เขียนระหว่างปี พ.ศ. 2526 - 2528
ทางโรงไฟฟ้านั้น พันศักดิ์ต้องทำงานหนักมากที่จะเข้ายึดคืน เพราะกำลังทหารเรือที่นั่นไม่รู้ว่ามีเท่าไร และโรงไฟฟ้าตอนนั้นเป็นโรงไฟฟ้าที่ใช้พลังงานความร้อน ต้องเติมฟืนเข้าเตาไปอยู่ตลอด การเติมฟืนเข้าเตาขณะนั้นทำไม่ได้ เพราะทางกำลังทหารเรือที่ควบคุมอยู่ไม่ยอมให้ทำ เกรงจะไม่สะดวกต่อการควบคุม พลังไฟฟ้าตกต่ำลงทุกทีจนจวนจะหมด และถ้าหากพลังความร้อนของเตาเผาหมดสิ้นลงเมื่อใด ไฟฟ้าก็จะดับทั่วกรุง
เมื่อพันศักดิ์นำกำลังไปถึงโรงไฟฟ้านั้น ไฟในเตาจวนจะมอดลงแล้ว การปฏิบัติการอย่างจู่โจมของกำลังที่พันศักดิ์คุมไปกระทำได้อย่างได้ผล เข้ายึดครองที่หมายได้ทันการ จับทหารเรือได้หลายคน บางคนหลบหนีออกไปได้ เป็นการยึดคืนโดยไม่เสียชีวิตเลยทั้งสองฝ่าย และพอดีกับที่พนักงานของโรงไฟฟ้าเข้าทำงานโยนฟืนเข้าเตาได้ทันการ เครื่องกำเนิดไฟฟ้าเริ่มทำงานได้เป็นปกติ ขณะนั้นเวลาเริ่มจะใกล้ค่ำแล้ว
พันศักดิ์นำกำลังเข้ายึดโรงไฟฟ้าคืนได้แล้ว วางกำลังส่วนหนึ่งรักษาการณ์อยู่ที่นั่น แล้วก็นำกำลังอีกส่วนหนึ่งบุกตะลุยข้ามฟากไปทางฝั่งธนฯ เมื่อได้รับข่าวว่าทหารเรือได้เข้ายึดสถานีตำรวจทางด้านนั้นไว้ได้หลายสถานี มีบุปผาราม บางกอกน้อย และบางยี่เรือ กำลังทหารเรือหลายคนรักษาสะพานพระพุทธยอดฟ้า ฯ อยู่เป็นแนว
พันศักดิ์นำกำลังตีฝ่าข้ามไปได้ ทิ้งศพทหารเรือพร้อมทั้งปืนกลเบากลิ้งอยู่กลางสะพานสองสามศพ แล้วตะลุยข้ามสะพานไป กำลังที่พันศักดิ์ใช้ในการทำการครั้งนี้ เป็นกำลังตำรวจส่วนใหญ่ มีรถเกราะขนาดใหญ่และขนาดเล็กเป็นหน่วยนำหน้าซึ่งตัวพันศักดิ์เองขึ้นคุม
ผมทราบข่าวนี้ในขณะที่อยู่ติดตัวเจ้านายตามคำสั่งไม่ได้ไปไหน ข่าวที่เข้ามาเป็นข่าวที่ทางฝ่ายรัฐบาลได้ชัยชนะในทุกพื้นที่ กำลังหน่วยรถเกราะที่ตั้งอยู่ในวังปารุส ฯยังอยู่ในที่ตั้งอีกหลายคัน เตรียมพร้อมที่จะออกปฎิบัติการ พลขับและพลประจำปืนอยู่ครบถ้วน
อยู่ดีๆ ก็มีหน่วยส่งข่าวมาส่งข่าวว่า มีกำลังทหารเรืออีกหน่วยหนึ่งรุกเข้ามาทางด้านประตูน้ำ ฝ่าแนวป้องกันของฝ่ายทหารบกมาได้ และกำลังมุ่งหน้ามาทางราชดำเนิน จุดมุ่งหมายจะเข้ามาทางวังปารุส ฯ แนวด้านนั้นเป็นที่ตั้งของหน่วยทหารบกหลายหน่วย มีกำลังส่วนใหญ่ของทหารบกอยู่แถวนั้น เรื่อยไปจนถึงย่านบางซื่อ ฝ่ายรัฐบาลยังไม่ทราบว่ากำลังทหารเริอหน่วยนี้มีเท่าใด
