โรคอ้วนกับวิธีการลดน้ำหนัก
โรคอ้วนเป็นความผิดปกติของร่างกายอย่างหนึ่งที่มีความสำคัญอย่างมาก ทำให้เกิดโรคอื่น ๆ ตามมาอีกมากมาย เช่น โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจขาดเลือด โรคโคเลสเตอรอลสูงในเลือด โรคไตรกลีเซอไรด์สูงในเลือด โรคเบาหวาน โรคนิ่วในถุงน้ำดี กระดูกและข้อเสื่อมเร็วกว่าคนปกติ ระบบทางเดินหายใจทำงานไม่สะดวก โรคที่เกี่ยวกับปัญหาด้านจิตใจ แต่ละโรคที่กล่าวมา ล้วนแต่มีความร้ายแรงและยากต่อการรักษาเป็นอย่างยิ่ง
ความหมายของโรคอ้วน ได้แก่ผู้ที่มีน้ำหนักมากขึ้น จากการที่ร่างกายมีการสะสมไขมันไว้ในร่างกายเกินควรจะเป็น การเปลี่ยนแปลงน้ำหนักของส่วนอื่น ๆ ของร่างกาย เช่น กล้ามเนื้อ กระดูกและอวัยวะภายในของคนอ้วนมีน้อยมาก ผู้ใดที่มีน้ำหนักมากกว่าที่ควรจะเป็น 20 เปอร์เซ็นต์ ถือว่าเป็นโรคอ้วน
ในปัจจุบันมีวิธีการตรวจสอบอยู่หลายวิธี ตั้งแต่วิธีง่ายที่สุดคือการดูจากสายตา วิธีนี้ถ้าใครอ้วนมาก ๆ ก็ง่าย แต่ถ้าบางคนอ้วนไม่มากอาจบอกได้ไม่ชัดเจน
วิธีที่นิยมในปัจจุบันเพื่อบอกให้ชัดเจนว่าผู้ใดเป็นโรคอ้วน คือเราใช้วิธีคำนวณหาดัชนีความหนาของร่างกาย ค่าที่ได้ต้องมากกว่า 25 กิโลกรัมต่อตารางเมตรขึ้นไป จึงจะบอกว่าเริ่มเป็นโรคอ้วน วิธีคำนวณหาดัชนีความหนาของร่างกายให้ท่านชั่งน้ำหนัก สมมุติว่าได้ 60 กิโลกรัม และวัดส่วนสูงได้ 1 เมตร 50 เซนติเมตร ให้เอา 60 หารด้วย 1.5 ยกกำลังสอง คำนวณออกมาได้เท่ากับ 26.66 กิโลกรัมต่อตารางเมตร แสดงว่าท่านเริ่มอ้วนแล้ว เพราะค่าปกติดัชนีความหนาของร่างกายอยู่ระหว่าง 20-24.9 กิโลกรัมต่อตารางเมตร นอกจากนี้อาจใช้อุปกรณ์วัดไขมันใต้ผิวหนังบริเวณต้นแขนด้านหลัง ซึ่งต้องให้คนอื่นมาช่วยวัดให้
ถ้าท่านพบว่าตัวเองอ้วนก็ต้องพยายามลดความอ้วน เพื่อที่จะได้ไม่เสี่ยงต่อโรคข้างเคียงดังที่กล่าวมาแล้ว สำหรับวิธีการลดน้ำหนักมีหลายวิธี วิธีลดน้ำหนักอย่างรวดเร็วมีอยู่ประมาณ 4 วิธี ส่วนใหญ่ไม่นิยมทำกัน แต่ในต่างประเทศ เช่นสหรัฐอเมริกา มีทำกันบ้างแต่ไม่มากนัก สาเหตุที่ไม่ค่อยนิยมทำกัน เพราะวิธีการบางอย่างอาจจะต้องมีการทำการผ่าตัดร่วมด้วย ผู้มารับการรักษาอาจต้องเจ็บตัวนอกจากเสียเงินแล้ว วิธีการเหล่านี้คือ
การฉีดฮอร์โมนเข้าไปในร่างกาย เพื่อให้มีผลต่อการเผาผลาญพลังงานจากไขมัน นอกจากจะมีราคาแพงแล้วยังมีผลข้างเคียงรุนแรงค่อนข้างมาก
