Group Blog
 
<<
เมษายน 2557
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
27282930 
 
11 เมษายน 2557
 
All Blogs
 
อริยสัจจากพระโอษฐ์ .. อาการเกิดขึ้นแห่งความทุกข์ - ทรงแสดงด้วยอารมณ์เป็นที่ก้าวลงแห่งนามรูป

(อีกปริยายหนึ่ง)


ภิกษุ ท .!
ถ้าบุคคล ..
.. ย่อมคิด (เจเตติ) ถึงสิ่งใดอยู่,
.. ย่อมดำริ(ปกปฺเปติ) ถึงสิ่งใดอยู่,
.. และย่อมมีจิตปักลงไป (อนุเสติ) ในสิ่งใดอยู่;

สิ่งนั้นย่อมเป็นอารมณ์ เพื่อการตั้งอยู่แห่งวิญญาณ .

- เมื่ออารมณ์ มีอยู่, ความตั้งขึ้นเฉพาะแห่งวิญญาณ ย่อมมี;
- เมื่อวิญญาณนั้น ตั้งขึ้นเฉพาะ เจริญงอกงามแล้ว, การก้าวลงแห่งนามรูป ย่อมมี;
- เพราะมีนามรูปเป็นปัจจัย จึงมีสฬายตนะ;
- เพราะมีสฬายตนะเป็นปัจจัย จึงมีผัสสะ;
- เพราะมีผัสสะเป็นปัจจัย จึงมีเวทนา;
- เพราะมีเวทนาเป็นปัจจัย จึงมีตัณหา;
- เพราะมีตัณหาเป็นปัจจัย จึงมีอุปาทาน;
- เพราะมีอุปาทานเป็นปัจจัย จึงมีภพ ;
- เพราะมีภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติ;
- เพราะมีชาติเป็นปัจจัย, ชรามรณะ โสกะปริเทวะ ทุกขะโทมนัสอุปายาสทั้งหลาย จึงเกิดขึ้นครบถ้วน

ความเกิดขึ้นพร้อมแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ ย่อมมี ด้วยอาการอย่างนี้

ภิกษุ ท.!
ถ้าบุคคล ..
.. ย่อมไม่คิดถึงสิ่งใด,
.. ย่อมไม่ดำริถึงสิ่งใด,
.. แต่เขายังมีใจฝังลงไป (คือมีอนุสัย) ในสิ่งใดอยู่;

สิ่งนั้น ย่อมเป็นอารมณ์ เพื่อการตั้งอยู่แห่งวิญญาณ.
- เมื่ออารมณ์ มีอยู่, ความตั้งขึ้นเฉพาะแห่งวิญญาณย่อมมี;
- เมื่อวิญญาณนั้น ตั้งขึ้นเฉพาะ เจริญงอกงามแล้ว, การก้าวลงแห่งนามรูป ย่อมมี;
- เพราะมีนามรูปเป็นปัจจัย จึงมีสฬายตนะ;
- เพราะมีสฬายตนะเป็นปัจจัย จึงมีผัสสะ;
- เพราะมีผัสสะเป็นปัจจัย จึงมีเวทนา;
- เพราะมีเวทนาเป็นปัจจัย จึงมีตัณหา;
- เพราะมีตัณหาเป็นปัจจัย จึงมีอุปาทาน;
- เพราะมีอุปาทานเป็นปัจจัย จึงมีภพ;
- เพราะมีภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติ;
- เพราะมีชาติเป็นปัจจัย, ชรามรณะ โสกะปริเทวะทุกขะโทมนัสอุปายาสทั้งหลายจึงเกิดขึ้นครบถ้วน

ความเกิดขึ้นพร้อมแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ ย่อมมี ด้วยอาการอย่างนี้.
.
.
.
นิทาน. สํ. ๑๖/๗๙/๑๔๗.


