Group Blog
 
<<
พฤษภาคม 2553
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
3031 
 
9 พฤษภาคม 2553
 
All Blogs
 
สูตรสำเร็จ 'บาลานซ์ ไดเอท'

ไดเอท ลดน้ำหนัก
บริโภคถูกหลัก...เลี่ยงโรคร้าย

เดี๋ยวนี้เมื่อรู้สึกหิว หลายคนนึกถึงอาหารฟาสต์ฟู้ดหรืออาหารจานด่วน
เพราะหากินง่าย สะดวก รวดเร็ว แถมรสชาติก็ดีหวาน ๆ เค็ม ๆ มัน ๆ อร่อยถูกปากทั้งเด็กและผู้ใหญ่
ที่สำคัญวิถีชีวิตของคนเราก็เปลี่ยนไป มีการเร่งรีบขึ้น
ทำให้ปัจจุบันพฤติกรรมการบริโภคอาหารฟาสต์ฟู้ดเป็นที่นิยม จนบางครั้งเราลืมนึกถึงไปว่า
อาหารประเภทนี้มีสารอาหารไม่ครบถ้วนและให้พลังงานสูง
ซึ่งนักวิชาการส่วนใหญ่เรียกอาหารฟาสต์ฟู้ดว่าเป็นอาหารขยะ...!!!

แต่การรับประทานอาหารฟาสต์ฟู้ดก็ไม่ใช่ว่าจะมีแต่โทษต่อร่างกาย
เพราะอาหารส่วนมากจะเป็นเนื้อสัตว์ ขนมปัง และของทอดต่างๆ หากเรารู้จักเลือกรับประทานอย่างพอเหมาะ
อาหารเหล่านี้จะให้โปรตีน แร่ธาตุ และวิตามินบางชนิดในปริมาณที่มากพอควร

ดังนั้นการกินอาหารฟาสต์ฟู้ด
ไม่ใช่เรื่องต้องห้าม ทุกคนสามารถรับประทานได้ แต่ต้องรู้จักการรับประทานที่ถูกวิธี
โดย ศ.นพ. พิภพ จิรภิญโญ หัวหน้าหน่วยโภชนาการภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล
แนะนำการรับประทานอาหารฟาสต์ฟู้ดให้อร่อยแบบสุขภาพดีด้วยวิธี “บาลานซ์ ไดเอท” (Balance Diet)
เริ่มจากตรวจสอบสุขภาพอย่างง่ายๆ ด้วยการเปรียบเทียบน้ำหนักตัวกับความสูงก่อน
ถ้าเป็นผู้หญิงใช้ความสูงลบกับ 110 ส่วนผู้ชายลบด้วย 105 และเด็กลบด้วย 100
จะได้น้ำหนักตัวที่มาตรฐานขาดเกินนิดหน่อย

สำหรับคนที่น้ำหนักตัวอยู่ในเกณฑ์ปกติแล้ว
ในเรื่องของการรับประทานอาหารต้องรับประทานให้ครบ 5 หมู่
โดยเริ่มจากพลังงานควรได้รับในปริมาณที่พอเหมาะ ไม่มากหรือน้อยเกินไปจะได้ไม่อ้วนและไม่ผอมจนเกินไป
ส่วนโปรตีน ก็ควรรับประทานในปริมาณที่ไม่มากเกินไปและไม่น้อยเกินไปเช่นกัน
เพราะหากเรารับประทานมากไปจะทำให้ไปบดบังสารอาหารกลุ่มอื่น
และถ้าทานน้อยไปร่างกายก็จะขาดวิตามินและเกลือแร่