วิธีการผ่าตัดมัดกระดูกขากรรไกรให้เข้าหากัน ปากของคนนั้น ๆ ก็จะไม่สามารถรับประทานอาหารได้ตามปกติ กลืนอาหารเหลวได้เท่านั้น
วิธีการผ่าตัดเพื่อลดขนาดของกระเพาะอาหาร หรือการตัดต่อลำไส้เล็กใหม่ให้สั้นลง เพื่อลดเวลาในการดูดซึมสารอาหาร ในระหว่างผ่านกระเพาะอาหารและลำไส้เล็ก นอกจากนี้มีการทดลองใส่ลูกโป่งเข้าไปในกระเพาะ เพื่อให้มีที่ว่างน้อยลง
วิธีการผ่าตัดหรือการดูดไขมันหน้าท้องออก วิธีนี้มีการทำในเมืองไทย โดยเฉพาะสุภาพสตรีที่มีไขมันหน้าท้อง ซึ่งทำให้หน้าท้องหย่อนไม่สวยงาม จึงไปพบแพทย์เพื่อผ่าตัดเอาไขมันและทำให้หน้าท้องตึงขึ้น ส่วนการดูดไขมันออกทางหน้าท้อง ใช้วิธีเจาะช่องหน้าท้อง แล้วเอาเครื่องมือสอดเข้าไปในชั้นไขมันใต้ผิวหนัง เพื่อดูดเอาไขมันออก
นอกจากวิธีการลดน้ำหนักอย่างรวดเร็วแล้ว การกินยาลดน้ำหนักก็มีการใช้กันอย่างมาก ปัจจุบันมียาลดน้ำหนักหลากชนิดแบ่งเป็น 4 กลุ่ม คือ กลุ่มแรก ได้แก่ ยาลดการย่อยไขมันและดูดซึมไขมันจากอาหารที่กินเข้าไป โดยสามารถลดการย่อยไขมันได้ประมาณ 30 เปอร์เซ็นต์ แต่ยากลุ่มนี้มีผลข้างเคียงต่อระบบทางเดินอาหาร เช่น แน่นท้อง มีลมในท้อง ถ่ายบ่อยและถ่ายเป็นน้ำมัน ซึ่งมักจะเป็นในสัปดาห์แรก ๆ ของการกินยา และจะค่อย ๆ ลดลงเมื่อใช้ยาต่อเนื่อง ส่วนพวกกากใยอาหารทั้งที่ละลายน้ำและไม่ละลายน้ำ รวมทั้งสารไคติน-ไคโตซานที่มีอยู่มากมายในท้องตลาด มีผลดีในการปรับระบบการขับถ่ายอุจจาระมากกว่าจะมีผลในการลดความอ้วน
ยากลุ่มที่สอง เป็นยาลดความอยากอาหารให้น้อยลง เป็นยาที่ออกฤทธิ์โดยตรงต่อระบบประสาทส่วนกลาง คือการรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ แต่พยายามลดอาหารประเภทแป้ง น้ำตาล โดยยามีฤทธิ์ในการลดความอยากอาหารลงและทำให้รู้สึกเบื่ออาหารขึ้น จึงเป็นยาที่ถูกจัดเป็นยาควบคุม เพราะเป็นยาที่ดัดแปลงสูตรมาจากยาบ้า ดังนั้นจึงมีฤทธิ์ข้างเคียงคล้ายกัน ยาในกลุ่มนี้ จึงเป็นยาที่ต้องใช้โดยการควบคุมของแพทย์อย่างเคร่งครัด
ยากลุ่มที่สาม เป็นยาทำให้เกิดความรู้สึกอิ่มง่ายและเร็วขึ้น นับเป็นยาที่มีประสิทธิภาพในการลดน้ำหนักได้ดี ประสิทธิผลของยายังคงมีต่อเนื่อง แม้จะใช้นานกว่า 6 เดือน และยังมีผลในการควบคุมความเครียด และลดระดับน้ำตาลในเลือดลงด้วย แต่อย่างไรก็ต้องอยู่ในการควบคุมของแพทย์อย่างเคร่งครัด ตลอดการรักษา
