Group Blog
 
<<
เมษายน 2554
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
 
2 เมษายน 2554
 
All Blogs
 

รักตัวกลัว "อ้วน" ต้องสร้างวินัยการกินอยู่



"เรื่องอาหารจะมีผักและผลไม้เข้ามาเกี่ยวข้อง อย่างที่เขาว่ากินปลาเป็นหลัก กินผักครึ่งหนึ่ง...
นอกจากนี้บ้านเรามีสมุนไพรมากมาย อาหารเป็นยา ถ้าทานทุกวันก็เป็นยาอายุวัฒนะ"

สมัยปู่ย่าตายายหรือความเชื่อในอดีต พ่อแม่มักนิยมชมชอบลูกหลานที่อ้วนท้วน
ด้วยเห็นว่านั่นคือสิ่งที่สะท้อนถึงความกินดีอยู่ดี หรือสมบูรณ์แข็งแรงตามความรู้สึก
โดยหารู้ไม่ว่า น้ำหนักที่เกินพิกัด เปรียบเสมือนเพชฌฆาตร้ายที่กำลังบั่นทอนอายุไขให้สั้นลงวันละนิดๆ

เมื่อวิทยาการทางการแพทย์สมัยใหม่เจริญขึ้น ถึงรู้ว่าสรีระร่างกายที่อวบอ้วนเกินไป
หาใช่สิ่งพึงปรารถนาและบ่งบอกถึงการมีสุขภาพดี แต่นั่นกลับเป็นแหล่งเพาะโรคร้ายชั้นดี
ไม่ว่าจะเป็นโรคอ้วน โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจขาดเลือด
โรคกระดูกโปร่งบางหักง่าย โรคมะเร็ง ฯลฯ

ประเด็นเรื่องการกินอยู่เพื่อสุขภาพจึงค่อยๆ ก่อตัวขึ้น ด้วยเห็นว่าไม่ใช่เรื่องเหลือบ่ากว่าแรง
เพียงแค่กินอาหารให้ได้คุณค่าทางโภชนาการอย่างครบถ้วน "พอเพียงและพอดี"
รวมถึงออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และที่สำคัญต้องรู้จักควบคุมน้ำหนัก
หากปฏิบัติได้ตามนี้ ตั้งแต่วัยเด็กจนกระทั่งเติบโตเป็นผู้ใหญ่ ย่อมจะส่งผลดีถึงบั้นปลายชีวิต
คือเป็นผู้ใหญ่วัยทองที่แข็งแรง ปราศจากโรค และสามารถช่วยเหลือตนเองได้

ฟังดูน่าจะเป็นเรื่องง่ายๆ แต่ความเป็นจริงกลับยากพอๆ กับ "เข็ญครกขึ้นภูเขา"
หลายคนยังมีปัญหาด้านโภชนาการ จนอยู่ในสภาพเกินเยียวยา
ท้ายที่สุดแล้วต้องทนทุกข์กับ "โรคอ้วน" ดำเนินชีวิตโดยมีโรคภัยสารพัดเป็นเพื่อนอยู่เคียงข้าง....

สายเกินไปใช่หรือไม่ หากจะแก้ไข!!!

"เราอยู่ในยุคที่มีปัญหาเกี่ยวกับเรื่องอ้วนจริงๆ แล้วตอนนี้ในระยะเวลา ๒-๓ ปีที่ผ่านมา ชัดเจนมาก
เป็นสิ่งที่วงการสาธารณสุขเห็นปัญหาและพยายามหาทางแก้
ไม่เพียงแต่เกิดในโลกตะวันตกอย่าง อเมริกา อังกฤษ หรือสแกนดิเนเวียร์
มองแถวบ้านเรา ไทย ฟิลิฟปินส์ มาเลย์ อินโดฯ ล้วนประสบปัญหาเดียวกัน
เมื่อก่อนองค์การอนามัยโลก มองเพียงยุทธศาสตร์เรื่องการขาดสารอาหาร
แต่หารู้ไม่ว่าจริงๆ แล้วความรุนแรงของโรคอ้วน หรือโภชนาการเกินนั้นมันมาถึงแล้ว"