“โดยเฉลี่ยแล้วภายใน 1 วัน เราควรรับประทานอาหารให้ได้พลังงานประมาณ 1,400-1,600 กิโลแคลอรี
ถ้าเป็นผู้หญิงควรรับประทานประมาณ 1,400-1,500 กิโลแคลอรี ส่วนผู้ชายประมาณ 1,600 กิโลแคลอรี
หากเรารับประทานมากเกินกว่านี้จะทำให้เป็นโรคอ้วน
และถ้ายิ่งรับประทานอาหารที่มีไขมันมากๆ จะเป็นอันตรายต่อตับ ทำให้ตับอักเสบ
โดยเฉพาะเด็กหรือผู้ใหญ่ที่อ้วนลงพุง จะมีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดโรคต่างๆ มากมาย
ไม่ว่าจะเป็นโรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ โรคหลอดเลือด และสุดท้ายก็เป็นมะเร็ง
จากสถิติทั่วโลกพบว่าผู้ที่มีอายุ 40-50 ปีก็เริ่มเป็นกันแล้ว

คุณหมอพิภพ ให้เคล็ดลับในการรับประทานอาหารฟาสต์ฟู้ด เช่น
พิซซ่า แฮม เบอร์เกอร์ ไก่ทอด เฟรนซ์ฟรายส์ ฯลฯ ที่เราชื่นชอบกันแบบกินแล้วไม่อ้วนด้วยวิธีบาลานซ์ไดเอทว่า
ถ้าวันนี้รับประทานอาหารฟาสต์ฟู้ดแล้ว
ในวันรุ่งขึ้นสามารถแก้ไขได้ ด้วยการรับประทานอาหารเช้าที่ให้พลังงานต่ำ
เช่น ข้าวต้มกับ ผักดอง ไข่เค็ม ต้มจับฉ่าย ปลาทูนึ่ง หรือโจ๊ก จะได้พลังงานประมาณ 200 กิโลแคลอรี
มื้อกลางวันกินก๋วยเตี๋ยวน้ำแบบไม่พิเศษจะให้พลังงาน 200 กิโลแคลอรี ส่วนมื้อเย็นอาจจะกินตามปกติ
และปิดท้ายมื้อบาลานซ์ตอนปลายก่อนนอนด้วยผลไม้ เช่น ฝรั่ง แอปเปิ้ล สาลี่ มะละกอ
ถือเป็นการปิดภาคปฏิบัติสำหรับคนทำงาน
จะได้พลังงานที่บาลานซ์กับเมื่อวาน ที่เรารับประทานอาหารฟาสต์ฟู้ดมื้อหนักเข้าไป


การแก้ไขบาลานซ์ไดเอท ควรแก้ไขภายใน 1-2 วันจึงจะได้ผลดี เพราะน้ำหนักตัวจะคงอยู่เท่าเดิม
แต่หากอยากรับประทานอาหารมากขึ้นอีกหน่อย เราสามารถนำเอาการออกกำลังกายเข้ามาช่วยลดได้
ซึ่งวิธีการออกกำลังกายในการลดน้ำหนักที่ดี จะต้องใช้การเคลื่อนที่ของขา
เพราะขาของเราเป็นแหล่งใช้พลังงานที่ใหญ่ที่สุดในร่างกาย
เช่น การเดินหรือวิ่งมาก ๆ การขี่จักรยาน การว่ายน้ำ
ถ้าเราออกกำลังกาย 1 ชั่วโมงจะสามารถลดพลังงานได้ 300 กิโลแคลอรี และถ้า 2 ชั่วโมงก็ลด 600 กิโลแคลอรี
ทำให้เราสามารถกินอาหารที่ชอบได้มากขึ้นอีกนิดหน่อย

ที่สำคัญอย่าลืมชั่งน้ำหนักตัวทุกสัปดาห์ ในช่วงวันและเวลาเดียวกัน
เพื่อตรวจสอบน้ำหนักตัวว่าเราปฏิบัติวิธีบาลานซ์ ไดเอทถูกต้องหรือไม่
หากน้ำหนักตัวอยู่ในเกณฑ์ปกติ ก็ถือว่าเราสุขภาพดีแล้วแทบไม่ต้องเจาะเลือด ตรวจโรคเลยด้วยซ้ำ
แต่ถ้าน้ำหนักตัวยังเกินอยู่ ควรปรับลดอาหารหรือเพิ่มการออกกำลังกาย

