กระบวนธรรมของจิต ในการเกิดขึ้น และดับไปแห่งทุกข์
มีพุทธพจน์ ตรัสไว้ว่า
ผู้ใดเห็นปฏิจจสมุปบาท ผู้นั้นชื่อว่าเห็นธรรม ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นชื่อว่าเห็นปฏิจจสมุปบาท (มชฺฌิมนิกาย มูลปณฺณาสก ๑๒/๓๔๖/๓๕๙)
มีพุทธพจน์ตรัสเตือนไว้ ไม่ให้ประมาท หลักปฏิจจสมุปบาทนี้ ว่าเป็นหลักเหตุผลที่เข้าใจง่าย, เพราะมีเรื่องที่พระอานนท์ เข้าไปกราบทูลพระองค์ และพระองค์ได้ตรัสตอบ มีความดังนี้ "น่าอัศจรรย์ ไม่เคยมีมาเลย พระเจ้าข้า, หลักปฏิจจสมุปบาทนี้ ถึงจะเป็นธรรมลึกซึ้ง และปรากฏเป็นของลึกซึ้ง แต่ก็ยังปรากฏแก่ข้าพระองค์ เหมือนเป็นธรรมง่ายๆ" "อย่ากล่าวอย่างนั้น อย่ากล่าวอย่างนั้น อานนท์, ปฏิจจสมุปบาทนี้ เป็นธรรมอันลึกซึ้ง และปรากฏเป็นของลึกซึ้ง เพราะไม่รู้ ไม่เข้าใจ ไม่แทงตลอด หลักธรรมข้อนี้แหละ หมู่สัตว์นี้จึงวุ่นวายเหมือนเส้นด้ายที่ขอดกันยุ่ง......ฯลฯ." (สํ.นิ. ๑๖/๒๒๔-๕/๑๑๐-๑)
เป็นปรมัตถธรรมอันแสดงกระบวนการของจิต ในการเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ และการดับไปแห่งกองทุกข์ ว่าเกิดมาแต่เหตุอันใด มาเป็นปัจจัยกันอย่างใด และแสดงความสัมพันธ์ของเหตุปัจจัยนั้นๆอันเป็นปัจจัยแก่กันและกัน สืบต่อกันจนเกิดขึ้นเป็นวงจรต่อเนื่องของความทุกข์ที่เผาลนสรรพสัตว์มาตลอดกาลนาน, ดังนั้นเมื่อเกิดความเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งก็จักมีคุณอนันต์ เป็นสัมมาญาณอันช่วยให้การปฏิบัติเพื่อการดับไปแห่งทุกข์ได้อย่างถูกต้องและรวดเร็ว เพราะเมื่อรู้เท่าทันและเข้าใจถึงเหตุได้อย่างแจ่มแจ้ง ก็สามารถดับทุกข์ที่เหตุนั้นได้โดยตรงและถูกต้องอย่างปรมัตถ์ จึงย่อมไม่ดำเนินออกไปผิดลู่แนวทาง อันย่อมบังเกิดผลขึ้นตามหลักอิทัปปัจจยตาอันดำเนินอยู่ในปฏิจจสมุปบาท คือเมื่อเหตุดับ ผลอันคือความทุกข์ก็ต้องดับไปด้วย ไม่สามารถก่อตัวเป็นความทุกข์ชนิดอุปาทานทุกข์อันร้อนรุ่มเผาลนทั้งจิตและกายขึ้นมาได้