รองศาสตราจารย์ จงจิตร อังคทะวานิช รองคณบดี คณะสหเวชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
และเป็นนักโภชนาการประจำคลีนิกโภชนาการ ชี้ให้เห็นถึงสภาวการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น
ดูเหมือนว่า โภชนาการเกิน หรือ Over nutrition นั้นเป็นปัญหาในหลายๆ ประเทศ
โดยเฉพาะประเทศอุตสาหกรรม เนื่องจากคนไม่ค่อยมีเวลาออกกำลังกาย
แต่มีเงินทองที่จะซื้ออาหารการกินอุดมสมบูรณ์ ซึ่งอาหารที่อุดมสมบูรณ์ก็จะเป็นพวกโปรตีนและไขมัน
ทานเข้าไปมากๆ จะ ทำให้ร่างกายใหญ่โตขึ้น กลายเป็นปัญหาของสังคมเมือง

ข้อมูลล่าสุดจากองค์การอนามัยโลก สำรวจพบว่า
ขณะนี้ทั่วโลกมีอัตราส่วนระหว่างคนอ้วนกับคนผอมใกล้เคียงกัน
แล้วในประเทศไทยก็เพิ่มขึ้นอย่างน่าตกใจ
เพียงแต่ตัวเลขอาจจะต่ำกว่าสหรัฐอเมริกา หรือในประเทศอุตสาหกรรมทั้งหลาย

"ตอนนี้ ๖๐ % ของประเทศที่พัฒนาแล้ว ตกอยู่ในภาวะโภชนาการเกิน
แต่ถ้าอ้วนจริงๆ อาจตกประมาณ ๒๐-๓๐ % ของประชากรบ้านเรา
ถ้ามองดูแต่ละปี เรากำลังไปในทิศทางที่เร็วและเข้มข้นอย่างเห็นได้ชัด ความน่ากลัวอยู่ตรงนี้
ซึ่งกลุ่มที่สังเกตเห็นได้คือเด็กเล็ก (๐-๕ ปี) และวัยรุ่น (๙-๒๒ ปี)"

ที่น่าเป็นห่วงกว่านั้น ใครจะคิดว่าเด็กอ้วนๆ อายุเพียง ๑๑-๑๒ ขวบ น่ารักน่าเอ็นดูกลุ่มนี้
กำลังเผชิญกับโรคร้ายเช่นเดียวกับผู้ใหญ่ อย่างโรคเบาหวานหรือความดัน และโรคต่างๆ เหล่านี้
ก็เป็นบ่อเกิดของสภาวะแทรกซ้อนอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องหัวใจ โรคไต โรคเกี่ยวกับตา
หรือเป็นแผลแล้วหายยาก เด็กบางรายถึงขั้นเสียชีวิตก่อนวัยอันควร
พ่อแม่ควรหัดสังเกตลูก เช่น หากลูกเป็นความดันจะมีอาการปวดหัวรุนแรง
ซึ่งหากปล่อยไว้จนอยู่ในขั้นโคม่า ก็อาจจะเสียชีวิตเฉียบพลันได้

นอกจากนี้ โรคอ้วนยังนำไปสู่ปัญหาเรื่องคอลเลสเตอร์รอลสูง ซึ่งในเด็กสังเกตได้ยากพอๆ กับผู้ใหญ่
เพราะฉะนั้นจึงไม่ควรนิ่งนอนใจ หากเห็นลูกหลานร่างกายอ้วนขึ้นอย่างผิดสังเกต
ควรรีบปรึกษาแพทย์ หรือนักโภชนาการที่เชี่ยวชาญทันที

แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่า เด็กหรือแม้แต่ผู้ใหญ่เองมีน้ำหนักเกินพอดี
มีวิธีการคำนวณง่ายๆ จากค่ามาตรฐาน ที่เรียกว่า "ดัชนีมวลกาย (BMI หรือ Body Mass Index)"
ดัชนีมวลกาย (BMI) = น้ำหนักตัว (กิโลกรัม)
ส่วนสูง ๒ (เมตร ๒)

ยกตัวอย่าง ส่วนสูง ๑๗๐ เซนติเมตร
ก็คือ ๑.๗ เมตร แล้วเอาส่วนสูงที่คิดเป็นเมตรนี้ยกกำลังสอง
นำมาเป็นตัวหารของน้ำหนักตัวที่คิดเป็นกิโลกรัม แต่ดูตัวเลขแล้วค่อนข้างจะยุ่งยาก จึงใช้วิธีประมาณ

