HR Management and Self Leadership
<<
พฤษภาคม 2555
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728293031 
28 พฤษภาคม 2555

มองตัวเอง หรือ มองคนอื่นที่ผิด

การใช้ชีวิตของคนเราในทุกวันนี้มีแต่ความยุ่งยาก และซับซ้อนมากขึ้น มีเรื่องราวต่างๆ ให้เราต้องคิด และต้องพิจารณามากขึ้น ทั้งนี้อาจจะเป็นเพราะเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าอย่างมาก สามารถย่อโลกใบนี้ให้อยู่ในกำมือเราได้เลย ข้อมูลข่าวสารต่างๆ มีมากมายจนเกินกว่าเราจะรับไหวในแต่ละวัน ด้วยองค์ประกอบหลายๆ อย่างเหล่านี้ ทำให้มุมมองการใช้ชีวิตของคนในยุคปัจจุบันเปลี่ยนแปลงไปมากเมื่อเทียบกับในอดีต จะสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจนว่ารุ่นพ่อแม่เราจะคิดและทำอีกอย่างหนึ่ง เด็กรุ่นปัจจุบันจะคิดและทำอีกแบบหนึ่ง ซึ่งก็มักจะเกิดความขัดแย้งกันในด้านความคิดและการกระทำเสมอ

โลกปัจจุบันทำให้เรามองตัวเราเองเป็นใหญ่ ยึดตัวเราเป็นศูนย์กลางของทุกสิ่งทุกอย่าง เราต้องถูก เราต้องดี เราต้องเยี่ยมยอดกว่าคนอื่น การแข่งขันทำให้เราจะต้องดิ้นรน และเอาชนะคนอื่นให้ได้แม้กระทั่งคนในครอบครัวเราเองด้วยซ้ำไป ทำให้คนในยุคปัจจุบันเกิดความเครียดได้ง่ายกว่า โกรธได้เร็วกว่า ตัดสินใจทำให้สิ่งที่ผิดได้เร็วกว่า ไม่ว่าจะเป็นการทะเลาะวิวาทที่เกิดขึ้นจากเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่เราได้เคยเห็นตามข่าวในหน้าหนังพิมพ์ จากเรื่องเล็กกลายเป็นเรื่องใหญ่ จนถึงขั้นฆ่าแกงกันเลยก็มี ปัจจุบันการจะยิงใครสักคน รู้สึกว่าเป็นเรื่องง่ายเหลือเกิน

ทั้งหมดทั้งปวงก็เป็นเพราะ เรามองตัวเองเป็นใหญ่ มองตัวเองสำคัญ มองตัวเองถูกทุกอย่าง ไม่มีอะไรที่เราผิดเลย ผลต่อเนื่องก็คือ เราก็จะมองคนอื่นผิดตลอด ไม่ว่าเขาจะทำถูกสักแค่ไหน ถ้าเรามองว่าผิด เขาก็ต้องผิด เราไม่ค่อยมองว่าตัวเองผิดสักเท่าไหร่

เหมือนในสมัยก่อนที่มีผู้ใหญ่มาสอนเราว่า การที่เราชี้นิ้วไปทีคนอื่น ว่าคนอื่นผิดนั้น นิ้วที่ชี้ไปหาคนอื่นนั้นมีเพียงนิ้วเดียว แต่อีก 4 นิ้วที่เหลือมันชี้กลับมาที่ตัวเอง นั่นเป็นการสอนว่าให้มองตัวเองก่อนที่จะไปกล่าวโทษคนอื่นว่าผิด เด็กสมัยใหม่เวลาจะชี้ว่าคนอื่นผิด ก็เลยเปลี่ยนเป็นการผายมือไปทั้งมือเลยครับ เป็นการบอกไปเลยว่าทั้ง 5 นิ้วชี้ไปที่คนอื่นทั้งหมด ไม่มีนิ้วไหนชี้กลับมาหาเราเลย (คิดได้ไง)

ผมขออนุญาตยกเอานิทานของ คุณประภาส ชลศรานนท์ ที่ได้รวมเล่มไว้ในหนังสือเรื่อง นิทานล้านบรรทัดเล่ม 2 มาให้อ่านกัน เพราะผมอ่านแล้วรู้สึกว่ามันโดนมาก ก็เลยอยากเอามาถ่ายทอดให้คนอื่นได้อ่านกันด้วย อาจจะมีหลายท่านที่ได้เคยอ่านนิทานเรื่องนี้มาแล้ว ก็ลองอ่านอีกสักครั้งนะครับ นิทานเรื่องนี้มีชื่อว่า “ไม้หันอากาศทั้ง 5” เรื่องมีอยู่ว่า

>>>>>>>>>>>

ฉันเดินทางไปต่อว่าพระเจ้าว่าเหตุใดจึงสร้างพวกเราขึ้นมาให้อยูในโลกอันมืดมิด

พระเจ้าตอบว่า “เราได้ให้ไม้หันอากาศกับมนุษย์ไปแล้ว มนุษย์ไม่ยอมหันมันขึ้นสู่ท้องฟ้าอันงดงามเอง”

ฉันนึกเถียงในใจ พวกเราใช้มันแล้ว มันอยู่ในคนว่า “ฉัน” นี่อย่างไร

พระเจ้าตอบสวนทันที “อย่างนั้นเขาไม่เรียกว่าใช้”

คราวนี้ฉันออกเสียงเถียงออกไปเลย “แต่มันก็ทำให้คำว่า ฉัน เป็นฉัน”