เจ้านายหันมาสั่งผมทันทีที่ได้รับข่าวนั้น
เฮ้ย มึงไปป้องกันทางด้านประตูน้ำเดี๋ยวจะมีทหารกองร้อยหนึ่งมาร่วมด้วย มึงคุมกำลังนี้ไปยันกำลังทหารเรือด้านนั้นไว้ให้ได้ ถ้าทหารเรือหน่วยนั้นผ่านมาได้ มึงไม่ต้องกลับมาให้กูเห็นหน้า
สั่งการเอายังงั้นเอง ผมยังไม่รู้ว่า ผมจะมีอะไรในมือผมบ้าง ประเดี๋ยวก็มีรถเกราะขนาดใหญ่ที่เรียกว่า สะแต๊คฮาวน์ สองคัน และรถเกราะขนาดเล็กที่เรียกว่า มอร์รีสอีกสองคัน แล่นออกจากประตูด้านที่เก็บรถเกราะ ออกมาจอดนิ่งอยู่ตรงหน้า แล้วก็มีกำลังทหารส่วนหนึ่งออกมาจากที่ตั้งของกองทัพหนึ่งซึ่งอยู่ข้าง ๆวังปารุส ฯ นั่นเอง ออกมาเป็นแถวใหยุดอยู่ริมถนนข้างวังปารุสก์ ฯ เจ้านายพยักหน้ามาทางผม
มึงใช้รถเกราะทั้งใหญ่เล็กนั่นนำไป ทหารที่มาร่วมด้วยเขามาแล้ว มึงคุมไป
ผมไม่รู้จะซักถามอะไร ตะเบ๊ะรับคำสั่ง ก็โดดขึ้นรถเกราะใหญ่คันหน้า รถจี๊ปซึ่งมีร้อยเอกคนหนึ่งนั่งอยู่ที่นั่งด้านหน้า ก็ผ่านรถเกราะผมไป ออกนำหน้าไปทางถนนข้างวัดเบญจ ฯ ผ่านออกไปทางถนนเสือป่าทันที ผมสั่งรถเกราะของผมออกตามไป ขบวนทั้งหมดก็เคลื่อนที่ตามรถจี๊ปคันหน้าซึ่งนายร้อยเอกคนนั้นบึ่งนำไป
รถคันหน้านำหน้าไปจนทิ้งระยะห่าง เพราะความเร็วของรถจี๊ปมีมากกว่ารถเกราะ พลขับรถเกราะของผมเร่งเครื่องตามไม่ทัน น้ำหนักตั้งแปดตันจะไปไล่รถน้ำหนักไม่กี่กิโลได้ยังไง สมัยนั้นถนนเพชรบุรีตัดใหม่ยังไม่มี ถนนตอนนั้นต้องเลี้ยวข้ามสะพานประตูน้ำไปทางถนนที่จะไปสี่แยกราชประสงค์ พอรถจี๊ปคันนั้นนำตะบึ่งมาถึงโค้ง จะเลี้ยวขึ้นสะพานก็หยุดกึก แถว ๆ หน้าสถานทูตจีนเก่า ผมก็สั่งรถเกราะของผมหยุดบ้าง คอยดูว่าร้อยเอกคนนั้นเขาหยุดรถทำไม
เขาหยุดรถอยู่สักครู่ก็ถอยรถมาหาผม พอมาถึงหน้ารถผม เขาก็ตะโกนว่า
ข้างหน้ามีทหารเรือกลุ่มหนึ่งครับ กำลังมุ่งหน้ามาทางนี้
ผมมองไปตามที่เขาชี้ เพ่งมองอยู่นานก็ไม่เห็นมีอะไร เห็นแต่คนในเครื่องแบบสีกากีสองสามคนเดินไปมาอยู่แถว ๆ สะพานประตูน้ำ ท่าทางไม่น่าจะเป็นกำลังทหารเรือ ผมพูดกับเขาว่า
คุณถอยรถมาอยู่ข้างหลังผมก็แล้วกัน
เขาถอยรถเข้าไปทางข้างหลังรถผม ผมออกคำสั่งให้รถเกราะของผมเดินหน้า