หมายเหตุ จขบ.
สังเกตุได้ว่าตามสาย ปฏิจจสมุปบาท ที่มี

อวิชชา->สังขาร->วิญญาณ->นามรูป->สฬายตนะ->ผัสสะ->ตัณหา->อุปาทาน->ภพ->ชาติ->ชรา มรณะ โสกะปริเทวะทุกขะโทมนัสอุปายาส

พุทธวจนะตอนนี้ทรงเริ่มที่ นามรูป ไปจนตลอดสาย

อาจจะดูเข้าใจยากตรง ทำไมเอาวิญญาณมาเริ่มก่อนผัสสะ ?
เข้าใจยากเพราะในลำดับการเกิดขึ้นของปัจจัยที่เริ่มจาก อวิชชา นั้นท่านจับเอา สังขาร เกิดขึ้นต่อจากอวิชชา

อวิชชา คือ สภาพที่ปราศจากความรู้ในอริยสัจจ์ทั้ง 4 ในจิตของคนคนหนึ่ง
สังขาร คือ อำนาจแห่งการปรุงแต่งของจิต
วิญญาณ คือ ภาวะรับรู้ที่พร้อมทำงานที่เกี่ยวเนื่องอยู่กับทวารทั้ง 6
นามรูป คือ ภาวะที่พร้อมจะถูกรับรู้โดยทวารทั้ง 6 ทั้งรูปธรรมและนามธรรม
สฬายตนะ คือ อายตนะภายใน(ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ) และอายตนะภายนอก (รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ธรรมารมณ์)
ผัสสะ คือ การสัมผัสกัน ของ อายตนะภายในและภายนอกที่เป็นคู่กัน (ตา กับ รูป)
เวทนา คือ ความรู้สึก (feeling) ในรสของอารมณ์
ตัณหา คือ ความอยาก ความดิ้นรน ความปรารถนา ความเสน่หา
อุปาทาน คือ ความยึดติด หลงรักในความพึงพอใจ ความเสน่หา ปรารถนา
ภพ คือ ภาวะการตั้งขึ้นของตัวกู (อัตตา - ego) ไม่ใช่ body
ชาติ คือ การเบ่งบานขึ้นอย่างเต็มที่ของ ตัวกู
ชรา มรณะ โสกะปริเทวะทุกขะโทมนัสอุปายาส คือ ความทุกข์ ความคร่ำครวญ ความทนไม่ได้ ความระทมเทวษ ทรมาน

ต้องเข้าใจให้ชัดเจนก่อนว่า .. ระหว่างการเกิดผัสสะ นั้น
รูปกายนั้นย่อมกอปรอยู่ด้วย อวิชชา คือ
.. ผู้ไม่เข้าใจเรื่องทุกข์
.. ไม่เข้าใจเรื่องเหตุแห่งทุกข์
.. ไม่เข้าใจเรื่องความดับทุกข์
.. ไม่เข้าใจเรื่องทางแห่งความดับทุกข์

เมื่อไม่รู้ ตัวสังขารที่โง่เขลาย่อมสร้างวิญญาณแปะติดอยู่กับทวารทั้ง 6 อยู่ตลอดเวลา เพียงแต่ยังไม่ทำงาน (ยังไม่ถูก activate)

ในอีกด้านหนึ่ง ปัจจัยภายนอกทั้ง 6 ทางรอจับคู่กันอยู่ทั้งรูปทั้งนาม เรียกว่านามรูป คือสรรพสิ่งแวดล้อมรอบตัว รวมทั้งเรื่องราวให้ขบคิด (ธรรมารมณ์ที่รอจับคู่กับใจ .. ใจตัวนี้ทำงานกับ"นาม"เพียงตัวเดียว ขณะที่ที่เหลือทำงานกับ"รูป"ทั้งหมด - คนที่ฆ่าตัวตายแปลว่า "นาม" ทำงานรุนแรงจนสามารถทำลาย "รูป" ทั้งปวงได้)

เมื่อมีการกระทบ สัมผัส กัน เช่น ตาชายหนุ่ม (อายตนะภายใน) กับ ร่างหญิงสาวสุด sexy เปลือยเปล่า (อายตนะภายนอก) .. วิญญาณที่แปะติดอยู่กับดวงตาตลอดเวลา ก็ถูกกระตุ้นให้ทำงานทันที

