บริหารงานบุคคลด้วยสมองซีกขวา
หลายท่านคงทราบดีว่าสมองคนเรานั้นแบ่ง ออกเป็น 2 ซีก โดยมีหน้าที่แตกต่างกันออกไป ซีกซ้ายก็เน้นไปในเรื่องของตรรกะ ตัวเลข เหตุผล ส่วนซีกขวาก็จะไปในทางด้านศิลปะ ดนตรี ความรู้สึก และอารมณ์ นักวิชาการทางด้านสมองต่างก็พยายามให้คนเรานั้นใช้สมองทั้งสองซีกให้สมดุล กัน เพื่อความสมดุลแห่งชีวิต
ใครที่ทำงานโดยใช้สมองซีกซ้ายเยอะๆ ก็ต้องหัดใช้สมองซีกขวาบ้าง ซึ่งก็คือ การฟังเพลง เล่นดนตรี และปล่อยอารมณ์ให้ไปตามเสียงเพลงนั้นๆ
ในแง่ของการบริหารงานบุคคลก็เช่นกัน เราควรจะเริ่มหันมาใช้สมองซีกขวาในการบริหารงานบุคคลกันบ้างจะดีมั้ยครับ
ถ้าเราบริหารงานบุคคลโดยใช้กฎระเบียบข้อบังคับ หรือกฎหมายกับพนักงาน นั่นแสดงว่าเราเน้นการบริหารงานบุคคลแบบอยู่ในกรอบ ทุกสิ่งที่อย่างเป็นไปตามกรอบที่กำหนดไว้ ไม่มีความยืดหยุ่นเลย
การสรรหาคัดเลือก โดยอาศัยแบบทดสอบทางด้านเชาว์ปัญญา พิจารณาจากเกรดพนักงานเพียงอย่างเดียว เวลาสัมภาษณ์ถ้าพนักงานตอบได้ตรงกับใจเรา ถูกต้องตามหลักการ เราก็จะคิดว่านี่คือคนเก่ง คนดี และคนแบบนี้แหละที่เราต้องการ
เวลาบริหารค่าจ้างเงินเดือน ก็เดินตามกฎเกณฑ์ทุกอย่าง มีกำหนดตัวเลขมาก็ห้ามเกินกว่านี้ ในเบิกจ่ายสวัสดิการต่างๆ ก็เป็นไปตามระเบียบเป๊ะๆ
เมื่อจะพิจารณาผลงานพนักงาน ก็ดูจากคะแนนผลงานตามตัวชี้วัดผลงานที่ได้ออกมาจากแบบประเมิน ใครคะแนนสูงก็แปลว่าผลงานดี ใครที่ได้คะแนนน้อยก็แปลว่าผลงานแย่ เมื่อพิจารณาจากคะแนนมากๆ เข้า บรรดาผู้จัดการก็แก้ปัญหานี้ให้กับทางฝ่ายบุคคล โดยให้คะแนนลูกน้องตัวเองเท่ากันทั้งฝ่ายซะเลย จะได้เท่าเทียมกัน เพราะต้องการวัดผลงานเป็นตัวเลข
เวลาจะเลื่อนตำแหน่งพนักงานสักคนหนึ่ง ก็พิจารณาจากผลงานย้อนหลัง โดยดูจากคะแนนเฉลี่ยผลงานของพนักงาน พร้อมกับดูจำนวนปีที่ทำงานกับบริษัท คะแนนมากพอ และจำนวนปีก็นานพอ ก็เลื่อนตำแหน่งให้ซักหน่อย จะได้มีแรงทำงานกัน
จากตัวอย่างข้างต้นจะเห็นได้ชัดเจนว่า เราบริหารงานบุคคลโดยอาศัยสมองซีกซ้ายเป็นหลัก ทุกอย่างต้องถูกต้องต้องเป็นตามหลักการ เป็นไปตามความถูกต้องของตัวเลข ทำไมเราไม่ลองบริหารงานบุคคลด้วยสมองซีกขวาดูบ้างล่ะครับ