ปฏิจจสมุปบาท เป็นธรรมอันลึกซึ้ง ที่พระองค์ท่านทรงตรัสไว้เมื่อตอนตรัสรู้ว่า ธรรมอันยากและลึกซึ้งมีเพียง ๒ คือ ปฏิจจสมุปบาท และ นิพพาน, ปฏิจจสมุปบาทเป็นธรรมที่เปิดเผยกระบวนธรรมของจิตอันแสนละเอียดอ่อนลึกซึ้งของมวลมนุษย์ทั้งปวงในการเกิดขึ้นแห่งทุกข์, คุณประโยชน์มิใช่อยู่ที่การจดจําวงจรที่เป็นเหตุปัจจัยกันได้อย่างคล่องแคล่ว แต่จักต้องพิจารณา(โยนิโสมนสิการ)ให้เห็นด้วยปัญญาจักขุอันคือปัญญา(สัมมาญาณ)เท่านั้น เพื่อให้เข้าใจถึงสภาวธรรมหรือธรรมชาติของกระบวนการทํางานของจิตอันต้องเป็นไปเช่นนี้เองเป็นธรรมดา จึงยังผลให้เกิดความทุกข์หรือก็คืออุปาทานทุกข์ขึ้นนั่นเอง จึงจักเกิดประโยชน์อันสูงสุดขึ้นได้ จึงมิใช่การเห็นเข้าใจโดยการน้อมเชื่อด้วยอธิโมกข์ หรือท่องจำอย่างคล่องแคล่วแต่ฝ่ายเดียว, แต่ต้องเป็นการเห็นที่หมายถึงความเข้าใจที่ประกอบด้วยปัญญา ที่ประกอบด้วยเหตุผลเท่านั้น คือ เห็นเข้าใจในการเกิด - ดับของเหตุปัจจัยต่างๆ อันเป็นไปตามสภาวธรรมชาติอันก่อให้เกิดทุกข์ขึ้นอย่างแจ่มแจ้ง อันจักยังผลให้เข้าใจในหลักอิทัปปัจจยตา อริยสัจอันมี ทุกข์ สมุทัย นิโรธ และมรรค เข้าใจพระไตรลักษณ์ สติปัฎฐาน ๔ ได้อย่างถูกต้องถ่องแท้ เพราะเป็นผู้ที่มีดวงตาเห็นธรรมแล้วสมดังพุทธพจน์ที่ตรัสไว้ "ผู้ใดเห็นปฏิจจสมุปบาท ผู้นั้นชื่อว่าเห็นธรรม" ตลอดจนใช้แก้ปัญหาต่างๆที่ก่อให้เกิดความทุกข์ได้อย่างมหาศาลเกินความคาดคิด นอกจากทำให้รู้ในเหตุปัจจัยที่ทำให้เกิดความทุกข์อย่างแจ่มแจ้งแล้ว เมื่อโยนิโสมนสิการจนเกิดธรรมสามัคคีอันแจ่มแจ้งแล้ว ย่อมทำให้เกิดนิพพิทาญาณความหน่ายจากการไปรู้ความจริงในเวทนา,ในการเวียนว่ายตายเกิดในภพชาติอันแสนเร่าร้อนเผาลนเป็นทุกข์ ฯ. เมื่อเกิดนิพพิทาความหน่ายจึงคลายกำหนัดหรือตัณหา จึงย่อมจางคลายจากทุกข์ได้ตามฐานะอันควรแห่งตน ไปจนถึงการดับสนิทไปแห่งทุกข์อันเป็นจุดมุ่งหมายสูงสุดของมวลมนุษย์ชาติ
ปฏิจจสมุปบาท มงกุฎแห่งธรรม
แก่นธรรมของธรรมทั้งหลายทั้งปวง เพราะหลักธรรมทั้งหลายทั้งปวงล้วนดำเนินแอบแฝงอยู่ในปฏิจจสมุปบาทล้วนสิ้น แล้วจำแนกแตกธรรมในภายหลัง เพื่อโปรดเวไนยสัตว์ไปตามจริต สติ ปัญญา ฯ
วงจรปฏิจจสมุปบาท ดังมีองค์ธรรม ที่ดำเนินเป็นเหตุปัจจัย สืบเนื่องสัมพันธ์กัน โดยย่อดังนี้
ประกอบด้วย ๑๒ องค์ธรรม เป็น ๑๑ องค์แห่งเหตุปัจจัย