“นั่นอย่างไร มนุษย์ก็เป็นเสียอย่างนี้ เอะอะอะไรก็อ้าง ฉันต้องเป็นฉัน” พระเจ้าส่ายหน้า “เราได้ให้ของวิเศษแก่มนุษย์ไปห้าอย่าง ไม้หันอากาศทั้งห้าที่จะทำให้พวกเจ้าได้มองเห็นท้องฟ้าอันงดงาม”

ขณะที่ฉันกำลังคิดตาม พระเจ้าก็พูดต่อ “ของวิเศษอย่างแรก ฝัน”

“ฝัน” ฉันเริ่มนึกออก ฉันเคยใช้มันบ้างบางครั้ง

“ฝัน ทำให้พวกเจ้ามองเห็นสิ่งที่เจ้ายังไม่มี ได้ยินเสียงในสิ่งที่เจ้ายังไม่เคยได้ยิน ได้เป็นสิ่งที่เจ้ายังไม่ได้เป็น”

พระเจ้าคงเห็นฉันพยักหน้า จึงพูดต่อ “ย่างที่สอง บั่น”

“ท่านหมายถึง บากบั่น” ฉันถาม

“ใช่ พวกเจ้าต้องใช้ไม้หันอากาศตัวนี้เพื่อทำให้สิ่งที่เจ้าฝันเป็นจริง”

พระเจ้ายิ้มแล้วพูดต่อ “ของวิเศษตัวที่สาม ขวัญ”

ฉันคิดตาม “กำลังใจนั่นเอง”

“มันสำคัญมากนะ มันจะทำให้พวกเจ้ามีแรงบากบั่นได้สำเร็จ มันเป็นสิ่งที่พวกเจ้าต้องให้กันและกัน”

“ท่านให้พวกเรามา แล้วให้พวกเราให้กันและกันอีกที” ฉันทบทวนความคิด

“เจ้าเข้าใจถูกต้องแล้ว” พระเจ้าตอบ

“ของวิเศษอย่างที่สี่ ขัน” พระเจ้าพูดต่อ

“อะไรนะท่าน ขัน” ฉันกำลังคิดเล่นๆ ว่าพระเจ้าคงไม่ได้หมายถึงภาชนะตักน้ำอะไรนั่น

“ฉันหมายถึงอารมณ์ขัน” พระเจ้ายิ้มอีก “เมื่อกี้เจ้ากำลังมีอารมณ์ขัน"

“แล้วอารมณ์ขันเป็นของวิเศษได้อย่างไร” ฉันยังไม่เข้าใจ

“ไม้หันอากาศตัวนี้จะทำให้มนุษย์มีความสุขในสิ่งที่ตัวเองมี มีความสุขในสิ่งที่ตัวเองเป็นอยู่”

ฉันยิ้ม นึกออกทันที ไม่ว่าจะอยู่ในสถานะไหน ยากดีมีจนเพียงไร อารมณ์ขันทำให้มนุษย์หาความสุขได้ในสถานะนั้นจริงๆ

“แล้วไม้หันอากาศตัวที่ห้าล่ะ” ฉันถามต่อ

“ปัน” พระเจ้าตอบสั้นๆ

“โลกจะหายจากความมืดมิดเมื่อพวกเจ้าได้สิ่งที่เจ้าอยากมี แล้วแบ่งปันออกไป”.....

ฉันเดินทางกลับจากพระเจ้า โดยลืมถามไปว่าของวิเศษทั้งห้าอย่างที่พระเจ้าให้เรามา ถ้าใช้จนหมดแล้วจะทำอย่างไร แล้วฉันก็ได้ยินเสียงเบาๆ อยู่ในหู

“ไม้หันอากาศทั้งห้านี้ ใช้เท่าไรก็ไม่มีทางหมด หนำซ้ำ ยิ่งใช้ ก็ยิ่งเพิ่ม”

>>>>>>>>>>>>

อ่านจบแล้วรู้สึกอย่างไรบ้างครับ

ไม้หันอากาศทั้งห้าตัวนี้คือ ฝัน บั่น ขวัญ ขัน และ ปัน จะช่วยให้เราลดความเป็นตัวเองลงได้ และมองคนอื่นมากขึ้น ไม่เพียงใช้กับการพัฒนาตัวเราได้แล้ว เรายังสามารถนำมาใช้ในการทำงาน โดยเฉพาะหัวหน้าก็สามารถเอาไปใช้กับลูกน้องของตัวเองได้อีกด้วยนะครับ

ลองเอาไปใช้กันดูนะครับ




Create Date : 28 พฤษภาคม 2555
Last Update : 28 พฤษภาคม 2555 6:31:02 น. 2 comments
Counter : 1506 Pageviews.  

 


โดย: papisong วันที่: 28 พฤษภาคม 2555 เวลา:6:40:15 น.  

 
บทความดีมากเลยครับ เป็นแรงกำลังใจให้ตัวเองได้เลย


โดย: โกรงเกรง วันที่: 28 พฤษภาคม 2555 เวลา:11:22:00 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

singhip
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 72 คน [?]




ประคัลภ์ ปัณฑพลังกูร
ที่ปรึกษาทางด้านการบริหารทรัพยากรบุคคล
และการพัฒนาภาวะผู้นำ

วางระบบการบริหารค่าจ้างเงินเดือน ระบบบริหารผลงาน และระบบการบริหารงานทรัพยากรบุคคลให้กับองค์กรทั้งภาครัฐและเอกชน
[Add singhip's blog to your web]