รถของผมเข้ามาจนถึงทางเลี้ยวก็ไม่พบกำลังของใคร เห็นแต่คนแต่งตัวสีกากีเดินอยู่แถวนั้นสองสามคน เครื่องแต่งตัวก็ไม่ใช่ส่วนใดส่วนหนึ่งของเครื่องแบบทหารเรือ มีบุรุษนายหนึ่งสูงอายุแล้ว นุ่งกางเกงสีกากี เสื้อคอกลมสีขาว ยืนอยู่แถวนั้น ผมรู้จักบุรุษนั้นดี เขาเป็นนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่คนหนึ่ง มีตำแหน่งใหญ่อยู่ในกองบัญชาการตำรวจนครบาล เขาอยู่ในเครื่องแบบครึ่งท่อน กำลังเดินจะหลบเข้าชายคาแถวนั้น เขาเห็นผมเหมือนกัน เขายิ้มเขิน ๆ กับผม ท่าทางเขิน ๆ เหมือนกับยิ้มนั้น ไม่รู้ว่าเขาหนีอะไรมา ผมไม่ทักและไม่เอาใจใส่กับเขา พวกนี้เองกระมังที่เป็นข่าวว่าทหารเรือบุกมาทางด้านนี้
ผมไม่ขอเอ่ยชื่อบุคคลผู้นั้น
ผมสั่งรถเคลื่อนที่ต่อไป เลี้ยวขึ้นสะพาน มุ่งหน้าไปทางสี่แยกราชประสงค์ มาจนถึงสี่แยกราชประสงค์ ก็ยังไม่เห็นมีวี่แววว่าจะมีกำลังของใครแถวนั้น นอกจากมีหน่วยทหารบกหน่วยหนึ่งขยายแถวอยู่ตรงสี่แยก ที่นั่น ผมพบกับท่านแม่ทัพ ๑ พล ท. สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ยืนคุมกำลังอยู่ ผมลงจากรถ เข้าไปหาทาง รายงานท่านถึงข่าวที่ได้รับและสาเหตุที่ผมต้องยกกำลังมาที่นี่
ท่านหัวเราะชอบใจ
อั๊วอยู่ตรงนี้ ยังไม่เห็นมีทหารเรือส่วนไหนผ่านมา แล้วนี่ลื้้อจะไปไหน
ผมยังหาคำตอบไม่ได้ เพราะไม่มีอะไรที่จะตอบ ยังไม่รู้จะไปทางไหนเหมือนกัน ทหารเรือที่ได้รับคำสั่งมาให้ยันก็ไม่มี แล้วผมจะไปรบกับใคร ผมหันไปดูร้อยเอกคนที่นั่งรถจี๊ปตามหลังผมมานั้น ก็ไม่เห็นเสียแล้ว ไม่รู้ว่าเขาไปทางไหน กำลังทหารที่ตามเขามาอีกหนึ่งกองร้อยนั้นก็หายไป ไม่รู้ว่าเขาไปเข้าแนวไหนแล้ว ผมหันไปทางถนนเพลินจิตทางด้านซ้าย ถนนก็ว่าง มีกำลังทหารเรียงรายกันอยู่ในแถวริมคูคลองซึ่งตอนนั้นยังไม่ได้ถมเป็นถนนอย่างเดี๋ยวนี้ ผมก็คิดว่าจะเอารถเกราะของผมไปทางนั้นดีกว่า ผมก็ตะเบ๊ะบอกท่านแม่ทัพไป
แล้วผมก็ปีนขึ้นรถเกราะของผม นำขบวนเลี้ยวเข้าไปในถนนเพลินจิต มุ่งหน้าไปตามถนนนั้น ถนนเพลินจิตนี้มีสถานทูตอังกฤษตั้งอยู่ และมีบ้านช่องอยู่หลายหลัง รถเกราะทั้งสี่คันของผมแล่นเรื่อย ๆเข้าไป
ผมมองดูสองข้างทาง มีแนวทหารบกหมอบอยู่ในคูข้างถนนเป็นแถว
สมัยนั้นถนนเพลินจิตยังเป็นคูสองข้างทางไปตลอดถนน แต่เป็นคูไม่มีน้ำ ทหารจึงลงไปวางแนวอยู่ในคูได้ แต่มีกำลังอยู่แต่คูด้านซ้ายมือผมเท่านั้น กำลังทหารบกในคูนี้อยู่เป็นแนวไปจนถึงแยกวิทยุ
