Group Blog
 
<<
พฤศจิกายน 2555
 
16 พฤศจิกายน 2555
 
All Blogs
 

พุทธประวัติจากพระโอษฐ์ .. ทรงแก้ข้อที่เขาหาว่าเกียดกัน .. "ทาน"

.





"พระโคดมผู้เจริญ !
ข้าพเจ้าได้ฟังมาว่า พระสมณโคดมได้กล่าวแล้วว่า ..
- ใคร ๆ พึงทำทานกะเราเท่านั้น ไม่ควรทำทานกับคนพวกอื่น,
- ใคร ๆ พึงทำทานกะสาวกทั้งหลายของเราเท่านั้น ไม่ควรทำทานกับสาวกของคนพวกอื่น,
- ทานที่ทำกะเราเท่านั้นมีผลมาก ทำกับคนอื่นไม่มีผลมาก,
- ทานที่ทำกับสาวกของเราเท่านั้นมีผลมาก ทำกับสาวกของคนพวกอื่นไม่มีผลมาก
ดังนี้.

ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ !
ใคร ๆ ที่กล่าวเช่นนี้ ชื่อว่ากล่าวตรงตามที่พระโคดมกล่าวหรือไม่ได้กล่าวตู่พระโคดมด้วยคำไม่จริงดอกหรือ .. เขากล่าวถูกตามยุติธรรมอยู่หรือ เพื่อน ๆ ของเขาที่กล่าวตามเขาย่อมพ้นจากการถูกติเตียนหรือ ?

พวกข้าพเจ้าไม่อยากจะกล่าวตู่พระโคดมเลย."

คำถามของปริพพาชกวัจฉโคตร.

วัจฉะ !
ผู้ใดกล่าวว่าเรากล่าวเช่นนี้ ไม่ชื่อว่ากล่าวตรงตามที่เรากล่าว เขากล่าวตู่เราด้วยเรื่องไม่เป็นจริง.

วัจฉะ !
- ผู้ใดห้ามผู้อื่นซึ่งให้ทาน ผู้นั้นชื่อว่าเป็นอมิตร
- ผู้ทำอันตรายสิ่ง ๓ สิ่ง คือ ทำอันตรายต่อบุญของทายก, ทำอันตรายต่อลาภของปฏิคาหก, และตัวเองก็ขุดรากตัวเองกำจัดตัวเองเสียตั้งแต่แรกแล้ว.

วัจฉะเอย !
ผู้ที่ห้ามผู้อื่นซึ่งให้ทาน ชื่อว่าเป็นอมิตร ผู้ทำอันตรายสิ่ง ๓ สิ่ง
ดังนี้แล.

วัจฉะ !
เราเองย่อมกล่าวอย่างนี้ว่า ..
- ผู้ใดเทน้ำล้างหม้อ หรือน้ำล้างชามก็ตาม ลงในหลุมน้ำครำหรือทางน้ำโสโครก ซึ่งมีสัตว์มีชีวิตเกิดอยู่ในนั้น ด้วยคิดว่า สัตว์ในนั้นจะได้อาศัยเลี้ยงชีวิต ดังนี้แล้ว

เราก็ยังกล่าวว่านั่นเป็นทางมาแห่งบุญเพราะการทำแม้เช่นนั้น ไม่ต้องกล่าวถึงการให้ทานแก่มนุษย์ด้วยกัน ดังนี้.

อีกอย่างหนึ่ง เรากล่าวว่า ..
- ทานที่ให้แก่ผู้มีศีล เป็นทานมีผลมาก.
- ทานที่ให้แก่ผู้ทุศีล หาเป็นอย่างนั้นไม่.
- และผู้มีศีลนั้น เป็นผู้ละเสียซึ่งองค์ ๕ และประกอบอยู่ด้วยองค์ ๕.
- ละองค์ห้าคือ ..
- - - ละกามฉันทะ (ความพอใจในกามคุณ)
- - - ละพยาบาท (คิดร้ายผู้อื่น)
- - - ละถิ่นมิทธะ (ความหดหู่ ความซึมเซา )
- - - ละอุทธัจจกุกกุจจะ (ความฟุ้งซ่าน และรำคาญ,เดือดร้อนใจ)
- - - ละวิจิกิจฉา. (ความลังเลสงสัย)
(คือ นิวรณ์ 5 นั่นเอง)

- ประกอบด้วยองค์ห้าคือ ..
- - - ประกอบด้วยกองศีลชั้นอเสขะ (คือชั้นพระอรหันต์)
- - - ประกอบด้วยกองสมาธิชั้นอเสขะ
- - - ประกอบด้วยกองปัญญาชั้นอเสขะ
- - - ประกอบด้วยกองวิมุตติชั้นอเสขะ
- - - ประกอบด้วยกองวิมุตติญาณทัสสนะชั้นอเสขะ
.

เรากล่าวว่าทานที่ให้ในบุคคลผู้ละองค์ห้า .. และประกอบด้วยองค์ห้าด้วยอาการอย่างนี้ มีผลมากดังนี้.


(หมายเหตุ จขบ.

ข้อความตรงนี้ค่อนข้างชัดเจนว่า .. ผู้มีศีล นั้นคือชั้นพระอรหันต์ ที่กอปรด้วย ศีล สมาธิ ปัญญา วิมุตติ

คือจิตที่ถอนอาสวะเสียสิ้นแล้ว ..
คือ จิตที่อุปาทานไม่สามารถเกิดขึ้นได้อีกต่อไป ..
คือจิตที่เข้าใจโลกธรรมแวดล้อมได้อย่างถ่องแท้จนไม่มีความหวั่นไหว ปรวนแปรอีกตลอดกาล ..
คือจิตที่ภาวะ "อัตตา-ตัวกู" ถูกล่มล้างแล้วอย่างถาวร สิ้นเชิง ..

