พุทธประวัติจากพระโอษฐ์ .. การสนทนากับ นิครนถ์
.
มหานาม ! คราวหนึ่ง เราอยู่ที่ภูเขาคิชฌกูฏ ใกล้นครราชคฤห์, ครั้งนั้นพวกนิครนถ์เป็นอันมากประพฤติวัตรยืนอย่างเดียว งดการนั่ง อยู่ ณ ที่กาฬสิลา ข้างภูเขาอิสิคิลิ, ต่างประกอบความเพียรแรงกล้าเสวยเวทนาอันเป็นทุกข์กล้าแข็งแสบเผ็ด.
มหานาม ! ครั้งนั้นเป็นเวลาเย็น เราออกจากที่เร้นแล้วไปสู่กาฬสิลาข้างภูเขาอิสิคิลิ อันพวกนิครนถ์ ประพฤติวัติอยู่, ได้กล่าวกะพวกนิครนถ์เหล่านั้นว่า ..
"ท่าน ! เพราะอะไรหนอ พวกท่านทั้งหลายจึงประพฤติยืนไม่นั่ง ประกอบความเพียรได้รับเวทนาอันเป็นทุกข์กล้าแข็งแสบเผ็ด ? " ดังนี้.
มหานาม ! นิครนถ์เหล่านั้นได้กล่าวกะเราว่า ..
"ท่าน ! ท่านนิครนถนาฏบุตร เป็นผู้รู้สิ่งทั้งปวงเห็นสิ่งทั้งปวง ได้ยืนยันญาณทัสสนะของตนเองโดยไม่มีการยกเว้น ว่าเมื่อเราเดินอยู่, ยืนอยู่, หลับอยู่ ตื่นอยู่ ก็ตาม ญาณทัสสนะของเราย่อมปรากฏติดต่อกันไม่ขาดสาย" ดังนี้.
ท่านนิครนถนาฏบุตรนั้นกล่าวไว้อย่างนี้ว่า ..
"นิครนถ์ผู้เจริญ ! บาปกรรมในกาลก่อนที่ได้ทำไว้ มีอยู่แล, พวกท่านจงทำลายกรรมนั้นให้สิ้นไป ด้วยทุกรกิริยาอันแสบเผ็ดนี้; อนึ่ง .. - เพราะการสำรวม กาย วาจา ใจ ในบัดนี้ ย่อมชื่อว่าไม่ได้กระทำกรรมอันเป็นบาปอีกต่อไป. - เพราะการเผาผลาญกรรมเก่าไม่มีเหลือ และเพราะการไม่กระทำกรรมใหม่ กรรมต่อไปก็ขาดสาย, - เพราะกรรมขาดสาย ก็สิ้นกรรม, - เพราะสิ้นกรรม, ก็สิ้นทุกข์, - เพราะสิ้นทุกข์ ก็สิ้นเวทนา, - เพราะสิ้นเวทนาทุกข์ทั้งหมดก็เหือดแห้งไป, ดังนี้. คำสอนของท่านนาฏบุตรนั้น เป็นที่ชอบใจและควรแก่เรา, และพวกเราก็เป็นผู้พอใจต่อคำสอนนั้นด้วย" ดังนี้.
มหานาม ! เราได้กล่าวคำนี้กะนิครนถ์เหล่านั้นสืบไปว่า ..
"ท่านผู้เป็นนิครนถ์ ท.! ท่านทั้งหลายรู้อยู่หรือว่า พวกเราทั้งหลาย ได้มีแล้วในกาลก่อนหรือว่ามิได้มี ? "
"ไม่ทราบเลยท่าน ! "
ท่านผู้เป็นนิครนถ์ ท. ! ท่านทั้งหลายรู้อยู่หรือ ว่าพวกเราทั้งหลายได้ทำกรรมที่เป็นบาปแล้วในกาลก่อน หรือว่าพวกเราไม่ได้ทำแล้ว ? "
"ไม่ทราบได้เลย, ท่าน !"
"ท่านผู้เป็นนิครนถ์ ท. ! ท่านทั้งหลายรู้อยู่หรือ ว่าเราทั้งหลายได้ทำกรรมที่เป็นบาปอย่างนี้ๆ ในกาลก่อน ?"
"ไม่ทราบเลยท่าน !"
