจนสามารถสร้างอุโบสถหลังนี้แล้วเสร็จ โดยได้เริ่มการก่อสร้างเมื่อวันที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2508 ใช้เวลาก่อสร้าง 2 ปี 5 เดือน ใช้งบประมาณในการก่อสร้างทั้งหมด 2,836,000 บาท นอกจากนั้นแล้วท่านผู้หญิงตุ่นยังได้ทำการก่อสร้างศาลาสันติสุขซึ่งตั้งอยู่ด้านขวาตอนหน้าของอุโบสถ เพื่อให้วัดได้ใช้สำหรับประกอบศาสนกิจต่าง ๆ อีกด้วย
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ (พระราชอิสริยยศ ณ ขณะนั้น) ได้เสด็จมาประกอบพิธีฉลองสมโภชฝังลูกนิมิต และยกช่อฟ้าในวันที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2511 และทางวัดได้ทูลถวายพระอุโบสถหลังนี้ให้อยู่ในพระอุปถัมภ์ของสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอเจ้าฟ้าหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี และขอพระราชทานพระบรมราชานุญาต เปลี่ยนชื่อจาก “วัดศรีทอง” เป็น “วัดศรีอุบลรัตนาราม”
ด้านขวามือพระอุโบสถ มีใบเสมาทำจากศิลาแลง
พระแก้วบุษราคัม เป็นพระพุทธรูปบูชาหน้าตักกว้างประมาณ 3 นิ้ว สูงประมาณ 5 นิ้ว แกะด้วยบุษราคัมทึบทั้งแท่ง พระเศียรหุ้มด้วยพระศกสีทองทำเป็นเม็ด ๆ มีพระสังวาลประดับที่องค์พระ มีฐานหุ้มด้วยทองคำ เป็นพระพุทธรูปฝีมือช่างสกุลเชียงแสน ปางมารวิชัย เป็นพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองของนครเชียงรุ้ง พระเจ้าเชียงรุ้งทรงโปรดให้ช่างหลวงแกะสลักไว้เคารพบูชา จนปี พ.ศ. 2180 ฮ่อยกมาตีเชียงรุ้ง เจ้านายเชียงรุ้งอพยพมาอาศัยอยู่กับเจ้าสุริยวงศาธรรมาธิราช พระเจ้าล้านช้าง ต่อมาเจ้าปางคำเสกสมรสกับเจ้านางสุพรรณ พระราชนัดดาแห่งเชียงรุ้ง สร้างเมืองใหม่ที่ตำบลหนองบัวลุ่มภู ในนามเมืองใหม่ว่า เมืองนครเขื่อนขันธ์กาบแก้วบัวบาน เจ้าอินทกุมาร เชษฐาได้มอบพระแก้วบุษราคัมเป็นพระประจำตระกูลเมือง เมื่อพระวอพระตาอพยพจากหนองบัวลุ่มภูมาตั้งเมืองอุบลราชธานี ก็ได้อัญเชิญพระแก้วบุษราคัมมาด้วย โดยนำมาประดิษฐานที่วัดหลวง ในสมัยเจ้าพระมหาเทวานุเคราะห์ เจ้าพระอุปฮาด ราชวงศ์ ราชบุตร ได้อัญเชิญพระแก้วบุษราคัมไปซ่อนที่บ้านยางวังกางฮุง เนื่องจากเกรงว่าเจ้าพรหมจะนำพระแก้วบุษราคัมไปถวายแก่เจ้านายกรุงเทพฯ จนเมื่อเจ้าพระอุปฮาดโทสร้างวัดศรีทองหรือวัดศรีอุบลรัตนาราม และนิมนต์พระเทวธัมมี (ม้าว) มาเป็นเจ้าอาวาส และอัญเชิญพระแก้วบุษราคัมจากบ้านยางวังกางฮุงมาถวายแด่พระเทวธัมมี (ม้าว) และประดิษฐานไว้ที่วัดศรีทองเพื่อเป็นมิ่งขวัญเมืองอุบลราชธานีต่อไป
พระแก้วบุษราคัม องค์กลางค่ะ (ซูมไม่ถึง)หอระฆัง วัดศรีอุบลรัตนารามหอระฆังเดิม รอบูรณะหอแจกหรือศาลาการเปรียญของวัดศรีอุบลรัตนาราม
หอแจก เป็นอาคารไม้ขนาดใหญ่รูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า มีบันไดทางขึ้น 4 ด้าน แป้นฝาไม้กระดานแบบสายบัวตั้งอยู่บนไม้พรึงเป็นลวดบัว มีหน้าต่างระหว่างช่วงเวลาด้านข้าง ด้านละ 10 ช่อง ด้านหน้าและด้านหลังด้านละ 2 ช่อง รวมทั้งหมด 24 ช่อง หน้าต่างจะสลักเป็นลวดลายเท้าสิงห์รองรับกรอบหน้าต่าง (หย่องหน้าต่าง) แต่ละช่องจะมีลวดลายที่มีรายละเอียดไม่เหมือนกัน มีประตูทางเข้า 4 ช่อง หลังคาจั่วแบบปีกนกรอบด้าน ปีกนกกว้างตกแต่งด้วยรวยลำยองแบบเอกลักษณ์ของศาสนคารอีสานแท้ หน้าบันจำหลักไม้เป็นลายเทพนมทั้ง 2 ด้าน มุงด้วยแป้นไม้ แต่ปัจจุบันเปลี่ยนเป็นสังกะสีแล้ว