ส่วน ปุถุชนสงฆ์ (พระบ้านทั่วไป .. พระบวชตามประเพณีเมื่ออายุครบบวช .. เณร .. ชี ) .. รวมทั้งคน สัตว์ ทั้งหลาย .. พระองค์ไม่ได้กล่าวไว้เรื่องมีผลมาก .. จะแปลต่อก็ได้ว่า ไม่มีผลอะไร - นอกจากประเด็น-การมีส่วนในการลดล้างอัตตา -ตัวกู .. และอัตตนียา-ของกู

การให้ - จึงเป็นการทำลายความรู้สึกว่า "ของกู" ลงตรงๆ เท่านั้นเอง .. แต่เป็นส่วนสำคัญในกระบวนการทำลายอัตตา หรือ พูดได้ว่า เป็นกระบวนการในการเจริญให้มากขึ้นซึ่งความเป็น "อนัตตา" ซึ่งเป็น 1 ใน 3 ของไตรสิกขา และเป็นหัวใจสำคัญสูงสุดของพุทธธรรม

ดังนั้น การพยายามอุตสาหะเน้นย้ำของบางสำนักถึงเรื่อง บุญ ทาน .. ย่อมไม่ถูก ตรง เมื่อเทียบกับพระพุทธวจนะ .. เป็นการ"คิดเอาเอง .. ตู่เอาเอง" ของอำนาจการปรุงแต่งในจิตของเจ้าสำนักนั้นๆเท่านั้น .. เด็ดขาด !

เพราะ"ผลที่ต้องการ" ไม่มีการระบุรับรองไว้ในพระพุทธวจนะข้างบน .. และหาก"คิดเอาเอง .. ตู่เอาเอง" ย่อมเป็นผู้ทุศีล .. เพราะมันเป็นเท็จ

และย่อมเป็นดังพระพุทธวจนะที่ว่า .. "ทานที่ให้แก่ผู้ทุศีล หาเป็นอย่างนั้นไม่ " - คือ ไม่มีผลอะไร เหมือนไม่ได้ทำ




.
.
.
บาลี ติก. อํ. ๒๐/๒๐๕/๔๙๗.
ตรัสแก่ปริพพาชกวัจฉโคตร.




 

Create Date : 16 พฤศจิกายน 2555
0 comments
Last Update : 16 พฤศจิกายน 2555 8:10:11 น.
Counter : 981 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


สดายุ...
Location :
France

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 151 คน [?]









O ใช่แน่หรือ ? .. O






O หรือธรรมชาติผ่านเวียน .. คอยเปลี่ยนโลก ?
ทั้งสุขโศกเร่งรุดยากหยุดไหว
หรือกำหนดยุดยื้อจากมือใด
จัดการให้แปลกแยกได้แทรกตัว
O หรือพบกันครั้งแรก, ความแตกต่าง
ถูกบ่มสร้างเหมาะควรอย่างถ้วนทั่ว
แต่ตา-รูป .. สบกัน, ที่สั่นรัว-
แรกที่หัวใจคน .. เริ่มอลเวง
O ละห้อยเห็นในยามห่างนามรูป
แต่ละวูบเนรมิตคอยพิศเพ่ง
งามทุกงามจารจรดเยี่ยงบทเพลง
พร้องบรรเลงด้วยมือช่วยยื้อยุด
O ย่อมเป็นมือสร้างเหตุแทรกเจตนา
ผ่านรูปหน้าอำนวยเข้าฉวยฉุด
ร้างไร้ความกริ่งเกรง, หากเร่งรุด
แทรกลงสุดหัวใจเพื่อไขว่คว้า
O แน่นอนว่ายากเว้น .. อยากเห็นรูป
และชั่ววูบวาบเดียวที่เหลียวหา
หวังทุกหอมรินไหลผ่านไปมา
ทั้งหางตาที่ชม้อยเหลือบคอยปราย
O โลกย่อมงามพร่างแพร้วเมื่อแผ้วผ่าน
ด้วยอ่อนหวานอ่อนโยนที่โชนฉาย
แม้นมิอาจโยกคลอนให้ผ่อนคลาย
ก็อย่าหมายโยกคลอนให้ผ่อนลง
O จะกี่ครั้งกี่ครา, ความอาวรณ์
เวียนรอบตอนจับจูงจนสูงส่ง
ด้วยรูปนามเทียบถวัลย์อย่างบรรจง
แตะแต้มลงผ่านจริตจนติดตรึง
O ความรู้สึกในอกย่อมยกตัว
หวานถ้วนทั่ว, รสประทิ่น, ถวิลถึง
เหมือนรุมล้อมหยอดย้ำลงคำนึง
ให้เสพซึ้งรสงามของ .. ความรัก
O วัฏฏจักรแห่งธรรม .. ย่อมย่ำผ่าน
เข้าขัด-คาน จับจูงความสูงศักดิ์
ของอาวรณ์หลบเร้น เพื่อเว้นวรรค
ที่เข้าทักทายทั่วทั้งหัวใจ
O หรือแท้จริงตัวตนถูกค้นพบ
การบรรจบ .. รูป-จริต แล้วพิสมัย
ปรารมภ์ของฝั่งฝ่าย .. นั้น-ฝ่ายใด
เพิ่งยอมให้เรื่องเฉลย .. ยอมเผยความ ?



Friends' blogs
[Add สดายุ...'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.