การคิดคำนวณง่ายๆ ดังนี้
คนปกติจะมี BMI ประมาณ ๒๒-๒๔ ถ้าสูงถึง ๒๕ แสดงว่ามีน้ำหนักเกินแล้ว
ถ้าใครเกินจนกระทั่งถึง ๓๐ แสดงว่าเป็นโรคอ้วน
เพราะฉะนั้นเราต้องประมาณการดู แต่ถ้าสมมติว่า BMI น้อยกว่า ๒๐ แสดงว่าผอม

"ตัวเลขดัชนีมวลกายจะแปรผันตามอายุ สำหรับเด็กไทยอาจจะตกอยู่ราว ๑๘-๒๐ ไม่ควรเกินนี้
ถ้าวัยผู้ใหญ่ อย่าให้เกิน ๒๓ จริงๆ รูปร่างเด็กแท้ๆ จะผอมโดยสภาพ
แต่พอถึงวัยผู้ใหญ่ ๓๕ ขึ้นไป น้ำหนักเริ่มขึ้น ๔-๕ กิโลฯ เป็นอย่างน้อย
เพราะอายุมากขึ้นการเผาผลาญอาหารก็เปลี่ยนไป"

ทีนี้จะปฏิบัติตัวอย่างไร เพื่อป้องไม่ให้เสี่ยงต่อโรคอ้วน
ผู้เชี่ยวชาญบอกว่าการบริโภคอาหาร ด้วยจุดมุ่งหมายเพื่อสุขภาพอันดีทั้งในปัจจุบันและอนาคต
จำเป็นต้องอาศัยความรู้เรื่องคุณค่าของอาหาร ประกอบกับความตั้งใจจริงที่จะบริโภคเพื่อสุขภาพ
มากกว่ารับประทานตามใจปาก

สิ่งสำคัญที่ไม่ควรละเลยในการกินอยู่ก็คือ การเลือกที่จะทาน
เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่เราสามารถควบคุมได้

"เรื่องอาหารจะมีผักและผลไม้เข้ามาเกี่ยวข้อง อย่างที่เขาว่ากินปลาเป็นหลัก กินผักครึ่งหนึ่ง
ก็ทำให้ได้แนวคิดว่าอาหารที่ปลอดภัยน่าสนับสนุน ต้องมีผักแน่นอน
นอกจากนี้บ้านเรามีสมุนไพรมากมาย อาหารเป็นยา ถ้าทานทุกวันก็เป็นยาอายุวัฒนะ
แต่ผลไม้บ้านเรา ก็ต้องเลือกทานให้เป็น
เพราะส่วนใหญ่จะมีแคลอรี่สูงอย่าง ทุเรียน ลำไย เงาะ มะม่วง ฯลฯ
ถ้ารณรงค์เรื่องผลไม้อยากให้มีมะละกอ สับปะรด ฝรั่ง ชมพู่ เบาๆ แต่มีกากใยมาก
คนไทยเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่กันเยอะ ส่วนหนึ่งเกิดจากไม่ชอบทานผักและผลไม้นั่นเอง
"

รู้จักเลือกทานอย่างถูกต้องแล้ว ก็ต้องไม่ลืมที่จะออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอด้วย
เพียง ๓-๔ วันต่อสัปดาห์ ครั้งละประมาณ ๒๐ นาทีอย่างต่อเนื่อง

สองสิ่งนี้จะช่วยให้มีสุขภาพที่ดี และที่แน่ๆ ไม่ทำให้อ้วนด้วย

อย่างไรก็ตามทางการแพทย์ไม่สนับสนุนให้ลดน้ำหนัก โดยการพึ่งยาลดน้ำหนัก
หรือคนที่รู้สึกว่าตัวเองไม่แข็งแรงแล้วทานอาหารเสริม
เพราะผลิตภัณฑ์เหล่านี้ โดยรากฐานอาจไม่ได้มาจากการวิจัยที่น่าเชื่อถือ
เป็นการพยายามบอกว่าดีมีประโยชน์ แต่ไม่มีหลักฐานสนับสนุนทางวิชาการแพทย์ที่ชัดเจน

แต่หากพยายามทุกวิถีทางแล้ว เจ้าร่างกายจ้ำม่ำไม่มีวีแววว่าจะลดลงเสียที เห็นทีต้องปรับทัศนคติใหม่
แล้วหันมาดูแลเรื่องความแข็งแรงแทน หรือที่เรียกว่า "Fat but Fit" อ้วนแต่ร่างกายฟิตปั๋ง!

