พุทธประวัติจากพระโอษฐ์ .. เรื่องที่ไม่ทรงพยากรณ์
.
มาลุงกยบุตร ! ได้ยินเธอว่า (เอง) ว่า ตถาคตมิได้พูดไว้กะเธอว่า ท่านจงมาประพฤติพรหมจรรย์ ในสำนักเราเถิด เราจะพยากรณ์ทิฏฐิ ๑๐ ประการ แก่ท่าน'
อนึ่ง เธอก็มิได้พูดว่า`ข้าพระองค์จักประพฤติพรหมจรรย์ในสำนักพระผู้มีพระภาคเจ้า ถ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าจักพยากรณ์ทิฏฐิ ๑๐ ประการแก่ข้าพระองค์' ดังนี้เลย.
ดูก่อนโมฆบุรุษ ! เมื่อเป็นดังนี้ จักบอกคืนพรหมจรรย์กะใครเล่า.
มาลุงกยบุตร ! ถึงผู้ใดจะกล่าวว่า `พระผู้มีพระภาคยังไม่ทรงพยากรณ์ทิฏฐิ ๑๐ ประการแก่เราเพียงใด เราจักไม่ประพฤติพรหมจรรย์ในพระผู้มีพระภาคเพียงนั้น. ต่อเมื่อทรงพยากรณ์แล้ว เราจึงจะประพฤติพรหมจรรย์ในพระผู้มีพระภาค' ดังนี้ก็ตาม ..
ทิฏฐิ ๑๐ ประการ ก็ยังเป็นสิ่งที่ตถาคตไม่พยากรณ์อยู่นั่นเอง และผู้นั้นก็ตายเปล่า.
มาลุงกยบุตร ! เปรียบเหมือนบุรุษ ต้องศรอันอาบด้วยยาพิษอย่างแก่มิตร อมาตย์ ญาติสายโลหิตของเขา ก็ตระเตรียมศัลยแพทย์สำหรับการผ่าตัด, บุรุษนั้นกล่าวเสียอย่างนี้ว่า ..
`เราจักไม่ให้ผ่าลูกศรออก จนกว่าเราจะรู้จักตัวบุรุษผู้ยิงเสียก่อน ว่าเป็นกษัตริย์ หรือ พราหมณ์, เวสส์, สูทท์, เป็นผู้มีชื่ออย่างนี้ ๆ มีสกุลอย่างนี้ ๆ, รูปร่างสูงต่ำหรือปานกลางอย่างไร, มีผิวดำขาวหรือเรื่ออย่างไร, อยู่ในหมู่บ้าน, นิคม, หรือนครไหน, และคันศรที่ใช้ยิงเรานั้นเป็นหน้าไม้ หรือเกาทัณฑ์, สายทำ ด้วยปอ,เอ็น, ไม้ไผ่, หรือป่านอย่างไร, ฯลฯ' ดังนี้
มงลุงกยบุตร ! เรื่องเหล่านี้ อันบุรุษนั้นยังไม่ทราบได้เลยเขาก็ทำกาละเสียก่อน, นี้ฉันใด; บุคคลผู้กล่าวว่า `พระผู้มีพระภาคยังไม่พยากรณ์ทิฏฐิ ๑๐ ประการแก่เราเพียงใด, เราจักไม่ประพฤติพรหมจรรย์ในพระผู้มีพระภาคเพียงนั้น ฯลฯ' ดังนี้ ทิฏฐิ ๑๐ ประการก็ยังเป็นเรื่องที่ตถาคตไม่พยากรณ์อยู่นั่นเอง, และบุคคลนั้น ก็ตายเปล่าเป็นแท้.
มาลุงกยบุตร ! ต่อเมื่อมีทิฏฐิเที่ยงแท้ลงไปว่า โลกเที่ยง (เป็นต้นอย่างใดอย่างหนึ่งลงไปแล้วในบรรดาทิฏฐิทั้งสิบ) หรือ, คนเราจึงจักประพฤติพรหมจรรย์ได้ ?
