อริยสัจจากพระโอษฐ์ .. การรู้จักอันตคาหิกทิฏฐิไม่เกี่ยวกับการรู้อริยสัจและการประพฤติพรหมจรรย์
.
มาลุงก์ยบุตร ! อะไรเล่า เป็นสิ่งที่เราไม่พยากรณ์?
มาลุงก์ยบุตร ! ทิฏฐิว่า "โลกเที่ยง" ดังนี้ เป็นสิ่งที่เราไม่พยากรณ์. ทิฏฐิว่า "โลกไม่เที่ยง" ดังนี้ เป็นสิ่งที่เราไม่พยากรณ์. ทิฏฐิว่า "โลกมีที่สิ้นสุด" ดังนี้ เป็นสิ่งที่เราไม่พยากรณ์. ทิฏฐิว่า "โลกไม่มีที่สิ้นสุด" ดังนี้ เป็นสิ่งที่เราไม่พยากรณ์. ทิฏฐิว่า "ชีวะก็อันนั้น สรีระก็อันนั้น" ดังนี้ เป็นสิ่งที่เราไม่พยากรณ์. ทิฏฐิว่า "ชีวะก็อันอื่น สรีระก็อันอื่น" ดังนี้ เป็นสิ่งที่เราไม่พยากรณ์. ทิฏฐิว่า "ตถาคตภายหลังแต่ตายแล้ว ย่อมมีอีก" ดังนี้เป็นสิ่งที่เราไม่พยากรณ์. ทิฏฐิว่า "ตถาคตภายหลังแต่ตายแล้ว ย่อมไม่มีอีก" ดังนี้เป็นสิ่งที่เราไม่พยากรณ์, ทิฏฐิว่า "ตถาคตภายหลังแต่ตายแล้ว ย่อมมีอีกก็มี ไม่มีอีกก็มี" ดังนี้ เป็นสิ่งเราไม่พยากรณ์. ทิฏฐิว่า "ตถาคตภายหลังแต่ตายแล้ว ย่อมมีอีกก็หามิได้ ไม่มีอีก็หามิได้ ดังนี้ เป็นสิ่งที่เราไม่พยากรณ์.
มาลุงก์ยบุตร ! เพราะเหตุไร นั่นจึงเป็นสิ่งที่เราไม่พยากรณ์ ? เพราะเหตุว่า นั่น .. - ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ - ไม่เป็นเบื้องต้นแห่งพรหมจรรย์ - ไม่เป็นไปพร้อมเพื่อความหน่าย ความคลายกำหนัด ความดับ ความระงับ ความรู้ยิ่งความรู้พร้อม และนิพพาน.
เหตุนั้น นั่นจึงเป็นสิ่งที่เราไม่พยากรณ์.
มาลุงกยบุตร ! อะไรเล่า เป็นสิ่งที่เราพยากรณ์?
มาลุงกยบุตร ! สัจจะว่า .. "นี้ ความทุกข์" ดังนี้ เป็นสิ่งที่เราพยากรณ์. "นี้ ความดับไม่เหลือแห่งทุกข์" ดังนี้ เป็นสิ่งที่เราพยากรณ์. นี้ ทางเดินให้ถึงความดับไม่เหลือแห่งทุกข์" ดังนี้ เป็นสิ่งที่เราพยากรณ์.
มาลุงกยบุตร ! เพราะเหตุไร นั่นจึงเป็นสิ่งที่เราพยากรณ์ ?
เพราะเหตุว่า นั่น .. - ประกอบด้วยประโยชน์ - นั่นเป็นเบื้องต้นแห่งพรหมจรรย์ - นั่นเป็นไปพร้อมเพื่อความหน่าย ความคลายกำหนัด ความดับไม่เหลือ ความระงับ ความรู้ยิ่ง ความรู้พร้อม และนิพพาน,
เหตุนั้น นั่นเราจึงพยากรณ์
มาลุงกยบุตร ! เพราะเหตุนั้นในเรื่องนี้ เธอจึงถือเอาสิ่งที่เราไม่พยากรณ์โดยความเป็นสิ่งที่เราไม่พยากรณ์ และสิ่งที่เราพยากรณ์โดยความเป็นสิ่งที่เราพยากรณ์ ดังนี้เถิด.