เขียนเป็น สมการคณิตศาสตร์ได้ว่า
ตา+วิญญาณทางตา+รูป = ผัสสะ

เงื่อนไขคือ รูป ต้องมีความหมาย ต้องมีนัยะสำคัญ

หากรูปเป็นเพียง เม็ดกรวดริมทางสักก้อน ..
มีตาชายหนุ่มที่มองเห็นได้
แต่วิญญาณที่แปะติดดวงตาอยู่ไม่ถูกกระตุ้น ก็ไม่ทำงาน
เพราะ รูป คือเม็ดกรวดริมทาง ไม่มีความหมายใดๆ

แต่พอเป็น รูปสาวสวยหุ่น sexy ยืนเปลือยเปล่าอยู่ตรงหน้าและยิ้มให้ชายหนุ่มด้วย .. วิญญาณที่แปะติดดวงตา ย่อมทำงานจนหยุดไม่ทัน !

เวทนา คืออารมณ์ในรูปก็เกิด และปรุงต่อเป็นความชอบ ความหลงใหล ความต้องการครอบครองเรือนร่างนั้นก็คือ ตัณหา

แล้วก็ยึดมั่น ยึดติด รูปสวยงามต้องการไว้เป็นของตน คือ อุปาทาน
ภาวะตัวกู ของกู ก็ตั้งต้น คือ ภพ
จนเบ่งบานเต็มที่ เป็นตัวกูที่เป็นเจ้าของ หวงแหน ครอบครอง คือ ชาติ
แล้วกลัวสูญเสีย เปลี่ยนแปลง ทรุดโทรม ร่วงโรย คือ ชรา มรณะ ฯ

แล้วก็วนใหม่กับ คู่อื่นๆต่อไป ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ
รอบแล้วรอบเล่าจนกว่าจะเข้าใจโลกแวดล้อมได้ว่า มันเป็นเช่นนั้นเอง
หากไม่เข้าใจก็วนรอบเป็นวัฏฏะสงสาร วันแล้ววันเล่า เดือนแล้วเดือนเล่า ปีแล้วปีเล่า จนกว่าจะลงโลง ..




Create Date : 11 เมษายน 2557
Last Update : 11 เมษายน 2557 16:28:42 น. 1 comments
Counter : 961 Pageviews.

 
การมีพระเจ้าอย่างงมงาย

หากพบว่า มีพี่น้องมนุษย์ มีพระเจ้าอย่าง1.งมงาย 2.ปิดกั้น3.เนรคุณ 4.พึ่งพา 5.เย้ยหยัน. ผู้เห็นแก่ส่วนรวม เห็นคุณค่าทางบวกและทางลบที่จะเกิดกับสังคมโลก(มนุษย์ใช้ถังออกซิเจนใบใหญ่ร่วมกัน หากออกซิเจนไม่สะอาด ไม่มีศิริมงคล แล้วนำมาใช้เสพร่วมกัน หากติดเชื้อเนรคุณก็แพร่กระจายเป็นโรคติดต่อได้) ผู้ที่ไม่เห็นแก่ตัว ย่อมมีภาระหน้าที่ตกกับตน ใช้ปัญญาธรรม สันติธรรม ขันติธรรม เมตตาธรรม ยุติธรรม สามัคคีธรรม และธรรมต่างๆที่ศาสนทูตที่ตนติดตามแนะนำไว้อย่างครบครัน ตักเตือนต่อกัน เมื่อทำภาระหน้าที่นั้นแล้ว ก็ขอพรกำกับ ในการกระทำนั้นให้ผู้ที่ตนตักเตือน เท่านี้ สารแห่งความสุขก็หลั่งสร้างสมดุลฮอร์โมนต่างๆในร่างกาย(สุข ทางการแพทย์)ส่วนผู้ที่ต่อต้านในการตักเตือน ก็พึงระมัดระวังการทำงานของระบบสูบฉีดเลือดในสมอง เพราะหากผู้นั้นไปพยายามปิดกั้นสารใดที่ผัสสะ(ตามที่พระพุทธเจ้าเคยเตือนมนุษย์เรื่องอย่าปิดกั้นไว้)ที่ทวารตน เมื่อมันสามารถหลุดไปยังสมองได้ มันจะพุ่งเข้าชนส่วนสมองจนบอบช้ำได้ สมควรปล่อยเข้าไปอย่างช้าๆ ปราณีตเรียบร้อย ไม่ปิดกั้นมัน และหากมีการต่อต้านถึงระดับเกินสมควร สารหนึ่งที่เรียกทางการแพทย์ว่า"อาดีนารีน"สามารถหลั่งออกมา สารนี้เมื่อตกค้างจะเป็นสารก่อมะเร็งบั่นทอนช่วงชีวิตไปอย่างขาดทุน(ทุกข์ และ สุข อย่างมีเหตุผลทางวิทยาศาสตร์)