"หามิได้ พระองค์ !"
มาลุงกยบุตร ! ในเมื่อมีทิฏฐิว่า 'โลกเที่ยง' (เป็นต้นอย่างใดอย่างหนึ่ง ในบรรดาทิฏฐิสิบ) อยู่, ก็ยังมี .. - ความเกิด - ความแก่ - ความตาย - ความโศก - ความคร่ำครวญ ทุกข์กาย ทุกข์ใจ - และความแห้งผากในใจ อันเป็นความทุกข์ซึ่งเราบัญญัติการกำจัดเสียได้ ในภพที่ตนเห็นแล้วนี้ อยู่นั่นเอง.
มาลุงกยบุตร ! เพราะฉะนั้น พวกเธอจงจำสิ่งที่เราไม่พยากรณ์ โดยความเป็นสิ่งที่เราไม่พยากรณ์, และจำสิ่งที่เราพยากรณ์ โดยความเป็นสิ่งที่เราพยากรณ์แล้ว.
มาลุงกยบุตร ! ก็อะไรเล่า ที่เราไม่พยากรณ์ ? สิ่งที่เราไม่พยากรณ์คือ (ทิฏฐิข้อใดข้อหนึ่งในบรรดาทิฏฐิทั้ง 10) ว่า:-
1- โลกเที่ยง, 2- โลกไม่เที่ยง, 3- โลกมีที่สิ้นสุด, 4- โลกไม่มีที่สิ้นสุด, 5- ชีวะก็ดวงนั้น ร่างกายก็ร่างนั้น, 6- ชีวะก็ดวงอื่น ร่างกายก็ร่างอื่น, 7- ตายแล้ว ย่อมเป็นอย่างที่เป็นมาแล้วนี้ อีก, 8- ตายแล้ว ไม่เป็นอย่างที่เป็นมาแล้วนี้ อีก, 9- ตายแล้ว ย่อมเป็นอย่างที่เป็นมาแล้วนี้อีกก็มี ไม่เป็นก็มี, 10- ตายแล้ว ย่อมเป็นอย่างที่เป็นมาแล้วนี้อีกก็ไม่ใช่ ไม่เป็นก็ไม่ใช่.
เพราะเหตุไร เราจึงไม่พยากรณ์ ?
มาลุงกยบุตร ! เพราะเหตุว่า นั่น .. - ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ - ไม่ใช่เงื่อนต้นของพรหมจรรย์, - ไม่เป็นไปพร้อมเพื่อความหน่าย ความคลายกำหนัด ความดับ ความรำงับ ความรู้ยิ่ง ความรู้พร้อม และนิพพาน,
เหตุนั้นเราจึงไม่พยากรณ์.
(หมายเหตุ .. จขบ
ข้อ 5, 6 ในทิฏฐิ 10 ประการด้านบน .. คำว่า "ชีวะ" นั้นพระองค์หมายถึง "อาตมัน" ซึ่งก็คือ "วิญญาณนิรันดร หรือ วิญญาณที่เวียนเกิดเวียนดับกับร่างกายนั้น ร่างกายนี้ หรือ วิญญาณเที่ยงแท้" ตามคำสอนยุคอุปนิษัทของพราหมณ์นั่นเอง ..
และนั่นเป็นคนละอย่างกับ "วิญญาณ6" อันเป็นเรื่องของปัจจยาการ ของพุทธ
ลองอ่านแล้วพิจารณาข้อความข้างบนให้ดี .. จะเห็นได้ว่าคำของพระพุทธองค์ตรงนี้ชัดเจนมาก ที่ว่า .. เรื่องที่ไม่เป็นประโยชน์แก่จิตใจของคนเราที่จะมีพัฒนาการไปสู่สัมมาทิฏฐิได้ .. คือเรื่องเวียนว่ายตายเกิดข้ามภพข้ามชาตินั่นเอง ..