มาลุงกยบุตร ! เมื่อทิฏฐิว่า .. - "โลกเที่ยง" ดังนี้ มีอยู่, มันจะเป็นการประพฤติพรหมจรรย์ขึ้นมาก็หามิได้; - "โลกไม่เที่ยง" ดังนี้ มีอยู่, มันจะเป็นการประพฤติพรหมจรรย์ขึ้นมาก็หามิได้อีกนั่นเอง.
มาลุงกยบุตร ! เมื่อทิฏฐิว่า .. - โลกเที่ยง หรือว่า โลกไม่เที่ยง ก็ตาม มีอยู่; ชาติก็ยังมี ชราก็ยังมี มรณะก็ยังมี, โสกะ ปริเทวะ ทุกขะ โทมนัส อุปายาส ทั้งหลาย ก็ยังมี, อันเป็นสิ่งที่เราบัญญัติการกำจัดมันเสียในทิฏฐธรรมนี้.
มาลุงกยบุตร ! เมื่อทิฏฐิว่า .. - "โลกมีที่สิ้นสุด" ดังนี้ มีอยู่, มันจะเป็นการประพฤติพรหมจรรย์ขึ้นมาก็หามิได้; - "โลกไม่มีที่สิ้นสุด" ดังนี้มีอยู่, มันจะเป็นการประพฤติพรหมจรรย์ขึ้นมาก็หามิได้อีกนั่นเอง.
มาลุงกบุตร ! เมื่อทิฏฐิว่า .. - โลกมีที่สิ้นสุด หรือว่า โลกไม่มีที่สิ้นสุด ก็ตามมีอยู่; ชาติก็ยังมี ชราก็ยังมี มรณะก็ยังมี, โสกะ ปริเทวะ ทุกขะ โทมนัส อุปายาส ทั้งหลายก็ยังมี, อันเป็นสิ่งที่เราบัญญัติการกำจัดมันเสียในทิฏฐธรรมนี้.
มาลุงกยบุตร ! เมื่อทิฏฐิว่า .. - "ชีวะก็อันนั้น สรีระก็อันนั้น" ดังนี้ มีอยู่, มันจะเป็นการประพฤติพรหมจรรย์ขึ้นมาก็หามิได้; - "ชีวะอันอื่น สรีระก็อันอื่น" ดังนี้ มีอยู่, มันจะเป็นการประพฤติพรหมจรรย์ขึ้นมาก็หามิได้อีกนั่นเอง.
มาลุงกยบุตร ! เมื่อทิฏฐิว่า .. - ชีวะก็อันนั้นสรีระก็อันนั้น หรือว่าชีวะก็อันอื่น สรีระก็อันอื่น ก็ตาม มีอยู่, ชาติก็ยังมีชราก็ยังมี มรณะก็ยังมี, โสกะ ปริเทวะ ทุกขะ โทมนัส อุปายาส ทั้งหลาย ก็ยังมี, อันเป็นสิ่งที่เราบัญญัติการกำจัดมันเสียในทิฏฐธรรมนี้.
มาลุงกยบุตร ! เมื่อทิฏฐิว่า .. - "ตถาคตภายหลังแต่ตายแล้วย่อมมีอีก" ดังนี้ มีอยู่, มันจะเป็นการประพฤติพรหมจรรย์ขึ้นมาก็หามิได้; - "ตถาคตภายหลังแต่ตายแล้ว ย่อมไม่มีอีก" ดังนี้ มีอยู่, มันจะเป็นการประพฤติพรหมจรรย์ขึ้นมาก็หามิได้อีกนั่นเอง.
มาลุงกยบุตร ! เมื่อทิฏฐิว่า .. - ตถาคตภายหลังแต่ตายแล้วย่อมมีอีก หรือว่า ตถาคตภายหลังแต่ตายแล้วย่อมไม่มีอีก ก็ตามมีอยู่; ชาติก็ยังมี ชราก็ยังมี มรณะก็ยังมี, โสกะ ปริเทวะ ทุกขะ โทมนัสอุปายาส ทั้งหลาย ก็ยังมี, อันเป็นสิ่งที่เราบัญญัติการกำจัดมันเสียในทิฏฐธรรมนี้.
