พุทธประวัติจากพระโอษฐ์ .. ทรงแก้ข้อที่เขาหาว่าเกียดกัน .. "ทาน"
.
"พระโคดมผู้เจริญ ! ข้าพเจ้าได้ฟังมาว่า พระสมณโคดมได้กล่าวแล้วว่า .. - ใคร ๆ พึงทำทานกะเราเท่านั้น ไม่ควรทำทานกับคนพวกอื่น, - ใคร ๆ พึงทำทานกะสาวกทั้งหลายของเราเท่านั้น ไม่ควรทำทานกับสาวกของคนพวกอื่น, - ทานที่ทำกะเราเท่านั้นมีผลมาก ทำกับคนอื่นไม่มีผลมาก, - ทานที่ทำกับสาวกของเราเท่านั้นมีผลมาก ทำกับสาวกของคนพวกอื่นไม่มีผลมาก ดังนี้.
ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ! ใคร ๆ ที่กล่าวเช่นนี้ ชื่อว่ากล่าวตรงตามที่พระโคดมกล่าวหรือไม่ได้กล่าวตู่พระโคดมด้วยคำไม่จริงดอกหรือ .. เขากล่าวถูกตามยุติธรรมอยู่หรือ เพื่อน ๆ ของเขาที่กล่าวตามเขาย่อมพ้นจากการถูกติเตียนหรือ ?
พวกข้าพเจ้าไม่อยากจะกล่าวตู่พระโคดมเลย."
คำถามของปริพพาชกวัจฉโคตร.
วัจฉะ ! ผู้ใดกล่าวว่าเรากล่าวเช่นนี้ ไม่ชื่อว่ากล่าวตรงตามที่เรากล่าว เขากล่าวตู่เราด้วยเรื่องไม่เป็นจริง.
วัจฉะ ! - ผู้ใดห้ามผู้อื่นซึ่งให้ทาน ผู้นั้นชื่อว่าเป็นอมิตร - ผู้ทำอันตรายสิ่ง ๓ สิ่ง คือ ทำอันตรายต่อบุญของทายก, ทำอันตรายต่อลาภของปฏิคาหก, และตัวเองก็ขุดรากตัวเองกำจัดตัวเองเสียตั้งแต่แรกแล้ว.
วัจฉะเอย ! ผู้ที่ห้ามผู้อื่นซึ่งให้ทาน ชื่อว่าเป็นอมิตร ผู้ทำอันตรายสิ่ง ๓ สิ่ง ดังนี้แล.
วัจฉะ ! เราเองย่อมกล่าวอย่างนี้ว่า .. - ผู้ใดเทน้ำล้างหม้อ หรือน้ำล้างชามก็ตาม ลงในหลุมน้ำครำหรือทางน้ำโสโครก ซึ่งมีสัตว์มีชีวิตเกิดอยู่ในนั้น ด้วยคิดว่า สัตว์ในนั้นจะได้อาศัยเลี้ยงชีวิต ดังนี้แล้ว
เราก็ยังกล่าวว่านั่นเป็นทางมาแห่งบุญเพราะการทำแม้เช่นนั้น ไม่ต้องกล่าวถึงการให้ทานแก่มนุษย์ด้วยกัน ดังนี้.
อีกอย่างหนึ่ง เรากล่าวว่า .. - ทานที่ให้แก่ผู้มีศีล เป็นทานมีผลมาก. - ทานที่ให้แก่ผู้ทุศีล หาเป็นอย่างนั้นไม่. - และผู้มีศีลนั้น เป็นผู้ละเสียซึ่งองค์ ๕ และประกอบอยู่ด้วยองค์ ๕. - ละองค์ห้าคือ .. - - - ละกามฉันทะ (ความพอใจในกามคุณ) - - - ละพยาบาท (คิดร้ายผู้อื่น) - - - ละถิ่นมิทธะ (ความหดหู่ ความซึมเซา ) - - - ละอุทธัจจกุกกุจจะ (ความฟุ้งซ่าน และรำคาญ,เดือดร้อนใจ) - - - ละวิจิกิจฉา. (ความลังเลสงสัย) (คือ นิวรณ์ 5 นั่นเอง)
- ประกอบด้วยองค์ห้าคือ .. - - - ประกอบด้วยกองศีลชั้นอเสขะ (คือชั้นพระอรหันต์) - - - ประกอบด้วยกองสมาธิชั้นอเสขะ - - - ประกอบด้วยกองปัญญาชั้นอเสขะ - - - ประกอบด้วยกองวิมุตติชั้นอเสขะ - - - ประกอบด้วยกองวิมุตติญาณทัสสนะชั้นอเสขะ.