ผู้ที่มีพระเจ้า อย่างมีเหตุผลอย่างสมดุล และมิใช่มี ใน5อย่าง ข้างต้น ทุกขณะจิตก็กตัญญูเสมอๆ ไม่ละทิ้งแนวทางต่างๆที่พระเจ้าประทานผ่านหลากหลายช่องทาง เมื่อพบว่า มีผู้มีพระเจ้าเป็นสิ่งพึ่งพา เราก็เตือนเขาว่า ใยไม่เรียนรู้ทุกสิ่งจากพระเจ้าแล้วพึ่งพาตนเองเล่า (บางท่านไม่พึ่งพาพระเจ้า แต่ก็ยังหลงพึ่งพา บุญ บารมี วิธีหลุดพ้นต่าง พึ่งกุสโลบาย พึ่งพาเจว็ดรูปปั้นรูปหล่อ พิธีกรรม ตำรามนุษย์แต่ง ควันธูป แสงเทียน นักบวช นักพรต ฤาษีชีวก คาถา บริกรรม และหลากหลาย ทั้งๆที่ พระเจ้าคือผู้กำหนดคุณค่าในสิ่งนั้นๆมาให้มนุษย์เอง แทนที่ยะกตัญญูและเรียนรู้คุณค่าทุกสิ่งด้วยการกตัญญูต่อพระเจ้า)
เมื่อพบว่ามีผู้ มีพระเจ้าอย่างงมงาย ก็จงเตือนเขา ให้ใช้สติปัญญา ใช้ความเพียรเพื่อเรียนรู้คุณค่าที่พระเจ้ากำหนดสภาวะในทุกๆสิ่งให้มนุษย์ มิใช่กตัญญูต่อพระเจ้าแล้วละทิ้งทางที่นำคุณค่าจากพระเจ้ามาให้ตน นั่นเองที่ผู้คนใช้สิทธิ์อย่างสุจริตที่สามารถเรียกผู้มีพระเจ้าเช่นนั้นว่า "ผู้งมงาย" การมีพระเจ้าแบบไม่งมงายแบบกตัญญู ย่อมไม่ละทิ้งผู้ที่นำความรู้จากพระเจ้ามาผัสสะตน เช่น พระพุทธเจ้านำความรู้เรื่องที่ท่านได้รับมาจากพระเจ้า(ที่ให้ท่านเป็นคนแรก ทั้งๆที่มีอยู่มานานแล้ว) ในเรื่องอิถะปัจยตา มาให้เรา เราก็อย่าปิดกั้นปฎิเสธ หรือเนรคุณยกสะพานออกจากการเชื่อมโยง เพราะเราผัสสะสารนั้นๆผ่านมาทางพระพุทธเจ้า นิวตัน ก็ผ่านความรู้เรื่องแรงโน้มถ่วงที่ท่านได้รับมาจากพระเจ้า(ให้ท่านเป็นคนแรกทั้งๆที่แอปเปิ้ลตกมานานแล้วเช่นกัน)มาผัสสะเรา เราก็ไม่เนรคุณปัดท่านเซอร์ไอแซกนิวตั้นออกจากทางนำนั้น.