๑. อวิชชาร่วมกับอาสวะกิเลสเป็นปัจจัย จึงมีสังขาร อวิชชา ความไม่รู้ตามความเป็นจริงแห่งธรรม ร่วมด้วยอาสวะกิเลสที่สั่งสมจดจำ จึงเป็นปัจจัยแก่กันและกัน จึงมี สังขารกิเลสเกิดขึ้น
๒. สังขารเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ สังขาร สิ่งปรุงแต่งทางใจ ตามที่เคยสั่งสม,อบรม,ประพฤติ,ปฏิบัติไว้แต่อดีต(อาสวะกิเลส)จึงทำให้เกิดการกระทําทางกาย,วาจา,ใจ เป็นปัจจัย จึงมี วิญญาณ ขึ้นรับรู้ อันเป็นไปตามธรรมของชีวิต
๓. วิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนาม-รูป วิญญาณ กระบวนการรับรู้ของเหล่าอายตนะหรือทวารทั้ง ๖ ของชีวิต จึงรับรู้ในสังขารที่เกิดขึ้นนั้น เป็นปัจจัย จึงมี นาม-รูป
๔. นาม-รูปเป็นปัจจัย จึงมีสฬายตนะ นาม-รูป ทำให้รูปนามหรือขันธ์๕ที่มีอยู่แล้ว แต่นอนเนื่อง ครบองค์ของการทำงานตามหน้าที่ตนคือตื่นตัว เป็นปัจจัย จึงมี สฬายตนะ
๕. สฬายตนะเป็นปัจจัย จึงมีผัสสะ สฬายตนะ ตา,หู,จมูก,ลิ้น,กาย,ใจ เข้าทำงานตามหน้าที่แห่งตน เนื่องเพราะนาม-รูปครบองค์ตื่นตัวแล้ว เป็นปัจจัย จึงมี ผัสสะ
๖. ผัสสะเป็นปัจจัย จึงมีเวทนา ผัสสะ การประจวบกันของสฬายตนะ(อายตนะภายใน) & สังขาร(อายตนะภายนอก) & วิญญาณ ทั้ง๓ เป็นปัจจัย จึงมี เวทนา
๗. เวทนาเป็นปัจจัย จึงมีตัณหา เวทนา การเสวยอารมณ์หรือความรู้สึกรับรู้ที่เกิดจากการผัสสะ เป็นสุขเวทนาบ้าง, ทุกขเวทนาบ้าง, อทุกขมสุขบ้าง เป็นปัจจัย จึงมี ตัณหา
๘. ตัณหาเป็นปัจจัย จึงมีอุปาทาน ตัณหา กามตัณหาในรูป-รส-กลิ่น-เสียง-สัมผัส, ภวตัณหา-ความอยาก, วิภวตัณหา-ความไม่อยาก เป็นปัจจัย จึงมี อุปาทาน
๙. อุปาทานเป็นปัจจัย จึงมีภพ อุปาทาน ความยึดมั่น,ความถือมั่นในกิเลสหรือความพึงพอใจในตน,ของตนเป็นหลักสำคัญ เป็นปัจจัย จึงมี ภพ
๑๐. ภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติ ภพ สภาวะของจิต หรือบทบาทที่ตกลงใจ อันเป็นไปตามอิทธิพลที่ได้รับจากอุปาทาน เป็นปัจจัย จึงมี ชาติ
๑๑. ชาติเป็นปัจจัย จึงมีชรา-มรณะ พรั่งพร้อมด้วย โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส หรืออาสวะกิเลสนั่นเอง ชาติ อันคือ ความเกิด จึงหมายถึง การเริ่มเกิดขึ้นของกองทุกข์หรืออุปาทานทุกข์ ตามภพหรือสภาวะ,บทบาทที่ตกลงใจเลือกนั้น เป็นปัจจัยจึงมี ชรา-มรณะพร้อมทั้งอาสวะกิเลส