แต่สำหรับใครที่รับประทานมากเกินจนอ้วน และน้ำหนักตัวเกินมาตรฐานไปแล้ว
ก็สามารถนำวิธีบาลานซ์ ไดเอท มาปรับใช้ได้ด้วยการยอมขาดทุนใช้พลังงานวันละ 700-800 กิโลแคลอรี
เช่น คนน้ำหนักตัวปกติกินอาหารที่ให้พลังงาน วันละ 1,500-1,600 กิโลแคลอรี
แต่เราต้องกินแค่ประมาณวันละ 700-800 กิโลแคลอรี
หรือจะเลือกวิธีการออกกำลังกายควบคู่ไปด้วย ก็จะสามารถทำให้น้ำหนักตัวลดลงมาได้ 1 กิโลกรัมต่อสัปดาห์
ซึ่งน้ำหนักตัวที่ลดไปนั้นจะเป็นไขมันล้วนๆ ส่งผลให้เรามีหุ่นที่เพรียวขึ้น

นอกจากนี้การสังเกตก้อนอุจจาระ ก็สามารถตรวจสอบได้ว่าอาหารที่เรารับประทานเข้าไปในแต่ละวันนั้น
มีปริมาณสารอาหารที่มากเกินไปหรือน้อยเกินไป เช่น
หลังจากถ่ายแล้วก้อนอุจจาระจมน้ำ แสดงว่าอาหารที่รับประทานเข้าไปมีเนื้อสัตว์มากและไม่มีกากใยอาหาร
หรือมีกากใยน้อย ทำให้หนักและจม
เราจึงแก้ไขได้ด้วยการรับประทานผักและผลไม้เพิ่ม จะทำให้อุจจาระเบาขึ้นและลอยน้ำ

เคล็ดลับที่คุณหมอแนะนำมานี้ไม่ยากเกินไป เราสามารถปฏิบัติตามได้ง่ายๆ
ถึงแม้จะต้องใช้ความคิดและอยู่กับตัวเลขทุกวัน แต่ก็ยังดีกว่ารอให้เกิดโรคก่อนแล้วจึงค่อยคิด
เพราะจะทำให้แก้ไขยาก

ส่วนผู้ประกอบธุรกิจอาหารประเภทฟาสต์ฟู้ด คุณหมอแนะนำทิ้งท้ายว่า
ควรเพิ่มเมนูอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการ เช่น สลัดผัก สลัดผลไม้ หรือเมนูอาหารควบคู่กับผัก
หรืออาจจะระบุพลังงานอาหารแต่ละจานให้ผู้บริโภคทราบ เพื่อเป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการดูแลสุขภาพ.


บทความโดย //www.dailynews.co.th
ที่มา : //www.gm-malestyle.com
ภาพจาก : //www.younglivin.org.uk


สารบัญไดเอท ลดน้ำหนัก



Create Date : 09 พฤษภาคม 2553
Last Update : 12 พฤษภาคม 2553 1:47:06 น. 2 comments
Counter : 2308 Pageviews.

 
แน่นอนค่ะ อย่างที่คุณหมอแนะนำเลยนะคะ


โดย: peepa2009 วันที่: 9 พฤษภาคม 2553 เวลา:22:24:57 น.  

 
ขอบคุณสำหรับความรู้ดี ๆ นะคะ


โดย: Molajung วันที่: 9 พฤษภาคม 2553 เวลา:23:04:31 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ทุกคนไม่ได้รู้ทุกสิ่ง
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 200 คน [?]




Friends' blogs
[Add ทุกคนไม่ได้รู้ทุกสิ่ง's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.