การมีพระเจ้าแบบ5ประเภทนั้น ก็จะค่อยๆปรับปรุงสู่ ทิศทางกุศล มนุษย์จะลด ถึง ไม่มีการก่อเชื้อเนรคุณ งมงาย พึ่งพาสิ่งที่ผิดๆแทนการพึ่งพาพระเจ้า(ที่สมควรเรียนรู้ มิใช่พึ่งพา) แพร่กระจายไปสู่ชั้นบรรยากาศ ที่มนุษย์มีสิทธิ์ในการใช้จ่ายร่วมกันอยู่ อย่างเท่าเทียม โดยพระคุณและความยุติธรรมของผู้สร้างและมอบ. จงกตัญญูร่วมกัน ในระดับสูงสุดร่วมกัน. พบเห็นผู้ติดเชื้อ ก็อาจกักบริเวณ ช่วยกันกักกันการแพร่เชื้อ ให้วัคซีนว่า กตัญญูๆๆๆ ทุกๆนาที หรือชั่วโมง หรือวัน. วิจัยรายต่อรายไปว่า ได้วัคซีนที่ให้แล้วอาการเป็นอย่างไร ดื้อยาไหม จากนั้นบันทึกไว้เพื่อการปรับปรุงแก้ไขสูตรวัคซีน เพื่อใช้ในโอกาสต่อๆไปได้.

ในโลกนี้ มีจริง มีอย่างกว้างขวาง สากล มานานแล้ว


โดย: ทำกันไปตามภาระหน้าที่ IP: 124.121.208.245 วันที่: 12 เมษายน 2557 เวลา:21:03:53 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

สดายุ...
Location :
France

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 151 คน [?]









O ใช่แน่หรือ ? .. O






O หรือธรรมชาติผ่านเวียน .. คอยเปลี่ยนโลก ?
ทั้งสุขโศกเร่งรุดยากหยุดไหว
หรือกำหนดยุดยื้อจากมือใด
จัดการให้แปลกแยกได้แทรกตัว
O หรือพบกันครั้งแรก, ความแตกต่าง
ถูกบ่มสร้างเหมาะควรอย่างถ้วนทั่ว
แต่ตา-รูป .. สบกัน, ที่สั่นรัว-
แรกที่หัวใจคน .. เริ่มอลเวง
O ละห้อยเห็นในยามห่างนามรูป
แต่ละวูบเนรมิตคอยพิศเพ่ง
งามทุกงามจารจรดเยี่ยงบทเพลง
พร้องบรรเลงด้วยมือช่วยยื้อยุด
O ย่อมเป็นมือสร้างเหตุแทรกเจตนา
ผ่านรูปหน้าอำนวยเข้าฉวยฉุด
ร้างไร้ความกริ่งเกรง, หากเร่งรุด
แทรกลงสุดหัวใจเพื่อไขว่คว้า
O แน่นอนว่ายากเว้น .. อยากเห็นรูป
และชั่ววูบวาบเดียวที่เหลียวหา
หวังทุกหอมรินไหลผ่านไปมา
ทั้งหางตาที่ชม้อยเหลือบคอยปราย
O โลกย่อมงามพร่างแพร้วเมื่อแผ้วผ่าน
ด้วยอ่อนหวานอ่อนโยนที่โชนฉาย
แม้นมิอาจโยกคลอนให้ผ่อนคลาย
ก็อย่าหมายโยกคลอนให้ผ่อนลง
O จะกี่ครั้งกี่ครา, ความอาวรณ์
เวียนรอบตอนจับจูงจนสูงส่ง
ด้วยรูปนามเทียบถวัลย์อย่างบรรจง
แตะแต้มลงผ่านจริตจนติดตรึง
O ความรู้สึกในอกย่อมยกตัว
หวานถ้วนทั่ว, รสประทิ่น, ถวิลถึง
เหมือนรุมล้อมหยอดย้ำลงคำนึง
ให้เสพซึ้งรสงามของ .. ความรัก
O วัฏฏจักรแห่งธรรม .. ย่อมย่ำผ่าน
เข้าขัด-คาน จับจูงความสูงศักดิ์
ของอาวรณ์หลบเร้น เพื่อเว้นวรรค
ที่เข้าทักทายทั่วทั้งหัวใจ
O หรือแท้จริงตัวตนถูกค้นพบ
การบรรจบ .. รูป-จริต แล้วพิสมัย
ปรารมภ์ของฝั่งฝ่าย .. นั้น-ฝ่ายใด
เพิ่งยอมให้เรื่องเฉลย .. ยอมเผยความ ?



Friends' blogs
[Add สดายุ...'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.