ชรา-มรณะ พร้อมทั้ง อาสวะกิเลส เมื่อมีการเกิด(ชาติ)ขึ้น ก็ย่อมมีการตั้งอยู่ระยะหนึ่งแต่อย่างแปรปรวน(ชรา) แล้วดับไป(มรณะ)เป็นธรรมดา ดังนี้
ชรา - ความเสื่อม ความแปรปรวน จึงหมายถึง ความแปรปรวนความผันแปร ความวนเวียนอยู่ในกองทุกข์ อันคือการเกิดอุปาทานขันธ์ ๕ ขึ้นและเป็นไปอย่างวนเวียนซํ้าซ้อน และเร่าร้อนเผาลนกระวนกระวายอย่างต่อเนื่อง
มรณะ - การดับ การตาย จึงหมายถึง การดับไปของทุกข์นั้นๆ อันพรั่งพร้อมกับการเกิดขึ้นเป็นอาสวะกิเลส - อันคือความจำ(สัญญา)ได้ในสิ่งที่ทำให้จิตขุ่นมัวหรือกิเลส ที่เกิดขึ้น จึงเป็นความจำเจือกิเลสที่อยู่ในสภาพนอนเนื่อง แอบหมักหมมหรือสร้างรอยแผลเป็นอยู่ในจิตหรือความจำ อันจักยังผลให้เกิดเป็นทุกข์ขึ้นอีกในภายภาคหน้าอย่างแน่นอน กล่าวคือ
อาสวะกิเลส - ความจำเจือกิเลสที่ตกตะกอนนอนก้น นอนเนื่องอยู่ในจิต ซึ่งเมื่อผุดขึ้นมาเองโดยธรรมชาติ หรือเกิดแต่เจตนาขึ้น หรือเกิดแต่การกระตุ้นเร้าของการกระทบสัมผัส(ผัสสะ)กับอารมณ์ใดก็ตามที ก็จะไหลไปซึมซาบย้อมจิต ซึ่งจะไปเป็นเหตุปัจจัยร่วมกับอวิชชาอีกครั้ง ดังเหตุปัจจัยแรก ดังนี้
๑. อวิชชาร่วมกับอาสวะกิเลสเป็นปัจจัย จึงมีสังขาร
จึงหนุนเนื่องขับดันวงจรของความทุกข์ให้ดำเนินต่อไปได้อย่างต่อเนื่องไม่ขาดสายต่อไปในภายภาคหน้า จึงก่อให้เกิดการเวียนว่ายตายเกิดในกองทุกข์ หรือสังสารวัฏไม่รู้จักจบสิ้นไปตลอดกาลนาน
อาสวะกิเลส
อาสวะกิเลส เป็นผลพวงหรือผลงานที่เกิดขึ้นเองโดยธรรม(ธรรมชาติ) จะไม่ให้เกิด ไม่ให้มีก็ไม่ได้ เพราะเป็นสัญญาความจำชนิดหนึ่งจึงทำงานโดยธรรมของชีวิต อันเป็นขันธ์หนึ่งใน ๕ ของชีวิต(เบญจขันธ์หรือขันธ์ ๕) เพียงแต่เฉพาะเจาะจงไปว่า เป็นสัญญาหรือความจำที่เจือกิเลส ชนิดที่นอนเนื่อง ที่พร้อมที่จะซึมซาบย้อมจิต เมื่อกระทบกับอารมณ์ หรือก็คือความจำ(สัญญา)ที่แฝงหรือประกอบด้วยกิเลส พระองค์ท่านจำแนกออกเป็น โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส
โสกะ - ทำให้เกิดกิเลสสิ่งขุ่นมัวที่นอนเนื่องหมักหมมอยู่ในจิต อันเกิดจาก ความโศก, ความเศร้าใจ, ความแห้งใจ จากความทุกข์กระทบ เช่น ความเสื่อม ความสูญเสีย เช่น เสื่อมทรัพย์ เสื่อมยศ เสื่อมลาภ เสื่อมญาติ เสื่อมสุข เสื่อมสรรเสริญ ฯลฯ อันจักยังให้เกิดองค์ธรรมสังขาร(สังขารกิเลส)ต่างๆนาๆขึ้นในภายหน้า คือ เกิดการกระทำต่างๆทั้งทางกาย วาจา และใจ ในภายหน้าที่จะก่อให้เป็นทุกข์ขึ้นอีก
ปริเทวะ - ทำให้เกิดกิเลสสิ่งขุ่นมัวที่นอนเนื่องหมักหมมอยู่ในจิต อันเกิดจากความจำได้ในทั้งสุขและทุกข์แต่อดีต จึงมีความครํ่าครวญ รํ่าไร รําพัน อาลัย คํานึงถึง คิดถึง คือการโหยหาในสุข ในสิ่งที่ชอบ ในสิ่งที่รัก ในเพศสัมผัส ในรสชาดอาหาร ในความสุข สนุกแต่ในอดีต ฯลฯ. ปริเทวะจึงเป็นเหตุปัจจัยให้เกิดสิ่งที่เรียกว่าสุขก็คือทุกข์อย่างละเอียด, หรือการครํ่าครวญในทุกข์ คือพิรี้พิไร ครํ่าครวญ บ่นถึงทุกข์ สิ่งที่ไม่ชอบ ที่เกลียด อันได้เคยเกิด เคยมี เคยเป็นทุกข์แต่ในอดีต, อันยังให้เกิดสังขารปรุงแต่งต่างๆนาๆที่เป็นสังขารกิเลสอันก่อทุกข์ในภายหน้า
ทุกข์ - ทำให้เกิดกิเลสสิ่งขุ่นมัวที่นอนเนื่องหมักหมมอยู่ในจิต อันเกิดมาจาก ความทุกข์อันเกิดมาแต่กาย เสวยอารมณ์อันไม่ดีที่เกิดแต่กายสัมผัส เช่นความป่วยไข้ ความเจ็บปวด ความกลัว ความกังวลในความเจ็บ ป่วยไข้ต่างๆนาๆ กลัวความแก่อันเกิดแต่กาย กลัวความตาย อันยังให้เกิดสังขารปรุงแต่งต่างๆนาๆที่จะก่อให้เป็นทุกข์ในภายหน้า
โทมนัส - ทำให้เกิดกิเลสสิ่งขุ่นมัวที่นอนเนื่องหมักหมมอยู่ในจิต อันเกิดมาจาก ความทุกข์ใจอันเกิดมาแต่ความไม่สําราญทางจิต, ทุกข์อันเกิดแต่ใจ, เสวยอารมณ์อันไม่ดีที่เกิดแต่ใจ(มโนสัมผัส) ความไม่ได้ตามปรารถนา ความคิดนึกปรุงแต่งฟุ้งซ่าน อันยังให้เกิดสังขารปรุงแต่งต่างๆนาๆที่จะก่อให้เป็นทุกข์ในภายหน้า
อุปายาส - ทำให้เกิดกิเลสสิ่งขุ่นมัวที่นอนเนื่องหมักหมมอยู่ในจิต อันเกิดมาจาก ความขุ่นข้อง, ความคับแค้น, ความขัดเคืองใจ, อาฆาตพยาบาท, ความกลัว, ความไม่ได้ดังใจ อันเป็นกิเลสสิ่งขุ่นมัวที่หมักหมมไว้(อาสวะกิเลส) อันยังให้เกิดองค์ธรรมสังขารปรุงแต่งต่างๆนาๆที่จะก่อให้เป็นทุกข์ในภายหน้า
