Group Blog
 
<<
กันยายน 2555
 
16 กันยายน 2555
 
All Blogs
 
พุทธประวัติจากพระโอษฐ์ .. เรื่องที่ไม่ทรงพยากรณ์

.




มาลุงกยบุตร !
ได้ยินเธอว่า (เอง) ว่า ตถาคตมิได้พูดไว้กะเธอว่า ’ท่านจงมาประพฤติพรหมจรรย์ ในสำนักเราเถิด เราจะพยากรณ์ทิฏฐิ ๑๐ ประการ แก่ท่าน'

อนึ่ง เธอก็มิได้พูดว่า`ข้าพระองค์จักประพฤติพรหมจรรย์ในสำนักพระผู้มีพระภาคเจ้า ถ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าจักพยากรณ์ทิฏฐิ ๑๐ ประการแก่ข้าพระองค์' ดังนี้เลย.

ดูก่อนโมฆบุรุษ !
เมื่อเป็นดังนี้ จักบอกคืนพรหมจรรย์กะใครเล่า.

มาลุงกยบุตร !
ถึงผู้ใดจะกล่าวว่า `พระผู้มีพระภาคยังไม่ทรงพยากรณ์ทิฏฐิ ๑๐ ประการแก่เราเพียงใด เราจักไม่ประพฤติพรหมจรรย์ในพระผู้มีพระภาคเพียงนั้น. ต่อเมื่อทรงพยากรณ์แล้ว เราจึงจะประพฤติพรหมจรรย์ในพระผู้มีพระภาค' ดังนี้ก็ตาม ..

ทิฏฐิ ๑๐ ประการ ก็ยังเป็นสิ่งที่ตถาคตไม่พยากรณ์อยู่นั่นเอง และผู้นั้นก็ตายเปล่า.

มาลุงกยบุตร !
เปรียบเหมือนบุรุษ ต้องศรอันอาบด้วยยาพิษอย่างแก่มิตร อมาตย์ ญาติสายโลหิตของเขา ก็ตระเตรียมศัลยแพทย์สำหรับการผ่าตัด, บุรุษนั้นกล่าวเสียอย่างนี้ว่า ..

`เราจักไม่ให้ผ่าลูกศรออก จนกว่าเราจะรู้จักตัวบุรุษผู้ยิงเสียก่อน ว่าเป็นกษัตริย์ หรือ พราหมณ์, เวสส์, สูทท์, เป็นผู้มีชื่ออย่างนี้ ๆ มีสกุลอย่างนี้ ๆ, รูปร่างสูงต่ำหรือปานกลางอย่างไร, มีผิวดำขาวหรือเรื่ออย่างไร, อยู่ในหมู่บ้าน, นิคม, หรือนครไหน, และคันศรที่ใช้ยิงเรานั้นเป็นหน้าไม้ หรือเกาทัณฑ์, สายทำ ด้วยปอ,เอ็น, ไม้ไผ่, หรือป่านอย่างไร, ฯลฯ' ดังนี้

มงลุงกยบุตร !
เรื่องเหล่านี้ อันบุรุษนั้นยังไม่ทราบได้เลยเขาก็ทำกาละเสียก่อน, นี้ฉันใด; บุคคลผู้กล่าวว่า `พระผู้มีพระภาคยังไม่พยากรณ์ทิฏฐิ ๑๐ ประการแก่เราเพียงใด, เราจักไม่ประพฤติพรหมจรรย์ในพระผู้มีพระภาคเพียงนั้น ฯลฯ' ดังนี้ ทิฏฐิ ๑๐ ประการก็ยังเป็นเรื่องที่ตถาคตไม่พยากรณ์อยู่นั่นเอง, และบุคคลนั้น ก็ตายเปล่าเป็นแท้.

มาลุงกยบุตร !
ต่อเมื่อมีทิฏฐิเที่ยงแท้ลงไปว่า “โลกเที่ยง” (เป็นต้นอย่างใดอย่างหนึ่งลงไปแล้วในบรรดาทิฏฐิทั้งสิบ) หรือ, คนเราจึงจักประพฤติพรหมจรรย์ได้ ?

"หามิได้ พระองค์ !"

มาลุงกยบุตร !
ในเมื่อมีทิฏฐิว่า 'โลกเที่ยง' (เป็นต้นอย่างใดอย่างหนึ่ง ในบรรดาทิฏฐิสิบ) อยู่, ก็ยังมี ..
- ความเกิด
- ความแก่
- ความตาย
- ความโศก
- ความคร่ำครวญ ทุกข์กาย ทุกข์ใจ
- และความแห้งผากในใจ
อันเป็นความทุกข์ซึ่งเราบัญญัติการกำจัดเสียได้ ในภพที่ตนเห็นแล้วนี้ อยู่นั่นเอง
.