เนื่องจากเป็นเรื่องที่หาข้อพิสูจน์มายืนยันไม่ได้ .. จึงได้แต่ถกเถียงเล่นสำนวนโวหารกันไปมา .. อันอาจก่อให้เกิดการทะเลาะเบาะแว้ง .. และไม่ได้มีประโยชน์ต่อพัฒนาการทางจิตใดใดเลย ..
เรื่องราวพวกนี้มันเกิดจาก"คนช่างคิดช่างจินตนาการคนแรกๆ" ที่เมื่อคิดแล้วก็พยายามพูดจาอธิบายเรื่องที่ตนคิดให้คนอื่นๆ เชื่อตาม ตั้งแต่ก่อนยุควิทยาศาสตร์เป็นต้นมาที่คนเรายังขาดเหตุผล แล้วค่อยๆฝังหัวกันต่อมา จนมีพัฒนาการขึ้นมาถึงระดับเป็นลัทธิความเชื่อ ..
หลังจากนั้นก็มีความพยายามต่อเติมรูปแบบความเชื่อนั้นโดยการสร้างหลักปรัชญาขึ้นมารองรับในภายหลัง ..
พอดีกับว่าเรื่องลึกลับที่พิสูจน์ไม่ได้นี้ .. มันมีความสอดรับกับสัญชาติญาณของมนุษย์เราโดยธรรมชาติที่กลัวเกรงสิ่งที่ "เข้าใจไม่ได้ .. รู้เห็นอย่างชัดเจนไม่ได้" คือสิ่งที่ไม่อาจสัมผัสด้วยประสาททั้ง 6 .. จึงลุ่มหลงสนุกสนานไปกับจินตนาการของตน และหมู่เหล่าพวกพ้องที่เชื่อ ที่คิด เหมือนๆกัน .. ซึ่งพวกนี้จะมีจำนวนมากตามสัดส่วนของภูมิปัญญาหลายระดับของมนุษย์อยู่แล้ว
พูดให้มองเห็นภาพง่ายๆ เหมือนการเรียนวิชาหนึ่งๆในห้องเรียนที่มีเด็กนักเรียนสัก 50 คน .. จะมีคนที่ได้เกรด A, B, C และ D คละกัน ..
A = 5% - บัวพ้นน้ำ เข้าใจแจ่มแจ้งในสิ่งที่เรียน เทียบเท่าครู B = 30% - บัวเรี่ยน้ำ เข้าใจบางส่วน มั่วบางส่วน ต้องทำการบ้านเยอะๆ หรือต้องใช้เวลาใคร่ครวญนานกว่าพวกแรก จึงจะพอเข้าใจได้เท่าเทียม .. จับประเด็นของหลักสัทธรรมไม่แม่น .. เช่นพวกที่ไปคอยถกเถียงกันด้วยเรื่องปลีกย่อยที่ไม่ใช่แก่นธรรม เช่นเรื่องวินัยสงฆ์ เรื่องวัตรปฏิบัติของสงฆ์ เรื่องสีจีวร เรื่องสวดปาฏิโมกข์ก่อนหลัง ครบบทไม่ครบบท .. ฯลฯ ซึ่งล้วนเป็นเรื่องของ"รูปแบบและกฏเกณฑ์"
C = 60% - บัวติดตม พวกนี้ในทางโลกถือว่าสอบผ่าน แต่ในทางธรรมมันไปต่อยาก .. คนพวกนี้ชอบที่จะคลุกคลีอยู่กับ กฎเกณฑ์พิธีกรรมสืบทอด และคิดเองไม่ได้ต้องมีผู้คอยชี้นำ สั่งสอน คอยบอก 1 2 3 หรือทำซ้ำๆให้เห็นแล้วจะยึดถือเอาทั้งวัตถุและตัวบุคคลเป็นที่พึ่งทางใจ .. เพราะปัญญาที่จะพึ่งพาจิตวิญญาณตนเองมันไม่เกิด ..