อาสวะกิเลสอันจักต้องเกิดร่วมด้วยกับชรา-มรณะทุกครั้งทุกทีอันเป็นไปตามธรรมหรือสภาวธรรม(ธรรมชาติ)อันยิ่งใหญ่ของชีวิต เป็นผลข้างเคียงอันต้องพึงเกิดขึ้นเป็นธรรมดา เพราะเป็นความจําของชีวิต(สัญญา)อย่างหนึ่ง อันเป็นหนึ่งในขันธ์ ๕ นั่นเอง แต่เมื่อร่วมด้วยกับอวิชชาจึงเป็นปัจจัยให้เกิดแรงหนุนเนื่องขับดันให้วงจรปฏิจจสมุปบาทหรือวงจรของทุกข์ดําเนินต่อเนื่อง จึงเป็นปัจจัยให้เกิด ....สังขารการกระทำต่างๆ..... .....เป็นไปตามวงจรปฏิจสมุปบาทอย่างต่อเนื่อง อย่างไม่รู้จักจบสิ้น, จึงเป็นแรงหนุนเนื่องให้วงจรของทุกข์เกิดการหมุนเวียนอย่างต่อเนื่องเป็นภวจักรหรือวงจรแห่งสังสารวัฏ อันคือการเวียนว่ายตายเกิดในภพในชาติตั้งแต่อดีตชาติจวบจนปัจจุบันชาตินี้ และจะยังคงหมุนเวียนสืบเนื่องต่อไปอีกเช่นนี้ต่อไปในภายภาคหน้า
เหล่านี้คืออาสวะกิเลส คือกิเลสหมักหมมที่นอนเนื่องอยู่ ซึ่งจักไหลซึมซ่านไปย้อมจิตเมื่อประสบอารมณ์ต่างๆ ซึ่งต้องเกิดร่วมมาด้วยกับชรา-มรณะทุกครั้งทุกทีไปโดยธรรมชาติ ซึ่งจักเป็นเหตุปัจจัยให้จิตขุ่นมัวเศร้าหมองเพราะความจำแต่อดีตที่แฝงกิเลส ไปเป็นปัจจัยที่ กระตุ้น เร่งเร้า เป็นรากเหง้า หรือเชื้อทุกข์ หนุนเนื่องขับดันให้ดำเนินไปตามวงจรปฏิจจสมุปบาท กล่าวคือเป็นเหตุปัจจัยร่วมกับ อวิชชา จึงยังให้เกิดหรือมี สังขาร คิด,พูด,กระทำ ตามที่ได้เคยสั่งสม อบรมไว้ขึ้นใหม่อีกต่อไปเรื่อยๆ ......เป็นวงจรใหม่ของทุกข์ เป็นแรงหนุนให้หมุนเวียนต่อเนื่อง ถ้าพิจารณาโดยละเอียดโดยการย้อนระลึก ดังเช่น ลองสังเกตุหรือย้อนระลึกดูอดีต เมื่อเกิดอารมณ์โกรธขึ้นอย่างรุนแรง จะเห็นว่า สักระยะหนึ่งความโกรธก็จะค่อยๆดับไป แต่ในช่วงแรกนั้นอารมณ์ยังขุ่นมัว กรุ่นๆ หงุดหงิด ฟุ้งซ่าน รำคาญใจกินเวลาอีกนาน (ยังมีอาการออกมาใหัรู้เพราะทุกข์ยังไม่ดับสนิทคือยังเกิดทุกข์อุปาทานขันธ์๕ปรุงแต่งต่างๆนาๆ ที่ เกิดๆ ดับๆ ในชรา(การเปลี่ยนแปลง,การแปรปรวน) กล่าวคือยังเกิดความคิดนึกปรุงแต่งในเรื่องนั้นเป็นช่วงๆหรือตลอดเวลา จนเวลาผ่านไปจนทุกข์นั้นได้ดับแล้ว(มรณะ) จิตราบเรียบไม่เป็นทุกข์ไม่ครุ่นคิดคำนึงถึงทุกข์นั้นอีกแล้ว, แต่เมื่อมีใครพูดถึงคือเข้าทางอายตนะ(หู) หรือเกิดสังขารคิดคือนึกคิดตามที่สั่งสมหรือตามประสบการณ์ในเรื่องทุกข์ดังกล่าวผุดขึ้นมา ความทุกข์เรื่องนั้นเกิดขึ้นใหม่ได้อีกทันที