มาลุงกยบุตร !
เพราะฉะนั้น พวกเธอจงจำสิ่งที่เราไม่พยากรณ์ โดยความเป็นสิ่งที่เราไม่พยากรณ์, และจำสิ่งที่เราพยากรณ์ โดยความเป็นสิ่งที่เราพยากรณ์แล้ว.

มาลุงกยบุตร !
ก็อะไรเล่า ที่เราไม่พยากรณ์ ?
สิ่งที่เราไม่พยากรณ์คือ (ทิฏฐิข้อใดข้อหนึ่งในบรรดาทิฏฐิทั้ง 10) ว่า:-

1- โลกเที่ยง,
2- โลกไม่เที่ยง,
3- โลกมีที่สิ้นสุด,
4- โลกไม่มีที่สิ้นสุด,
5- ชีวะก็ดวงนั้น ร่างกายก็ร่างนั้น,
6- ชีวะก็ดวงอื่น ร่างกายก็ร่างอื่น,
7- ตายแล้ว ย่อมเป็นอย่างที่เป็นมาแล้วนี้ อีก,
8- ตายแล้ว ไม่เป็นอย่างที่เป็นมาแล้วนี้ อีก,
9- ตายแล้ว ย่อมเป็นอย่างที่เป็นมาแล้วนี้อีกก็มี ไม่เป็นก็มี,
10- ตายแล้ว ย่อมเป็นอย่างที่เป็นมาแล้วนี้อีกก็ไม่ใช่ ไม่เป็นก็ไม่ใช่
.

เพราะเหตุไร เราจึงไม่พยากรณ์ ?

มาลุงกยบุตร !
เพราะเหตุว่า นั่น ..
- ไม่ประกอบด้วยประโยชน์
- ไม่ใช่เงื่อนต้นของพรหมจรรย์,
- ไม่เป็นไปพร้อมเพื่อความหน่าย ความคลายกำหนัด ความดับ ความรำงับ ความรู้ยิ่ง ความรู้พร้อม และนิพพาน
,

เหตุนั้นเราจึงไม่พยากรณ์.


(หมายเหตุ .. จขบ

ข้อ 5, 6 ในทิฏฐิ 10 ประการด้านบน .. คำว่า "ชีวะ" นั้นพระองค์หมายถึง "อาตมัน" ซึ่งก็คือ "วิญญาณนิรันดร หรือ วิญญาณที่เวียนเกิดเวียนดับกับร่างกายนั้น ร่างกายนี้ หรือ วิญญาณเที่ยงแท้" ตามคำสอนยุคอุปนิษัทของพราหมณ์นั่นเอง ..

และนั่นเป็นคนละอย่างกับ "วิญญาณ6" อันเป็นเรื่องของปัจจยาการ ของพุทธ


ลองอ่านแล้วพิจารณาข้อความข้างบนให้ดี .. จะเห็นได้ว่าคำของพระพุทธองค์ตรงนี้ชัดเจนมาก ที่ว่า .. เรื่องที่ไม่เป็นประโยชน์แก่จิตใจของคนเราที่จะมีพัฒนาการไปสู่สัมมาทิฏฐิได้ .. คือเรื่องเวียนว่ายตายเกิดข้ามภพข้ามชาตินั่นเอง ..

เนื่องจากเป็นเรื่องที่หาข้อพิสูจน์มายืนยันไม่ได้ .. จึงได้แต่ถกเถียงเล่นสำนวนโวหารกันไปมา .. อันอาจก่อให้เกิดการทะเลาะเบาะแว้ง .. และไม่ได้มีประโยชน์ต่อพัฒนาการทางจิตใดใดเลย ..

เรื่องราวพวกนี้มันเกิดจาก"คนช่างคิดช่างจินตนาการคนแรกๆ" ที่เมื่อคิดแล้วก็พยายามพูดจาอธิบายเรื่องที่ตนคิดให้คนอื่นๆ เชื่อตาม ตั้งแต่ก่อนยุควิทยาศาสตร์เป็นต้นมาที่คนเรายังขาดเหตุผล แล้วค่อยๆฝังหัวกันต่อมา จนมีพัฒนาการขึ้นมาถึงระดับเป็นลัทธิความเชื่อ ..

หลังจากนั้นก็มีความพยายามต่อเติมรูปแบบความเชื่อนั้นโดยการสร้างหลักปรัชญาขึ้นมารองรับในภายหลัง ..