ปัจจุบันหอแจกหรือศาลาการเปรียญของวัดศรีอุบลรัตนาราม ได้ถูกปรับเปลี่ยนให้เป็น “พิพิธภัณฑ์ศรีอุบลรัตนาราม” วันที่เราไป พิพิธภัณฑ์ปิดค่ะ เสียดายมากพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อุบลราชธานี ก็ปิดทุ่งศรีเมือง มีงานพิธีลงนาม MOU อะไรสักอย่าง
ทุ่งศรีเมือง เดิมชื่อ "นาทุ่งศรีเมือง" เดิมเป็นที่ทำนาของเจ้าเมืองอุบลราชธานี และใช้เป็นสถานที่ประกอบพิธีกรรมเผาศพแบบนกหัสดีลิงค์ของเจ้าเมืองและเจ้านายพื้นเมืองอุบลราชธานีศรีวะนาไลปัจจุบันใช้เป็นสถานที่ประกอบพิธีกรรมที่สำคัญของจังหวัด และเป็นสวนสาธารณะขนาดใหญ่ใจกลางเมืองเพื่อการพักผ่อนหย่อนใจ
ทุ่งศรีเมือง ตั้งอยู่ถนนอุปราช ตำบลในเมือง อำเภอเมืองอุบลราชธานี บริเวณหน้าศาลากลางจังหวัดอุบลราชธานีหลังเก่า (ปัจจุบันคือ พิพิธภัณฑ์เมืองอุบลราชธานีศรีวะนาไล) ประกอบด้วยคูเมืองเป็นน้ำล้อมรอบ มีประตูทางเข้า 4 ทิศ 4 ประตู ซึ่งตั้งชื่อตามนามของเจ้านายพื้นเมือง คือ
ปฏิมากรรมร่วมใจก้าวไปข้างหน้า สร้างขึ้นตามโครงการปฏิมากรรม กับสิ่งแวดล้อมเพื่อเยาวชน ซึ่งแสดงถึง ความสมานฉันท์แห่งความเป็นพี่น้องระหว่าง 4 ประเทศ คือ ไทย ลาว กัมพูชา และเวียดนามอภิมหาเทียนพรรษาเฉลิมพระเกียรติ หรือต้นเทียนจำลอง สร้างขึ้นเพื่อเฉลิมพระเกียรติ เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2542 ตอนกลางคืนจะสวยงามมากอนุสาวรีย์พระปทุมวรราชสุริยวงศ์ (เจ้าคำผง) ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งเมืองอุบลราชธานีอีกมุมหนึ่งของต้นเทียนจำลองบ่ายสามกว่าค่ะ ขอกลับที่พัก เอากระเป๋าขึ้นไปเก็บที่ห้องก่อนYuu Hotel & Cafe ทางเดินชั้น 3ห้องพักเราเปิดประตูเข้ามา...ชอบเลยค่ะ ถ้ามีโอกาสมาอุบลอีก คงพักที่นี่แหละอยู่ใกล้ทุ่งศรีเมือง สะดวกดีค่ะห่องน้ำลงมาชั้น 2 ค่ะชั้นล่าง มีลิฟท์นะคะน้อง poongie (เจ้าถิ่น) โทร. มาบอกว่า เดี๋ยวมารับพี่หนูไปกินข้าว มื้อเย็นที่ร้านมาดามเฮืองเราชอบอาหารเวียดนามอยู่แล้วค่ะ อร่อยทุกอย่าง ชอบที่สุดคือแหนมเนือง กับปอเปี๊ยะสดกินกัน 3 คน คุณน้องขามาด้วยค่ะแล้วก็พาพี่หนูไปวัดพระธาตุหนองบัว ยามค่ำงามไปอีกแบบยังค่ะ ยังไม่จบรายการ... 19.31 น. น้องพามากินน้ำเต้าหู้ก่อนส่งกลับที่พักร้านแหม่ม น้ำเต้าหู้มีที่นั่งทั้งในร้าน หน้าร้าน ข้างร้าน ลูกค้าคงเยอะพอสมควรอร่อยดีค่ะ ชอบเต้าฮวยแปะก้วย ถ้วยซ้ายมือของน้อง poongie ค่ะขอบคุณ poongie และ คุณน้องขา สำหรับมื้อเย็นนี้ อิ่มอร่อย สุขภาพดีด้วยค่ะ ความเดิม ปราสาทวัดพูน้ำตกตาดฟาน น้ำตกตาดเยืองปากซองไฮแลนด์ สวนดอกไม้มนตราน้ำตกคอนพะเพ็งตะวันขึ้นที่ผาแต้มภาพเขียนสีผาแต้มทุ่งดอกไม้ป่าสร้อยสวรรค์หาดสลึง สามพันโบกทุ่งดอกไม้ป่าวนอุทยานน้ำตกผาหลวงวัดทุ่งศรีเมือง วัดมณีวนาราม วัดมหาวนารามอาสนวิหารแม่พระนิรมล วัดสุปัฏนารามวรวิหารวัดพระธาตุหนองบัว