ยากลุ่มสุดท้าย เป็นยาเพิ่มการเผาผลาญพลังงานและไขมันในร่างกาย ยากลุ่มนี้กำลังอยู่ระหว่างการพัฒนาและวิจัย โรคอ้วนเป็นโรคเรื้อรังและยากแก่การรักษา
ยังไม่มียาวิเศษใดที่มีคุณสมบัติลดน้ำหนักได้เพียงลำพัง โดยไม่ต้องควบคุมอาหารและการออกกำลังกาย นอกจากนี้อาจเสี่ยงต่อยาปลอมอีกด้วย
วิธีที่กล่าวมาทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นการลดอย่างรวดเร็วหรือการกินยา คงไม่มีวิธีไหนดีไปกว่าวิธีที่จะกล่าวดังต่อไปนี้ ซึ่งจะไม่มีผลข้างเคียงด้วย และไม่ควรงดอาหารมื้อใดมื้อหนึ่ง เพราะอาจทำให้รับประทานมื้อถัดไปมากขึ้น ที่สำคัญควรรับประทานประเภทผักใบเขียว เพราะจะมีใยอาหารอยู่มาก
พยายามดื่มน้ำก่อนอาหาร เพื่อถ่วงกระเพาะอาหารซึ่งจะทำให้ทานอาหารได้น้อยลง หรือเลือกรับประทานใยอาหารก่อนอาหารประมาณครึ่งชั่วโมงแทน เพื่อผลทางจิตวิทยา
ควรใช้ภาชนะเล็กลงโดยมีปริมาณอาหารเท่าเดิม เพื่อให้ดูว่ามีอาหารมากขึ้น และควรใช้ช้อนขนาดเล็กเพื่อจะได้รับประทานช้าลง
ควรฝึกเคี้ยวซ้ำ ๆ จะทำให้รับประทานอาหารได้น้อยลงและรู้สึกอิ่มเร็วขึ้น
หาเวลาออกกำลังกายที่เหมาะสมมากขึ้น มักมีความเชื่อผิด ๆ กันว่า การออกกำลังกายมากขึ้นจะทำให้หิวเร็วและรับประทานอาหารมากขึ้น แต่ในความเป็นจริงแล้ว การที่ไม่ได้ออกกำลังกายจะทำให้รู้สึกเบื่อหน่าย จึงมักขจัดความเบื่อนี้ด้วยการรับประทาน การออกกำลังกายจึงเป็นวิธีช่วยลดความเบื่อหน่าย และเพิ่มการใช้พลังงานเพื่อเผาผลาญไขมันสะสมให้ลดน้อยลง
การสร้างสิ่งจูงใจ หรือทัศนคติดี ๆ ต่อพฤติกรรมใหม่ ๆ เช่น การเขียนข้อความเกี่ยวกับการลดความอ้วนหรือดูชุดสวย ๆ ในสมัยก่อนที่เคยใส่ได้ เพื่อให้เห็นถึงเป้าหมายและสามารถกระตุ้น หรือจูงใจให้มีความพยายามมากขึ้น
และที่สำคัญที่สุดพยายามพักผ่อนให้มาก ๆ ไม่มีประโยชน์เลยถ้ามีรูปร่างที่สวยงามอย่างที่ต้องการ แต่ต้องอาศัยอยู่ในโรงพยาบาล อันเนื่องมาจากการลดน้ำหนักผิดวิธี
ข้อมูลโดย สุดสายชล หอมทอง ภาพจาก://www.fotosearch.com.au
สารบัญลดอ้วน ลดน้ำหนัก
Create Date : 22 มีนาคม 2552 |
Last Update : 18 มีนาคม 2555 16:35:24 น. |
|
0 comments
|
Counter : 1075 Pageviews. |
|
|
|
|
|