D = 5% - IQ ต่ำเหมาะกับงานใช้แรงงาน ในทางธรรมจัดไว้เป็นพวกเดียวกับ C
จิตวิญญาณแบบ C และ D นี้เหมาะกับศาสนาที่ใช้หลักศรัทธา แบบ ยูดาย คริสต์ อิสลาม มากกว่า เพราะมันง่าย ไม่ต้องคิดมาก .. ไม่ต้องใช้เหตุผล .. เชื่ออย่างเดียว จบ.
อีกทั้งเป็นเรื่องที่ง่ายต่อการหลอกลวงต่อจิตใจที่โง่เขลากว่า ผู้ไม่อาจแยกแยะ กลั่นกรอง เรื่องราวที่รับรู้รับฟังได้ด้วยตนเอง - หมายถึงระดับบัวใต้น้ำ ..
รวมทั้งการหลอกลวงผ่าน"นิยายเสริมแต่งสำหรับเหล่าศรัทธาบ้าบอด" เพื่อหวังให้นำเอาอามิสบูชา เงินทอง มาจุนเจือวัด ภายใต้แนวคิดการสะสมบุญกุศล ครอบหัวครอบหูเหล่าปัญญามืดบอด .. เพื่อคอยต่อยอดความมุ่งหวังไปชาติหน้า - หรือเรียกว่า "ธนาคารแห่งความมุ่งหวัง" ซึ่งไม่มีอะไรมากไปกว่าอากาศธาตุ .. ดังคำสอนของ ธรรมชัยโย เจ้าสำนักธรรมกายนั่นแล ..
ในเมื่อ พระพุทธองค์ ที่เป็นองค์ศาสดา ยังไม่พยากรณ์หรือไม่นำมาพูดจาเกี่ยวข้องด้วย ดังคำตรัสที่ระบุไว้ด้านบนอย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง .. แล้วไยลูกชาวบ้านเยี่ยงธรรมชัยโย ที่มาบวชเรียนในพรหมจรรย์นี้จึงนำมาเน้นย้ำสอนหนักหนา จนเงินทองมากมายมหาศาลหลั่งไหลเข้าหาวัด ?
ผ่านชมรม"พุทธศาสตร์" ในทุกมหาวิทยาลัย สำหรับเป้าหมายที่เป็น ลูกหลานจีน ที่มีกำลังทางเศรษฐกิจสูง ปีแล้วปีเล่า .. จนกุมารจีนพวกนี้เติบโตในหน้าที่การงาน .. ศรัทธาก็ยิ่งมายิ่งมืดมัว .. เมาบุญ สำลักกุศล กันจนน่าสมเพช ..
" ยิ่งเอาเงินมาให้วัดมาก ยิ่งได้บุญมาก ! " คำพูดเช่นนี้ นี่มัน Satanic Verses ชัดๆ !
ขณะที่หลักธรรมเอกอย่าง "ปฏิจจสมุปบาท" แทบไม่เคยได้ยินได้ฟัง เอามาพูดสอนเหล่าสาวกสักเท่าไรเลย .. มัวแต่นั่งหลับตาเพ่งลูกแก้วกันนั่นแหละ อุบาสกแก้ว อุบาสิกาแก้ว ทั้งหลาย .. 555
กิจที่เกี่ยวข้องวุ่นวายกับทางโลกเยี่ยงนี้ .. อาจนับเป็น"อาทิพรหมจรรย์" ของศิษย์ตถาคตได้เยี่ยงไร กัน ? ) . . . บาลี จูฬมาลุงกโยวาทสูตร ม.ม. ๑๓/๑๔๗/๑๔๙. ตรัสแก่พระภิกษุมาลุงกยะ ที่เชตวัน.
Create Date : 16 กันยายน 2555 |
Last Update : 16 กันยายน 2555 16:10:08 น. |
|
0 comments
|
Counter : 1292 Pageviews. |
|
|
|
|
|