เหตุเนื่องเพราะอาสวะกิเลสที่นอนเนื่องอยู่ในจิตอันคือเหล่า โสกะ-หดหู่ใจ เสียใจ, ปริเทวะ-คร่ำครวญ โหยหา อาลัย, ทุกข์-ทุกข์ทางกาย, โทมนัส- ทุกข์ใจ ทุกข์อันเกิดแก่ใจ, อุปายาส - ขุ่นข้อง คับแค้นใจ เมื่อถูกกระตุ้นเร้าหรือเจตนาขึ้นมาก็ตามที เมื่อเกิดขึ้นหรือผุดขึ้นแล้วก็จะเป็นเหตุปัจจัยแก่กันและกันร่วมกับอวิชชา คือ เกิดการทำงานขึ้นทันที เกิดการดําเนินไปตามวงจรของการเกิดขึ้นแห่งทุกข์อีกครั้ง, อาสวะกิเลสเป็นกิเลสที่ละเอียดมากแทบไม่รู้ตัวว่ามีอยู่ กำจัดได้ยากต้องใช้อาสวักขยญาณอันเป็นญาณหรือปัญญาญาณหรือความรู้ความเข้าใจ(ญาณ)ที่เกิดในขั้นสุดท้ายเท่านั้น ที่จักกำจัดอาสวะกิเลสเป็นการสิ้นไปอย่างถาวร กลายเป็นเพียงสัญญา(ความจำได้หมายรู้)ที่ไม่ร้อยรัดด้วยกิเลสตัณหาอีกต่อไป
ข้อสังเกตุเพื่อการโยนิโสมนสิการปฏิจจสมุปบาทนี้ จะพบความจริงว่าทุกครั้งทุกทีที่มีไม่ว่าจะเป็นทุกข์หรือสุขทางโลกๆก็ตามที เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปอยู่ตลอดเวลานั้น จะมีอาสวะกิเลสเกิดขึ้นร่วมด้วยทุกครั้งทุกทีไป หมายความว่าในทุกขณะจิตของปุถุชนที่ล้วนยังมีทุกข์และสุขเกิดๆดับๆอยู่เนืองๆนั้น ก็ย่อมมีอาสวะกิเลสสั่งสม หมักดอง นอนเนื่อง ซึมซ่าน ย้อมจิตเพิ่มเติมอยู่ตลอดเวลาเช่นกัน เป็นธรรมดาและจะห้ามไม่ให้เกิดไม่ให้มีก็ไม่ได้ และเป็นไปโดยไม่รู้ตัวด้วยอวิชชาอีกด้วย และในแนวทางปฏิจจสมุปบาทท่านจัดชรา-มรณะและอาสวะกิเลสว่าเป็น สมุทัยเหตุแห่งทุกข์ คือเป็นแหล่งพลังสำคัญในการกระตุ้นหรือขับเคลื่อนวงจรการเกิดขึ้นของทุกข์ให้เคลื่อนหมุนเวียนเป็นวงจรไปตลอดกาลนาน (อ่านรายละเอียดของอาสวะกิเลสเพิ่มเติมภายหลังได้ที่นี่อาสวะกิเลส และสัญญา)
การเกิดขึ้นแห่งทุกข์
ปฏิจจสมุปบาท เป็น "ปฎิจจสมุปบันธรรม" อันคือ ธรรมหรือสิ่งที่เกิดแต่เหตุปัจจัยมาประชุมเป็นปัจจัยแก่กันและกัน ปัจจัยในปฏิจจสมุปบาท หมายถึง เหตุหรือสิ่งที่จําเป็นต้องมี เพื่อยังให้เกิดอีกสิ่งหนึ่ง, อุปมาดั่งเมล็ดพืชที่จะงอกงามขึ้นได้ จําเป็นต้องมีเหตุอันคือดินและนํ้า เป็นปัจจัยในการงอกขึ้นเป็นต้นฉันใด, เหตุแห่งทุกข์ทั้งหลายจึงเปรียบได้ดั่งเมล็ดพืช อันจึงจําต้องอาศัยเหตุต่างๆมาเป็นปัจจัยดังที่แสดงในวงจรปฏิจจสมุปบาท