พอดีกับว่าเรื่องลึกลับที่พิสูจน์ไม่ได้นี้ .. มันมีความสอดรับกับสัญชาติญาณของมนุษย์เราโดยธรรมชาติที่กลัวเกรงสิ่งที่ "เข้าใจไม่ได้ .. รู้เห็นอย่างชัดเจนไม่ได้" คือสิ่งที่ไม่อาจสัมผัสด้วยประสาททั้ง 6 .. จึงลุ่มหลงสนุกสนานไปกับจินตนาการของตน และหมู่เหล่าพวกพ้องที่เชื่อ ที่คิด เหมือนๆกัน .. ซึ่งพวกนี้จะมีจำนวนมากตามสัดส่วนของภูมิปัญญาหลายระดับของมนุษย์อยู่แล้ว

พูดให้มองเห็นภาพง่ายๆ เหมือนการเรียนวิชาหนึ่งๆในห้องเรียนที่มีเด็กนักเรียนสัก 50 คน .. จะมีคนที่ได้เกรด A, B, C และ D คละกัน ..

A = 5% - บัวพ้นน้ำ เข้าใจแจ่มแจ้งในสิ่งที่เรียน เทียบเท่าครู
B = 30% - บัวเรี่ยน้ำ เข้าใจบางส่วน มั่วบางส่วน ต้องทำการบ้านเยอะๆ หรือต้องใช้เวลาใคร่ครวญนานกว่าพวกแรก จึงจะพอเข้าใจได้เท่าเทียม .. จับประเด็นของหลักสัทธรรมไม่แม่น .. เช่นพวกที่ไปคอยถกเถียงกันด้วยเรื่องปลีกย่อยที่ไม่ใช่แก่นธรรม เช่นเรื่องวินัยสงฆ์ เรื่องวัตรปฏิบัติของสงฆ์ เรื่องสีจีวร เรื่องสวดปาฏิโมกข์ก่อนหลัง ครบบทไม่ครบบท .. ฯลฯ ซึ่งล้วนเป็นเรื่องของ"รูปแบบและกฏเกณฑ์"

C = 60% - บัวติดตม พวกนี้ในทางโลกถือว่าสอบผ่าน แต่ในทางธรรมมันไปต่อยาก .. คนพวกนี้ชอบที่จะคลุกคลีอยู่กับ กฎเกณฑ์พิธีกรรมสืบทอด และคิดเองไม่ได้ต้องมีผู้คอยชี้นำ สั่งสอน คอยบอก 1 2 3 หรือทำซ้ำๆให้เห็นแล้วจะยึดถือเอาทั้งวัตถุและตัวบุคคลเป็นที่พึ่งทางใจ .. เพราะปัญญาที่จะพึ่งพาจิตวิญญาณตนเองมันไม่เกิด ..

D = 5% - IQ ต่ำเหมาะกับงานใช้แรงงาน ในทางธรรมจัดไว้เป็นพวกเดียวกับ C

จิตวิญญาณแบบ C และ D นี้เหมาะกับศาสนาที่ใช้หลักศรัทธา แบบ ยูดาย คริสต์ อิสลาม มากกว่า เพราะมันง่าย ไม่ต้องคิดมาก .. ไม่ต้องใช้เหตุผล .. เชื่ออย่างเดียว จบ
.


อีกทั้งเป็นเรื่องที่ง่ายต่อการหลอกลวงต่อจิตใจที่โง่เขลากว่า ผู้ไม่อาจแยกแยะ กลั่นกรอง เรื่องราวที่รับรู้รับฟังได้ด้วยตนเอง - หมายถึงระดับบัวใต้น้ำ ..

รวมทั้งการหลอกลวงผ่าน"นิยายเสริมแต่งสำหรับเหล่าศรัทธาบ้าบอด" เพื่อหวังให้นำเอาอามิสบูชา เงินทอง มาจุนเจือวัด ภายใต้แนวคิดการสะสมบุญกุศล ครอบหัวครอบหูเหล่าปัญญามืดบอด .. เพื่อคอยต่อยอดความมุ่งหวังไปชาติหน้า - หรือเรียกว่า "ธนาคารแห่งความมุ่งหวัง" ซึ่งไม่มีอะไรมากไปกว่าอากาศธาตุ .. ดังคำสอนของ ธรรมชัยโย เจ้าสำนักธรรมกายนั่นแล ..

ในเมื่อ พระพุทธองค์ ที่เป็นองค์ศาสดา ยังไม่พยากรณ์หรือไม่นำมาพูดจาเกี่ยวข้องด้วย ดังคำตรัสที่ระบุไว้ด้านบนอย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง .. แล้วไยลูกชาวบ้านเยี่ยงธรรมชัยโย ที่มาบวชเรียนในพรหมจรรย์นี้จึงนำมาเน้นย้ำสอนหนักหนา จนเงินทองมากมายมหาศาลหลั่งไหลเข้าหาวัด ?