"ท่านผู้เป็นนิครนถ์ ท. ! ท่านทั้งหลายรู้อยู่หรือ ว่า (ตั้งแต่ทำตบะมา) ทุกข์มีจำนวนเท่านี้ ๆ ได้สิ้นไปแล้ว และจำนวนเท่านี้ ๆ จะสิ้นไปอีก, หรือว่าถ้าทุกข์สิ้นไปอีกจำนวนเท่านี้ ทุกข์ก็จักไม่มีเหลือ ? "
"ไม่ทราบได้เลย, ท่าน ! "
"ท่านผู้เป็นนิครนถ์ ท. ! ท่านทั้งหลายรู้อยู่หรือว่า อะไรเป็นการละเสียซึ่งสิ่งอันเป็นอกุศล และทำสิ่งที่เป็นกุศลให้เกิดขึ้นได้ในภพปัจจุบันนี้ ? "
"ไม่เข้าใจเลย, ท่าน !"
มหานาม ! เราได้กล่าวคำนี้ กะนิครนถ์เหล่านั้นสืบไปว่า ..
"ท่านผู้เป็นนิครนถ์ ท. ! ดังได้ฟังแล้วว่า ท่านทั้งหลายไม่รู้อยู่ว่า .. - เราทั้งหลายได้มีแล้วในกาลก่อน หรือไม่ได้มีแล้วในกาลก่อน, ...ฯลฯ
- อะไรเป็นการละเสียซึ่งสิ่งอันเป็นอกุศลแล้ว และทำสิ่งที่เป็นกุศลให้เกิดขึ้นได้ ในภพปัจจุบันนี้. - ครั้นเมื่อไม่รู้อย่างนี้แล้ว (น่าจะเห็นว่า) ชนทั้งหลายเหล่าใดในโลก ที่เป็นพวกพรานมีฝ่ามือคร่ำไปด้วยโลหิตมีการงานอย่างกักขฬะ ภายหลังมาเกิดเป็นมนุษย์แล้วย่อมบรรพชาในพวกนิครนถ์ทั้งหลาย ละกระมัง ?
(หมายเหตุ จขบ.
ข้อความที่ยกมานี้ แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าภาวะการณ์ "เชื่อง-เชื่อ" ของผู้คนนี้มีมาตั้งแต่ยุคพุทธกาล
ประเด็นของความเชื่อที่พระพุทธองคตรัสเล่า .. เป็นเรื่องของสิ่งที่ไม่อาจรู้ได้ .. เช่นเดียวกับยุคปัจจุบันที่บางสำนักอย่าง ธรรมกาย เน้นพร่ำสอนเรื่อง .. กรรมเก่าในอดีตชาติ .. บุญสะสมข้ามภพข้ามชาติ .. การเวียนว่ายตายเกิด .. ที่คนทั้ง 100% รวมทั้ง ธรรมมะไชยโย เองก็ไม่รู้ได้ .. เช่นเดียวกับบรรดา นิครนถ์ ทั้งหลายที่พระพุทธองค์ตรัสถาม
เรื่องที่ไม่อาจรู้ได้ด้วยตนเอง .. แล้วยังไปยึดมั่นถือมั่นเอาด้วยความเชื่ออย่างงมงายก็คงเหมือนพวกนิครนถ์ที่พระพุทธองค์ถึงกับตรัสว่า ..
ครั้นเมื่อไม่รู้อย่างนี้แล้ว (น่าจะเห็นว่า) ชนทั้งหลายเหล่าใดในโลก ที่เป็นพวกพรานมีฝ่ามือคร่ำไปด้วยโลหิตมีการงานอย่างกักขฬะ ภายหลังมาเกิดเป็นมนุษย์แล้วย่อมบรรพชาในพวกนิครนถ์ทั้งหลาย ละกระมัง ? ) . . . บาลี จูฬทุกขักขันธสูตร มู.ม. ๑๒/๑๘๔/๒๑๙. ทรงเล่าแก่ท้าวมหานามสากยะ ที่นิโครธาราม กรุงกบิลพัสดุ์.
Create Date : 29 พฤศจิกายน 2555 |
|
0 comments |
Last Update : 29 พฤศจิกายน 2555 5:43:06 น. |
Counter : 1283 Pageviews. |
|
|
|