Group Blog
 
<<
พฤศจิกายน 2555
 
29 พฤศจิกายน 2555
 
All Blogs
 

พุทธประวัติจากพระโอษฐ์ .. การสนทนากับ นิครนถ์

.





มหานาม !
คราวหนึ่ง เราอยู่ที่ภูเขาคิชฌกูฏ ใกล้นครราชคฤห์, ครั้งนั้นพวกนิครนถ์เป็นอันมากประพฤติวัตรยืนอย่างเดียว งดการนั่ง อยู่ ณ ที่กาฬสิลา ข้างภูเขาอิสิคิลิ, ต่างประกอบความเพียรแรงกล้าเสวยเวทนาอันเป็นทุกข์กล้าแข็งแสบเผ็ด.

มหานาม !
ครั้งนั้นเป็นเวลาเย็น เราออกจากที่เร้นแล้วไปสู่กาฬสิลาข้างภูเขาอิสิคิลิ อันพวกนิครนถ์ ประพฤติวัติอยู่, ได้กล่าวกะพวกนิครนถ์เหล่านั้นว่า ..

"ท่าน !
เพราะอะไรหนอ พวกท่านทั้งหลายจึงประพฤติยืนไม่นั่ง ประกอบความเพียรได้รับเวทนาอันเป็นทุกข์กล้าแข็งแสบเผ็ด ? " ดังนี้.

มหานาม !
นิครนถ์เหล่านั้นได้กล่าวกะเราว่า ..

"ท่าน !
ท่านนิครนถนาฏบุตร เป็นผู้รู้สิ่งทั้งปวงเห็นสิ่งทั้งปวง ได้ยืนยันญาณทัสสนะของตนเองโดยไม่มีการยกเว้น ว่าเมื่อเราเดินอยู่, ยืนอยู่, หลับอยู่ ตื่นอยู่ ก็ตาม ญาณทัสสนะของเราย่อมปรากฏติดต่อกันไม่ขาดสาย" ดังนี้.

ท่านนิครนถนาฏบุตรนั้นกล่าวไว้อย่างนี้ว่า ..

"นิครนถ์ผู้เจริญ !
บาปกรรมในกาลก่อนที่ได้ทำไว้ มีอยู่แล, พวกท่านจงทำลายกรรมนั้นให้สิ้นไป ด้วยทุกรกิริยาอันแสบเผ็ดนี้; อนึ่ง ..
- เพราะการสำรวม กาย วาจา ใจ ในบัดนี้ ย่อมชื่อว่าไม่ได้กระทำกรรมอันเป็นบาปอีกต่อไป.
- เพราะการเผาผลาญกรรมเก่าไม่มีเหลือ และเพราะการไม่กระทำกรรมใหม่ กรรมต่อไปก็ขาดสาย,
- เพราะกรรมขาดสาย ก็สิ้นกรรม,
- เพราะสิ้นกรรม, ก็สิ้นทุกข์,
- เพราะสิ้นทุกข์ ก็สิ้นเวทนา,
- เพราะสิ้นเวทนาทุกข์ทั้งหมดก็เหือดแห้งไป, ดังนี้.
คำสอนของท่านนาฏบุตรนั้น เป็นที่ชอบใจและควรแก่เรา, และพวกเราก็เป็นผู้พอใจต่อคำสอนนั้นด้วย" ดังนี้.

มหานาม !
เราได้กล่าวคำนี้กะนิครนถ์เหล่านั้นสืบไปว่า ..

"ท่านผู้เป็นนิครนถ์ ท.!
ท่านทั้งหลายรู้อยู่หรือว่า พวกเราทั้งหลาย ได้มีแล้วในกาลก่อนหรือว่ามิได้มี ?
"

"ไม่ทราบเลยท่าน ! "

“ท่านผู้เป็นนิครนถ์ ท. ! ท่านทั้งหลายรู้อยู่หรือ ว่าพวกเราทั้งหลายได้ทำกรรมที่เป็นบาปแล้วในกาลก่อน หรือว่าพวกเราไม่ได้ทำแล้ว ? "

"ไม่ทราบได้เลย, ท่าน !"