ขบวนรถเกราะของผมแล่นตามกันมาเป็นทางจนถึงแยกถนนวิทยุ ผมก็สั่งหยุดขบวน
ถนนวิทยุนั้นเป็นที่ตั้งของหน่วยทหารเรือกองสัญญาณ อยู่ลึกเข้าไปเลยสถานีตำรวจศาลาแดง ซึ่งเดี๋ยวนี้คือสถานีตำรวจนครบาลลุมพินี และที่ตั้งของกองสัญญาณนั้น เดี๋ยวนี้ก็คือ โรงเรียนเตรียมทหาร (ต่อมา ได้กลายเป็น บางกอก ไนท์ บาซาร์) ซึ่งเป็นเสมือนโรงเรียนเตรียมทั้งนายร้อย นายเรืออากาศ และตำรวจ ก่อนที่จะแยกกันไปเข้าโรงเรียนเตรียมทหาร
ผมลงจากรถ เดินไปที่สี่แยก มองไปตามถนนวิทยุ ถนนโล่ง ไม่มีรถราผิดปกติ ผมหันมาจะสั่งให้รถเกราะของผมเข้าที่ตั้งที่บริเวณสี่แยกนั้น กำลังยืนจะสั่งการอยู่ที่ตรงสี่แยกพอดี ลึกเข้าไปในถนนวิทยุสองสามก้าว ผมกำลังยืนจังก้าถ่างขาในท่าให้ดูน่าเกรงขามหน่อย ก็ได้ยินเสียง ซ่า แหวกอยู่เหนือหัว แล้วกิ่งไม้ใบไม้ที่ปกคลุมอยู่เบื้องบนก็ร่วงพรูลงมาเป็นทาง ผมยังไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร
ผมหันไปหันมา กำลังยืนถ่างขาอยู่นั่น ก็มีเสียงครืดผ่านหว่างขาผมไป
ถนนลาดยางที่ใต้หว่างขามีรอยเจาะลึกเป็นทางไปบนพื้นถนน ผมบอกตัวเองว่า นี่มันถ้าจะเป็นรอยลูกปืน ผมหันขวับไปมองทางถนน คราวนี้แสงสว่างแวบขึ้นในระยะห่างออกไป ผมพุ่งตัวลงในคูข้างทางด้วยความไวกว่าลิง เสียงดังปึ้กใหญ่ทางเบื้องหลังผม ผมหันไปดูทั้ง ๆ ที่ยังหมอบอยู่ในคู
ปืนใหญ่จำลองทำด้วยซีเมนต์ที่อยู่ข้าง ๆสถานทูตอังกฤษมีรอยกระสุนถากไปเป็นรอยเบ้อเร่อ สูงขนาดหัวผมพอดีถ้ายังยืนจังก้าอยู่ตรงนั้น
รอดตายไปอย่างไม่เข้าท่าอีกครั้ง เหมือนกับเมื่อคราวกบฏวังหลวงนั่น แล้วถ้าตายก็คงตายอย่างพิลึก คือไม่มีหัว แล้วก็ไม่มีเครื่องพวง
ผมนึกด่าพวกทหารที่วางแนวอยู่ในคูในใจ ไม่ยักบอกกันว่ามีอะไรแถว ๆ นั้น มิน่าถึงได้ขยายแถวหมอบนิ่งกันอยู่ในคู คงจะโดนกันเข้าให้บ้างแล้ว
ผมตะเกียกตะกายขึ้นมาจากคู มาที่รถของผมที่ยังจอดอยู่ข้าง ๆถนนเพลินจิต ผมโดดขึ้นรถสะแต๊คฮาวน์คันใหญ่ ขึ้นไปหมอบอยู่ข้างหลังป้อมปืน แล้วสั่งให้เดินหน้าเข้าไปในถนนวิทยุ เข้าไปทำไมก็ยังไม่รู้เหมือนกัน เพียงแต่ตั้งใจเอาอาวุธหนักที่มีไปยิงกับใครก็ยังไม่รู้ ที่เกือบจะเด็ดทั้งหัวและอะไรต่ออะไรของพวกผมนั้น