จริงๆ แล้วมนุษย์เราไม่ใช่หุ่นยนต์นะครับ ที่กดสวิทซ์แล้วก็เดินหน้าทำงานให้กับบริษัทได้เท่ากันทุกคน คนเรามีความรู้สึก และมีอารมณ์ มีแรงจูงใจ และแรงบันดาลใจ สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องของสมองซีกขวาทั้งสิ้น ทำไมเราถึงไม่บริหารพนักงานในเชิงรุก เพื่อให้พนักงานเกิดความรู้สึกที่ดี เกิดแรงจูงใจในการทำงาน มีแรงบันดาลในในการที่จะพัฒนาตนเอง รวมทั้งมีความคิดสร้างสรรค์ใหม่ๆ ที่จะพัฒนาองค์กรไปสู่ความยั่งยืน
การสรรหาคัดเลือก ก็พิจารณาจากความคิดสร้างสรรค์ คำตอบที่แปลกใหม่ ความคิดที่นอกกรอบของผู้สมัคร มากกว่ามาวัดเชาว์ปัญญาของคนตามแบบทดสอบล้วนๆ
การบริหารค่าจ้างเงินเดือนและสวัสดิการ ก็ให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้น วางระบบต่างๆ ให้สอดคล้องกับความต้องการของพนักงานในแต่ละวัย หรือแต่ละระดับ เพื่อให้พนักงานมีสิทธิที่จะเลือก package ค่าจ้างและสวัสดิการที่เหมาะสมกับความต้องการของตนเอง
เวลาพิจารณาผลงานพนักงาน ก็หันมามองเรื่องของพฤติกรรมประกอบกับผลงานตามตัวชี้วัด มองเรื่องของความคิดสร้างสรรค์ในการทำงาน การคิดสิ่งใหม่ๆ ที่ทำให้ผลงานดีขึ้น จริงๆ แล้วการใช้ตัวชี้วัดผลงานนั้นจะยิ่งทำให้พนักงานไม่ต้องคิดอะไรใหม่ๆ เลย ทำตามสิ่งที่มันเป็น เพื่อให้เราได้ผลงานตามตัววัดก็พอ ความคิดสร้างสรรค์ต่างๆ ก็จะเริ่มหดหายไป อย่าลืมนะครับ เรื่องของความคิดสร้างสรรค์มันวัดเป็นหน่วยไม่ได้ซะด้วยสิครับ แต่ถ้าจะใช้คำว่าประเมิน มันก็พอได้นะครับ
เวลาจะเลื่อนตำแหน่งพนักงานให้สูงขึ้นไป ก็ไม่ควรจะพิจารณาเพียงแค่ผลงานยอดเยี่ยมเพียงอย่างเดียว เนื่องจากพนักงานที่ผลงานยอดเยี่ยมนั้น อาจจะไม่สามารถที่จะบริหารคน หรือพูดจาสร้างแรงจูงใจให้กับลูกน้องของเขาในอนาคตได้เลย ยิ่งจะทำให้ทีมงานมีปัญหามากขึ้นไปอีก
เราลองลดมุมมองของสมองซีกซ้ายลงบ้าง และเสริมด้วยความคิดสร้างสรรค์ใหม่ๆของสมองซีกขวากันจะดีกว่านะครับ ลองเข้าไปดูวิธีการบริหารคนของ google ดูสิครับ (Search ใน youtube ว่า google The best company to work for ก็ได้ครับ เราจะเห็นนโยบายในการบริหารคนของเขา) เห็นได้ชัดเจนเลยว่า เขาใช้สมองซีกขวาในการบริหารทรัพยากรบุคคลของเขา จนคนของเขาสามารถใช้สมองซีกขวาในการคิด ริเริ่มงานและโครงการใหม่ๆ ออกมามากมาย จนตอนนี้ผมเชื่อว่าไม่มีใครที่ไม่เคยใช้ google จริงมั้ยครับ
Create Date : 18 พฤษภาคม 2553 |
|
1 comments |
Last Update : 18 พฤษภาคม 2553 6:58:57 น. |
Counter : 1269 Pageviews. |
|
|