"ท่านผู้เป็นนิครนถ์ ท. ! ท่านทั้งหลายรู้อยู่หรือ ว่าเราทั้งหลายได้ทำกรรมที่เป็นบาปอย่างนี้ๆ ในกาลก่อน ?"

"ไม่ทราบเลยท่าน !"

"ท่านผู้เป็นนิครนถ์ ท. ! ท่านทั้งหลายรู้อยู่หรือ ว่า (ตั้งแต่ทำตบะมา) ทุกข์มีจำนวนเท่านี้ ๆ ได้สิ้นไปแล้ว และจำนวนเท่านี้ ๆ จะสิ้นไปอีก, หรือว่าถ้าทุกข์สิ้นไปอีกจำนวนเท่านี้ ทุกข์ก็จักไม่มีเหลือ ? "

"ไม่ทราบได้เลย, ท่าน ! "

"ท่านผู้เป็นนิครนถ์ ท. ! ท่านทั้งหลายรู้อยู่หรือว่า อะไรเป็นการละเสียซึ่งสิ่งอันเป็นอกุศล และทำสิ่งที่เป็นกุศลให้เกิดขึ้นได้ในภพปัจจุบันนี้ ? "

"ไม่เข้าใจเลย, ท่าน !"

มหานาม !
เราได้กล่าวคำนี้ กะนิครนถ์เหล่านั้นสืบไปว่า ..

"ท่านผู้เป็นนิครนถ์ ท. ! ดังได้ฟังแล้วว่า ท่านทั้งหลายไม่รู้อยู่ว่า ..
- เราทั้งหลายได้มีแล้วในกาลก่อน หรือไม่ได้มีแล้วในกาลก่อน, ...ฯลฯ…
- อะไรเป็นการละเสียซึ่งสิ่งอันเป็นอกุศลแล้ว และทำสิ่งที่เป็นกุศลให้เกิดขึ้นได้ ในภพปัจจุบันนี้.
- ครั้นเมื่อไม่รู้อย่างนี้แล้ว (น่าจะเห็นว่า) ชนทั้งหลายเหล่าใดในโลก ที่เป็นพวกพรานมีฝ่ามือคร่ำไปด้วยโลหิตมีการงานอย่างกักขฬะ ภายหลังมาเกิดเป็นมนุษย์แล้วย่อมบรรพชาในพวกนิครนถ์ทั้งหลาย ละกระมัง ?


(หมายเหตุ จขบ.

ข้อความที่ยกมานี้ แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าภาวะการณ์ "เชื่อง-เชื่อ" ของผู้คนนี้มีมาตั้งแต่ยุคพุทธกาล

ประเด็นของความเชื่อที่พระพุทธองคตรัสเล่า .. เป็นเรื่องของสิ่งที่ไม่อาจรู้ได้ .. เช่นเดียวกับยุคปัจจุบันที่บางสำนักอย่าง ธรรมกาย เน้นพร่ำสอนเรื่อง .. กรรมเก่าในอดีตชาติ .. บุญสะสมข้ามภพข้ามชาติ .. การเวียนว่ายตายเกิด .. ที่คนทั้ง 100% รวมทั้ง ธรรมมะไชยโย เองก็ไม่รู้ได้ .. เช่นเดียวกับบรรดา นิครนถ์ ทั้งหลายที่พระพุทธองค์ตรัสถาม

เรื่องที่ไม่อาจรู้ได้ด้วยตนเอง .. แล้วยังไปยึดมั่นถือมั่นเอาด้วยความเชื่ออย่างงมงายก็คงเหมือนพวกนิครนถ์ที่พระพุทธองค์ถึงกับตรัสว่า ..