พอรถเข้าไปในถนนก็สั่งพลยิงยิงปัง ๆเข้าไป ที่หมายตามอากาศในถนนที่ตรงไปกองสัญญาณนั่น รถเกราะมอร์รีสคันเล็กของผมคันหนึ่งวิ่งผ่านหน้ารถคันที่ผมหมอบอยู่นั้นไป โดยยังไม่ได้รับคำสั่งจากผม พอผ่านรถผมไปเดี๋ยวเดียวก็โดนยิง รถเป๋ไปลงข้างทาง หมอบนิ่งอยู่กลางถนนวิทยุ ผมต้องให้พลขับของผมเอาลวดสลิงที่มีอยู่ในรถออกมา ต่อท้ายรถ วิ่งเข้าไปเกี่ยวเอารถคันนั้นออกมาได้
พอดึงออกมาจอดหลบในถนนเพลินจิต ผมลงไปเปิดประตูรถออก ภาพที่เห็นก็คือ ตัวพลขับนั่งฟุบหน้าอยู่กับคันบังคับ กระสุนเจาะทะลุอก ตายสนิท ส่วนผู้ช่วยพลขับนั้นคอพับแหงนอยู่ที่ที่นั่งไปเหมือนกัน เสร็จเรียบร้อยไปทั้งคู่ ตัวรถนั้นโดนกระสุนทะลุจากหน้าออกไปยังห้องเครื่องข้างหลัง ไม่รู้ว่าทหารเรือใช้ปืนอะไรยิง
ผมให้ตำรวจรถเกราะของผมเอารถเกราะใหญ่จูงรถเกราะคันนั้น พร้อมทั้งให้เอาศพพลประจำรถทั้งสองไปส่งโรงพยาบาลตำรวจด้วย แล้วผมก็กลับมาที่รถเกราะใหญ่ที่ผมใช้อยู่นั้น ขึ้นหมอบที่หลังป้อมปืน สั่งให้เคลื่อนที่เข้าไปทางเดิม
ขณะนั้นมีรถสายพานบรรทุกปืนกลของทหารบกคันหนึ่งมาจากไหนไม่รู้ แล่นผ่านรถผมเข้าไปอีก เข้าไปยิงปืนบนรถปัง ๆ เข้าไปแล้วก็หมุนตัวกลับออกมา รถของเขาหมุนกลับไปเพราะใช้สายพาน คล่องตัวดี ไอ้ของผมมันไม่มีสายพาน ใช้ล้อยางตันธรรมดา กลับรถคล่องแคล่วอย่างเขาไม่ได้
ทีนี้ พอรถเกราะคันใหญ่ของผมนำเข้าไป แถวทหารที่หมอบอยู่ในคูก็ลุกขึ้นจากคู ใช้รถเกราะของผมเป็นที่กำบัง เคลื่อนกำลังตามรถเกราะมา บางส่วนก็คืบคลานไปตามแนวคันคู
ผมสั่งพลปืนของผมยิงนำหน้าเข้าไป ปืนประจำรถของผมเป็นปืนขนาด ๒๐ มม. ยิงเป็นชุดก็ได้ ทีละนัดก็ได้ ผมยังหมอบอยู่หลังป้อมปืน มองไปข้าง ๆ ผมในคู เห็นทหารที่คลานอยู่ในคู หัวทิ่มคูนิ่งไปก็มี ได้ยินแต่เสียงลูกปืนแหวกอากาศดังเฟี้ยว ๆ แต่ไม่เห็นว่ายิงมาจากทิศใด
เสียงนี้เป็นเสียงปืนเล็กยาว ไม่ใช่เสียงปืนขนาดใหญ่ ทหารที่หมอบคลานรุดหน้าไปตามคูนั้น หัวทิ่มคูไปเสียหลายคน แต่เขาก็ยังรุดเข้าไปอีก ผมมองไปข้างหน้าก็มองไม่เห็นว่าลูกกระสุนมันมาจากทางไหน
มันเห็นจะต้องมาจากทางเบื้องสูง ผมแหงนมองไปดูตามเบื้องบนของต้นไม้สองข้างทาง โดยเฉพาะทางด้านขวามือของผม ซึ่งเป็นแนวคูที่ทหารหัวทิ่มอยู่หลายศพ - แล้วผมก็มองเห็น !