พุทธประวัติจากพระโอษฐ์ .. ทรง"เยาะ"ลัทธิที่ว่า สุข-ทุกข์ เพราะกรรมเก่าอย่างเดียว
.ภิกษุ ท. !ลัทธิ ๓ ลัทธิเหล่านี้มีอยู่. เป็นลัทธิซึ่งแม้บัณฑิตจะพากันไตร่ตรอง จะหยิบขึ้นตรวจสอบ จะหยิบขึ้นวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างไร แม้จะบิดผันกันมาอย่างไร ก็ชวนให้น้อมไปเพื่อการไม่ประกอบกรรมที่ดีงามอยู่นั่นเอง.ภิกษุ ท. ! ลัทธิ ๓ ลัทธินั้นเป็นอย่างไรเล่า ? .. ๓ ลัทธิคือ (๑) สมณะและพราหมณ์บางพวกมีถ้อยคำและความเห็นว่า .."บุรุษบุคคลใด ๆ ก็ตามที่ได้รับสุข รับทุกข์ หรือไม่ใช่สุขไม่ใช่ทุกข์ ทั้งหมดนั้น เป็นเพราะกรรมที่ทำไว้แต่ปางก่อน" ดังนี้. (๒) สมณะและพราหมณ์บางพวก มีถ้อยคำและความเห็นว่า "บุรุษบุคคลใด ๆ ก็ตาม ที่ได้รับสุข รับทุกข์ หรือไม่ใช่สุข ไม่ใช่ทุกข์ทั้งหมดนั้น เป็นเพราะการบันดาลของเจ้าเป็นนาย" ดังนี้. (๓) สมณและพราหมณ์บางพวก มีถ้อยคำและความเห็นว่า "บุรุษบุคคลใด ๆ ก็ตามที่ได้รับสุข หรือได้รับทุกข์หรือมิใช่สุขมิใช่ทุกข์ ทั้งหมดนั้น ไม่มีอะไรเป็นเหตุเป็นปัจจัยเลย" ดังนี้.ภิกษุ ท. ! ในบรรดาลัทธิทั้งสามนั้น สมณพราหมณ์พวกใดมีถ้อยคำและความเห็นว่า .."บุคคลได้รับสุข หรือทุกข์ หรือไม่ใช่สุขไม่ใช่ทุกข์ เพราะกรรมที่ทำไว้แต่ปางก่อนอย่างเดียว" อยู่ เราเข้าไปหาสมณพราหมณ์เหล่านั้นแล้ว สอบถามความที่เขายังยืนอยู่ดังนั้นแล้ว เรากล่าวกะเขาว่า .."ถ้ากระนั้นคนที่ ..... ฆ่าสัตว์... ลักทรัพย์... ประพฤติผิดพรหมจรรย์... พูดเท็จ... พูดคำหยาบ... พูดยุให้แตกกัน... พูดเพ้อเจ้อ... มีใจละโมบเพ่งเล็ง... มีใจพยาบาท... มีความเห็นวิปริต เหล่านี้อย่างใดอย่างหนึ่ง (ในเวลานี้) นั่นก็ต้องเป็นเพราะกรรมที่ทำไว้แต่ปางก่อน. เมื่อมัวแต่ถือเอากรรมที่ทำไว้แต่ปางก่อนมาเป็นสาระสำคัญดังนี้แล้ว คนเหล่านั้นก็ไม่มีความอยากทำ หรือความพยายามทำ ในข้อที่ว่า สิ่งนี้ควรทำ สิ่งนี้ไม่ควรทำอีกต่อไป. เมื่อกรณียกิจและอกรณียกิจไม่ถูกทำหรือถูกละเว้นให้จริงๆ จังๆ กันแล้ว คนพวกที่ไม่มีสติคุ้มครองตนเหล่านั้น ก็ไม่มีอะไรที่จะมาเรียกตนว่าเป็นสมณะอย่างชอบธรรมได้". ดังนี้.ภิกษุ ท. ! นี้แล แง่สำหรับข่มอย่างเป็นธรรม แก่สมณะพราหมณ์ทั้งหลาย ผู้มีถ้อยคำและความเห็นเช่นนั้น แง่ที่หนึ่ง....บาลี มหาวรรค ติก. อํ. ๒๐/๒๒๒/๕๐๑. ตรัสแก่ภิกษุทั้งหลาย