ความไม่รู้ เป็นลาภอันประเสริฐ
ไม่ทราบว่าท่านผู้อ่านเคยไม่รู้อะไรบ้างหรือเปล่าครับ ผมคิดว่าทุกคนต้องมีความไม่รู้เกิดขึ้นอยู่แล้ว แล้วท่านทำอย่างไรครับ ถ้าเรื่องนั้นเป็นสิ่งที่ท่านไม่รู้แล้วจำเป็นที่จะต้องรู้ สิ่งที่เราจะทำก็คือ การหาคำตอบเพื่อให้เรามีความรู้ในเรื่องนั้นๆ มากขึ้น ไม่ว่าจะวิธีไหนก็ตาม
ผมเคยเห็นพนักงานบางคนพยายามขวนขวายเรียนรู้ในสิ่งที่ตัวเองไม่รู้ เพื่อที่จะเพิ่มพูนความรู้ให้กับตนเอง ทั้งนี้ก็เพื่อเพิ่มมูลค่าเพิ่มให้กับตัวเราเองทั้งในการทำงาน และการใช้ชีวิตทั่วไปของเรา เพราะความไม่รู้ ก็เลยทำให้เขาอยากที่จะหาความรู้เพิ่มเติมไปเรื่อยๆ
ในทางตรงกันข้าม ผมคิดว่าท่านผู้อ่านเองก็น่าจะเคยประสบมากับตัวเองอยู่แล้ว ก็คือ ความที่เรารู้ ก็เลยทำให้เราปิดประตูตัวเองในการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ บางครั้งมีคนมาพูดในสิ่งเดียวกับที่เรารู้ แต่อาจจะเป็นอีกมุมมองหนึ่ง แต่เราก็ปิดประตูตัวเอง โดยคิดว่าเรารู้แล้ว ไม่จำเป็นต้องรู้เพิ่ม ผลก็คือ เราจะไม่รู้อะไรมากขึ้นไปอีกเลย แทนที่จะได้รู้ในอีกมุมมองหนึ่ง กลับกลายเป็นว่าเรามองอยู่เพียงมุมเดียว และบางครั้งก็เป็นมุมแคบๆ ด้วย
เคยเห็นเด็กๆ เรียนรู้มั้ยครับ เวลาที่เขาไม่รู้ เขาจะถาม และพยายามหาคำตอบ โดยไม่อายอะไรเลย แต่พอเรารู้มากขึ้น สิ่งที่เรารู้กลับทำให้เรารู้น้อยลงไปอีก เพราะว่าเราจะปิดตัวเอง และไม่กล้า หรือไม่อยากถาม เพราะกลัว กลัวว่าคนอื่นจะมองว่าเราไม่รู้ กลัวว่าคนอื่นจะมองว่าเราเฉิ่ม แค่นี้ทำไมยังไม่รู้ และเพราะคิดแบบนี้นั่นเอง ก็ยิ่งทำให้เราไม่รู้มากขึ้นไปอีก จริงมั้ยครับ
ดังนั้นอยากให้ทุกท่านคิดไว้ในใจว่า ความไม่รู้นี่แหละ เป็นลาภอันประเสริฐ อะไรที่เรารู้แล้ว ก็จะมีบางมุมที่เรายังไม่รู้ เราก็สามารถที่จะต่อยอดความคิดของเราไปได้อีกเรื่อยๆ ดังนั้น ให้คิดใหม่ซะว่า เราอาจจะยังไม่รู้เรื่องนี้ดีพอ (ทั้งๆ ที่เราอาจจะรู้ดีมากก็ได้) เพื่ออะไรครับ ก็เพื่อที่จะได้เห็นมุมมองใหม่ๆ ของคนอื่นบ้าง ได้นำเอามุมมองที่เราไม่เคยรู้มาทำให้ความรู้ของเราต่อยอดออกไปอีกอย่างกว้างขวางมากขึ้น และการที่เราคิดว่าเราไม่รู้นั้น จะทำให้เราใช้คำถาม และมักจะคิดในมุมมองใหม่ๆ ได้กว้างขึ้นไปอีก สุดท้ายก็คือ เราจะได้ความรู้มากขึ้นไปด้วย
คนที่อะไรๆ ก็ รู้แล้ว รู้แล้ว ถามอะไรก็ตอบว่า รู้แล้ว จะส่งให้ไปเรียนอะไร ก็บอกว่า รู้แล้ว บางครั้งก็เชื่อว่าตัวเองว่า รู้แล้ว ลองถามตัวเองอย่างจริงๆ จังๆ นะครับ ว่า เรารู้จริงๆ หรือเปล่า และความมั่นใจในความรู้ของตนเองว่าเหนือกว่าคนอื่นนี่แหละครับ ที่จะทำให้เรามืดบอด และสุดท้ายก็เริ่มถอยหลัง ขณะที่คนอื่นก้าวไปข้างหน้าด้วยความไม่รู้
เหมือนกับสุภาษิตจีนโบราญที่ว่า ให้ทำตัวเหมือนถ้วยชาที่มีน้ำชาไม่เต็มถ้วย และพร้อมที่จะเติมน้ำชาใหม่ๆ อยู่เสมอ หลายคนอาจจะรู้จักสุภาษิตนี้ และบอกว่า รู้แล้ว อีกทั้งยังมองว่าเป็นภาษิตที่เก่าแล้ว ด้วยความรู้เก่าๆ นี่แหละครับ ผมถามว่าเราใช้มันในชีวิตประจำวันจริงๆ บ้างหรือเปล่า
สรุปว่าชาของท่านเต็มถ้วยอยู่หรือเปล่าครับ
Create Date : 11 สิงหาคม 2553 |
Last Update : 11 สิงหาคม 2553 6:16:22 น. |
|
2 comments
|
Counter : 1006 Pageviews. |
|
|
|
|
รักแน่แท้ แม่ให้ ด้วยใจมั่น
ใครรักเรา เท่าไร ไม่มีวัน
จะเทียบทัน รักแท้ แม่ให้เรา"