ความจริงเกี่ยวกับประเด็นนี้ ก็คือการจะจับคนอ้วนๆ มาลดความอ้วนเลย
๙๙.๙๙ % ล้มเหลว เพราะแต่ละคนมีภูมิหลังเรื่องอ้วนต่างกัน
แต่เราสามารถทำให้คนอ้วนมีความฟิตได้ คือ การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
เชื่อหรือไม่ว่า คนอ้วนที่ออกกำลังกายเป็นประจำ อาจแข็งแรงกว่าคนผอมที่ไม่ออกกำลังกายเลย ....

"การไปหาหมอลดความอ้วน แล้วตั้งเป้าว่าอย่างน้อยต้องลดให้ได้ ๑๐ กิโลฯ
คนอายุ ๔๐ ปี บอกให้ลด ๑๐ กิโลฯ ภายในไม่กี่สัปดาห์
มันสาหัสนะ พอๆ กับสั่งให้ไปหางานทำแล้วเป็นเศรษฐีทันควัน
เรื่องนี้มีจิตวิทยา เขาเป็นแบบนี้ มาหาเราถ้าเราถอนชิพที่ติดตัวเขาไม่ได้
จะทำอย่างไรให้สิ่งที่เป็นอยู่มีความสุขที่สุด ถ้าไม่ลดไม่เพิ่มได้มั๊ย
คนไม่อ้วนไม่รู้หรอกว่าเวลามันจะอ้วนมันเพิ่มขึ้นทุกปี แล้วลดยากมากๆ"

นอกจากนี้ "Fat but Fit" ยังช่วยให้คุณดูดีในสภาพที่เป็นอยู่
เพราะเวลาออกกำลังกาย ร่ายกายจะเปลี่ยนไขมันให้เป็นกล้ามเนื้อในน้ำหนักตัวเท่าๆ กัน
คนมีกล้ามเนื้อมากจะแข็งกว่า ซึ่งสังเกตได้ด้วยตาเปล่า ฟิตหรือไม่ฟิตดูกันตรงนี้

น้ำหนักตัวจึงไม่อาจวัดว่าคุณมีไขมันมากหรือน้อยได้....
"ควรออกกำลังกายทั้งแอโรบิคและยกน้ำหนัก อันแรกช่วยเผาผลาญไขมัน อันที่สองช่วยเพิ่มกล้ามเนื้อ
เอาออกแล้วก็ทดแทน แล้วอย่าลืมทานแต่อาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย เป็นหนทางที่ดีที่สุด
"

รักตัวรักสุขภาพก็ต้องใส่ใจกันหน่อย
แต่บางคนอาจจะแย้งว่า ไม่มีเวลามากพอกับเรื่องนี้ แค่ทำงานไปวันๆ เวลาก็หมดไปแล้ว
จะเอาเวลาที่ไหนมาพิถีพิถันกับเรื่องการกินอยู่ล่ะ
ถ้าคุณมีทัศนคติแบบนี้ บอกได้เลยว่ากำลังคิดผิดมหันต์!
เพราะถ้าคุณมัวเสียดายเวลาเล็กๆ น้อย เพื่อแลกกับการมีสุขภาพที่สมบูรณ์แข็งแรง
ในอนาคตคุณอาจจะต้องเสียเงินและเวลา มากกว่าในการรักษาโรคภัยไข้เจ็บที่เกิดขึ้น
จากการไม่ใส่ใจสุขภาพก็ได้ เงินทองมากมายแค่ไหน ก็ไม่สำคัญเท่าสุขภาพเราหรอก
รักษ์สุขภาพให้มากๆ เพื่อจะได้มีโอกาสใช้เงินในวันหน้าดีกว่า...เชื่อสิ!

สนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม
ติดต่อคลีนิกโภชนาการ คณะสหเวชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยโทร. 02-218-1100


ที่มา : //www.nationejobs.com
ภาพจาก : //www.fotosearch.com


สารบัญ ลดอ้วน ลดน้ำหนัก




 

Create Date : 02 เมษายน 2554
0 comments
Last Update : 2 เมษายน 2554 12:31:55 น.
Counter : 1935 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 


ทุกคนไม่ได้รู้ทุกสิ่ง
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 200 คน [?]




Friends' blogs
[Add ทุกคนไม่ได้รู้ทุกสิ่ง's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.