ครั้นเมื่อไม่รู้อย่างนี้แล้ว (น่าจะเห็นว่า) ชนทั้งหลายเหล่าใดในโลก ที่เป็นพวกพรานมีฝ่ามือคร่ำไปด้วยโลหิตมีการงานอย่างกักขฬะ ภายหลังมาเกิดเป็นมนุษย์แล้วย่อมบรรพชาในพวกนิครนถ์ทั้งหลาย ละกระมัง ?
)
.
.
.
บาลี จูฬทุกขักขันธสูตร มู.ม. ๑๒/๑๘๔/๒๑๙.
ทรงเล่าแก่ท้าวมหานามสากยะ ที่นิโครธาราม กรุงกบิลพัสดุ์.




 

Create Date : 29 พฤศจิกายน 2555
0 comments
Last Update : 29 พฤศจิกายน 2555 5:43:06 น.
Counter : 1283 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


สดายุ...
Location :
France

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 151 คน [?]









O ใช่แน่หรือ ? .. O






O หรือธรรมชาติผ่านเวียน .. คอยเปลี่ยนโลก ?
ทั้งสุขโศกเร่งรุดยากหยุดไหว
หรือกำหนดยุดยื้อจากมือใด
จัดการให้แปลกแยกได้แทรกตัว
O หรือพบกันครั้งแรก, ความแตกต่าง
ถูกบ่มสร้างเหมาะควรอย่างถ้วนทั่ว
แต่ตา-รูป .. สบกัน, ที่สั่นรัว-
แรกที่หัวใจคน .. เริ่มอลเวง
O ละห้อยเห็นในยามห่างนามรูป
แต่ละวูบเนรมิตคอยพิศเพ่ง
งามทุกงามจารจรดเยี่ยงบทเพลง
พร้องบรรเลงด้วยมือช่วยยื้อยุด
O ย่อมเป็นมือสร้างเหตุแทรกเจตนา
ผ่านรูปหน้าอำนวยเข้าฉวยฉุด
ร้างไร้ความกริ่งเกรง, หากเร่งรุด
แทรกลงสุดหัวใจเพื่อไขว่คว้า
O แน่นอนว่ายากเว้น .. อยากเห็นรูป
และชั่ววูบวาบเดียวที่เหลียวหา
หวังทุกหอมรินไหลผ่านไปมา
ทั้งหางตาที่ชม้อยเหลือบคอยปราย
O โลกย่อมงามพร่างแพร้วเมื่อแผ้วผ่าน
ด้วยอ่อนหวานอ่อนโยนที่โชนฉาย
แม้นมิอาจโยกคลอนให้ผ่อนคลาย
ก็อย่าหมายโยกคลอนให้ผ่อนลง
O จะกี่ครั้งกี่ครา, ความอาวรณ์
เวียนรอบตอนจับจูงจนสูงส่ง
ด้วยรูปนามเทียบถวัลย์อย่างบรรจง
แตะแต้มลงผ่านจริตจนติดตรึง
O ความรู้สึกในอกย่อมยกตัว
หวานถ้วนทั่ว, รสประทิ่น, ถวิลถึง
เหมือนรุมล้อมหยอดย้ำลงคำนึง
ให้เสพซึ้งรสงามของ .. ความรัก
O วัฏฏจักรแห่งธรรม .. ย่อมย่ำผ่าน
เข้าขัด-คาน จับจูงความสูงศักดิ์
ของอาวรณ์หลบเร้น เพื่อเว้นวรรค
ที่เข้าทักทายทั่วทั้งหัวใจ
O หรือแท้จริงตัวตนถูกค้นพบ
การบรรจบ .. รูป-จริต แล้วพิสมัย
ปรารมภ์ของฝั่งฝ่าย .. นั้น-ฝ่ายใด
เพิ่งยอมให้เรื่องเฉลย .. ยอมเผยความ ?



Friends' blogs
[Add สดายุ...'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.