ซึ่งเปรียบได้ดังดินและนํ้า มาเป็นปัจจัยจึงจักเติบโตขึ้นเป็นความทุกข์ได้ฉันนั้น เมื่อโยนิโสมนสิการโดยแยบคาย จะพบว่าเมื่อเมล็ดพืช ขาดเหตุปัจจัยคือดินและนํ้า ย่อมไม่สามารถงอกเป็นต้นได้ฉันใด เหตุแห่งทุกข์ก็เช่นกันฉันนั้น จึงทําให้เหตุแห่งทุกข์นั้นแม้ยังคงมีอยู่ เฉกเช่นเมล็ดพืชที่ย่อมมีอยู่อันเป็นไปตามธรรม(ธรรมชาติ) แต่เมื่อขาดเหตุปัจจัยอันคือดินและนํ้าย่อมไม่สามารถเจริญเติบโตขึ้นได้ ความทุกข์ก็เป็นเฉกเช่นนั้น เมื่อขาดเหตุปัจจัยย่อมไม่สามารถเติบโตกลับกลายไปเป็นความทุกข์ที่เร่าร้อนเผาลนๆได้(ทุกข์อุปาทาน), จึงเกิดขึ้นและเป็นไปดังคํากล่าวของพระอริยะเจ้า
เหตุแห่งทุกข์นั้นมีอยู่ แต่ไม่มีผู้รับผลทุกข์นั้น
หรือ
เหตุแห่งทุกข์นั้นยังคงมีอยู่เป็นธรรมดา เพราะเป็นสภาวธรรม(ธรรมชาติ) แต่ทําให้เป็นอุปาทานทุกข์ไม่ได้
ขณะอ่านต้องการดูวงจรปฏิจจสมุปบาทประกอบการพิจารณาให้คลิกที่ มุมขวาล่างของจอภาพ
อ่านครั้งละสั้นๆแต่ละองค์ธรรมก็ได้ แต่พิจารณาหลายๆสิบครั้งแบบค่อยเป็นค่อยไป ให้กระจ่าง สว่าง
และคิดพิจารณา(ธัมมวิจยะ) ไล่ลําดับกระบวนธรรม แบบหาเหตุหาผล
ให้เห็นสภาวธรรม(ธรรมชาติ)ของกระบวนจิตทั้งหมด จึงจักเกิดความเข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง
การอ่านแม้ด้วยความเพียร แล้วเกิดความเข้าใจในช่วงแรกๆ จักยังเป็นความเข้าใจในแบบทางโลกๆ
อันจักยังมิสามารถหยั่งลงสู่แก่นของธรรมได้จริงๆ
ต้องโยนิโสมนสิการเท่านั้นจึงจะบังเกิดความเข้าใจในสภาวธรรมได้จริง
จนเข้าใจว่ามันเกิดขึ้นและเป็นไปเยี่ยงนั้นด้วยเหตุด้วยผลจริง ด้วยตนเองในทุกองค์ธรรม
ไม่ใช่การท่องจำหรือจดจำได้ อย่างคล่องแคล่วในองค์ธรรมต่างๆ
และต้องไม่ใช่ด้วยการน้อมเชื่อด้วยอธิโมกข์ในข้อเขียน หรืออธิโมกข์ในพระศาสนาหรือองค์พระศาสดา
การทํางานของจิตตามวงจรปฏิจจสมุปบาท การเกิดขึ้นแห่งทุกข์ จึงดำเนินเกิดขึ้นและเป็นไปดังนี้
แสดงวงจรปฏิจจสมุปบาท ฝ่ายสมุทยวาร เป็นลำดับขั้น
//www.nkgen.com/patitja1.htm
Create Date : 22 ตุลาคม 2553 |
Last Update : 22 ตุลาคม 2553 21:43:12 น. |
|
1 comments
|
Counter : 1138 Pageviews. |
|
|
|