เรากล่าวว่าทานที่ให้ในบุคคลผู้ละองค์ห้า .. และประกอบด้วยองค์ห้าด้วยอาการอย่างนี้ มีผลมากดังนี้.
(หมายเหตุ จขบ.
ข้อความตรงนี้ค่อนข้างชัดเจนว่า .. ผู้มีศีล นั้นคือชั้นพระอรหันต์ ที่กอปรด้วย ศีล สมาธิ ปัญญา วิมุตติ
คือจิตที่ถอนอาสวะเสียสิ้นแล้ว .. คือ จิตที่อุปาทานไม่สามารถเกิดขึ้นได้อีกต่อไป .. คือจิตที่เข้าใจโลกธรรมแวดล้อมได้อย่างถ่องแท้จนไม่มีความหวั่นไหว ปรวนแปรอีกตลอดกาล .. คือจิตที่ภาวะ "อัตตา-ตัวกู" ถูกล่มล้างแล้วอย่างถาวร สิ้นเชิง ..
ส่วน ปุถุชนสงฆ์ (พระบ้านทั่วไป .. พระบวชตามประเพณีเมื่ออายุครบบวช .. เณร .. ชี ) .. รวมทั้งคน สัตว์ ทั้งหลาย .. พระองค์ไม่ได้กล่าวไว้เรื่องมีผลมาก .. จะแปลต่อก็ได้ว่า ไม่มีผลอะไร - นอกจากประเด็น-การมีส่วนในการลดล้างอัตตา -ตัวกู .. และอัตตนียา-ของกู
การให้ - จึงเป็นการทำลายความรู้สึกว่า "ของกู" ลงตรงๆ เท่านั้นเอง .. แต่เป็นส่วนสำคัญในกระบวนการทำลายอัตตา หรือ พูดได้ว่า เป็นกระบวนการในการเจริญให้มากขึ้นซึ่งความเป็น "อนัตตา" ซึ่งเป็น 1 ใน 3 ของไตรสิกขา และเป็นหัวใจสำคัญสูงสุดของพุทธธรรม
ดังนั้น การพยายามอุตสาหะเน้นย้ำของบางสำนักถึงเรื่อง บุญ ทาน .. ย่อมไม่ถูก ตรง เมื่อเทียบกับพระพุทธวจนะ .. เป็นการ"คิดเอาเอง .. ตู่เอาเอง" ของอำนาจการปรุงแต่งในจิตของเจ้าสำนักนั้นๆเท่านั้น .. เด็ดขาด !
เพราะ"ผลที่ต้องการ" ไม่มีการระบุรับรองไว้ในพระพุทธวจนะข้างบน .. และหาก"คิดเอาเอง .. ตู่เอาเอง" ย่อมเป็นผู้ทุศีล .. เพราะมันเป็นเท็จ
และย่อมเป็นดังพระพุทธวจนะที่ว่า .. "ทานที่ให้แก่ผู้ทุศีล หาเป็นอย่างนั้นไม่ " - คือ ไม่มีผลอะไร เหมือนไม่ได้ทำ
. . . บาลี ติก. อํ. ๒๐/๒๐๕/๔๙๗. ตรัสแก่ปริพพาชกวัจฉโคตร.
Create Date : 16 พฤศจิกายน 2555 |
|
0 comments |
Last Update : 16 พฤศจิกายน 2555 8:10:11 น. |
Counter : 981 Pageviews. |
|
|
|