ผ่านชมรม"พุทธศาสตร์" ในทุกมหาวิทยาลัย สำหรับเป้าหมายที่เป็น ลูกหลานจีน ที่มีกำลังทางเศรษฐกิจสูง ปีแล้วปีเล่า .. จนกุมารจีนพวกนี้เติบโตในหน้าที่การงาน .. ศรัทธาก็ยิ่งมายิ่งมืดมัว .. เมาบุญ สำลักกุศล กันจนน่าสมเพช ..


" ยิ่งเอาเงินมาให้วัดมาก ยิ่งได้บุญมาก ! "
คำพูดเช่นนี้ นี่มัน Satanic Verses ชัดๆ !



ขณะที่หลักธรรมเอกอย่าง "ปฏิจจสมุปบาท" แทบไม่เคยได้ยินได้ฟัง เอามาพูดสอนเหล่าสาวกสักเท่าไรเลย .. มัวแต่นั่งหลับตาเพ่งลูกแก้วกันนั่นแหละ อุบาสกแก้ว อุบาสิกาแก้ว ทั้งหลาย .. 555

กิจที่เกี่ยวข้องวุ่นวายกับทางโลกเยี่ยงนี้ .. อาจนับเป็น"อาทิพรหมจรรย์" ของศิษย์ตถาคตได้เยี่ยงไร กัน ?
)
.
.
.
บาลี จูฬมาลุงกโยวาทสูตร ม.ม. ๑๓/๑๔๗/๑๔๙.
ตรัสแก่พระภิกษุมาลุงกยะ ที่เชตวัน.


Create Date : 16 กันยายน 2555
Last Update : 16 กันยายน 2555 16:10:08 น. 0 comments
Counter : 1292 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

สดายุ...
Location :
France

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 151 คน [?]









O ใช่แน่หรือ ? .. O






O หรือธรรมชาติผ่านเวียน .. คอยเปลี่ยนโลก ?
ทั้งสุขโศกเร่งรุดยากหยุดไหว
หรือกำหนดยุดยื้อจากมือใด
จัดการให้แปลกแยกได้แทรกตัว
O หรือพบกันครั้งแรก, ความแตกต่าง
ถูกบ่มสร้างเหมาะควรอย่างถ้วนทั่ว
แต่ตา-รูป .. สบกัน, ที่สั่นรัว-
แรกที่หัวใจคน .. เริ่มอลเวง
O ละห้อยเห็นในยามห่างนามรูป
แต่ละวูบเนรมิตคอยพิศเพ่ง
งามทุกงามจารจรดเยี่ยงบทเพลง
พร้องบรรเลงด้วยมือช่วยยื้อยุด
O ย่อมเป็นมือสร้างเหตุแทรกเจตนา
ผ่านรูปหน้าอำนวยเข้าฉวยฉุด
ร้างไร้ความกริ่งเกรง, หากเร่งรุด
แทรกลงสุดหัวใจเพื่อไขว่คว้า
O แน่นอนว่ายากเว้น .. อยากเห็นรูป
และชั่ววูบวาบเดียวที่เหลียวหา
หวังทุกหอมรินไหลผ่านไปมา
ทั้งหางตาที่ชม้อยเหลือบคอยปราย
O โลกย่อมงามพร่างแพร้วเมื่อแผ้วผ่าน
ด้วยอ่อนหวานอ่อนโยนที่โชนฉาย
แม้นมิอาจโยกคลอนให้ผ่อนคลาย
ก็อย่าหมายโยกคลอนให้ผ่อนลง
O จะกี่ครั้งกี่ครา, ความอาวรณ์
เวียนรอบตอนจับจูงจนสูงส่ง
ด้วยรูปนามเทียบถวัลย์อย่างบรรจง
แตะแต้มลงผ่านจริตจนติดตรึง
O ความรู้สึกในอกย่อมยกตัว
หวานถ้วนทั่ว, รสประทิ่น, ถวิลถึง
เหมือนรุมล้อมหยอดย้ำลงคำนึง
ให้เสพซึ้งรสงามของ .. ความรัก
O วัฏฏจักรแห่งธรรม .. ย่อมย่ำผ่าน
เข้าขัด-คาน จับจูงความสูงศักดิ์
ของอาวรณ์หลบเร้น เพื่อเว้นวรรค
ที่เข้าทักทายทั่วทั้งหัวใจ
O หรือแท้จริงตัวตนถูกค้นพบ
การบรรจบ .. รูป-จริต แล้วพิสมัย
ปรารมภ์ของฝั่งฝ่าย .. นั้น-ฝ่ายใด
เพิ่งยอมให้เรื่องเฉลย .. ยอมเผยความ ?



Friends' blogs
[Add สดายุ...'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.