มาลุงกยบุตร ! เมื่อทิฏฐิว่า .. - "ตถาคตภายหลังแต่ตายแล้ว ย่อมมีอีกก็มีไม่มีอีกก็มี" ดังนี้ มีอยู่, มันจะเป็นการประพฤติพรหมจรรย์ขึ้นมาก็หามิได้; - "ตถาคตภายหลังแต่ตายแล้ว ย่อมมีอีกก็หามิได้ไม่มีอีกก็หามิได้" ดังนี้มีอยู่, มันจะเป็นการประพฤติพรหมจรรย์ขึ้นมาก็หามิได้อยู่นั่นเอง.
มาลุงกยบุตร ! เมื่อทิฏฐิว่า .. - ตถาคตภายหลังแต่ตายแล้วย่อมมีอีกก็มีไม่มีอีกก็มี หรือว่า ตถาคตภายหลังแต่ตายแล้วย่อมมีอีกก็หามิได้ไม่มีอีกก็หามิได้ ก็ตาม มีอยู่; ชาติก็ยังมี ชราก็ยังมี มรณะก็ยังมี, โสกะ ปริเทวะ ทุกขะ โทมนัส อุปายาส ทั้งหลาย ก็ยังมี อันเป็นสิ่งที่เราบัญญัติการกำจัดมันเสียในทิฏฐธรรมนี้. . . . ม. ม. ๑๓/๑๕๑, ๑๕๐/๑๕๒, ๑๕๑
หมายเหตุ จขบ.
ดูในส่วนสีน้ำเงิน .. การตรัสถึง "ชาติ ชรา มรณะ" ติดต่อกันเช่นนี้ .. ทรงหมายถึง "ชาติ" ในสายปฏิจจสมุปบาท คือ ชาติที่เกิดจากอุปาทาน เท่านั้น ..
เนื่องเพราะ ชาติ แบบนี้เกิดจาก ทิฐิ ที่ปรุงแต่งด้วยกำลังของสังขาร
ชาติ - การเกิด, ชนิด, พวก, เหล่า, ปวงชนแห่งประเทศเดียวกัน, การเกิดของสังขาร(สิ่งปรุงแต่งทั้งปวง) จึงครอบคลุมการเกิดขึ้นของสังขารทั้งปวงไม่ใช่ชีวิตหรือร่างกายแต่อย่างเดียว, ในปฏิจจสมุปบาท ชาติ จึงหมายถึงการเกิดขึ้นของสังขารทุกข์ อันเป็นสังขารอย่างหนึ่ง (ดูรายละเอียดเพิ่มเติมของ ชาติ )
ชรา - ความแก่ ความทรุดโทรม ความเสื่อม, ความเปลี่ยนแปลง ความแปรปรวน, การแปรปรวนการเปลี่ยนแปลงของสังขาร(สิ่งปรุงแต่ง) จึงครอบคลุมสังขารทั้งปวง, ในปฏิจจสมุปบาท ชรา จึงหมายถึง ความแปรปรวนหรือวนเวียนอยู่ในทุกข์หรือกองทุกข์ กล่าวคือฟุ้งซ่านปรุงแต่งไม่หยุดหย่อนในสังขารนั่นเอง โดยไม่รู้ตัว
มรณะ - ความตาย ความดับไป ความเสื่อมจนถึงที่สุด, การดับไปในสังขาร(สิ่งปรุงแต่ง) จึงครอบคลุมสังขารทั้งปวง, ในปฏิจจสมุปบาท มรณะ จึงหมายถึงการดับไปของสังขารทุกข์ที่เกิดขึ้นมานั้นๆ
Create Date : 24 กุมภาพันธ์ 2556 |
Last Update : 24 กุมภาพันธ์ 2556 7:23:27 น. |
|
0 comments
|
Counter : 1237 Pageviews. |
|
|
|
|
|