พุทธประวัติจากพระโอษฐ์ .. ทรงแก้ข้อที่ถูกเขาหาว่า ทรงหลง
.
"พระโคดมผู้เจริญ ! พระโคดมยังจำการนอนหลับกลางวันได้อยู่หรือ ? " .. สัจจกะทูลถาม.
อัคคิเวสนะ ! เรายังจำได้อยู่, ในเดือนสุดท้ายของฤดูร้อน กลับจากบิณฑบาตในเวลาหลังอาหารแล้ว ให้ปูสังฆาฏิเป็นสี่ชั้น เรามีสติสัมปชัญญะหยั่งลงสู่ความหลับ โดยตะแคงข้างขวา.
"พระโคดมผู้เจริญ ! ข้อนี้แหละ สมณะและพราหมณ์ทั้งหลายบางพวกเขากล่าวว่า พระสมณโคดมหลับ เพราะการเป็นอยู่ด้วยความหลง".
(หมายเหตุ จขบ.
อ่านข้อความนี้แล้วน่าสนใจมาก .. จะเห็นได้ถึงทัศนคติของคนในยุคพุทธกาลที่ว่า .. แม้การนอนกลางวันยังเป็นเรื่องที่ผิดแบบแผนธรรมเนียม .. ยิ่งโดยเฉพาะนักบวขแล้วด้วย .. ถึงขนาดมองเป็น"ความหลง" - ซึ่งคงหมายถึงว่า .. กลางวันมีไว้ให้ใช้ชีวิต ส่วนการพักผ่อนหลับนอน ทำได้แต่ในยามวิกาลเท่านั้น ..
นี่คือ .. ความยึดติดในรูปแบบ กรอบเกณฑ์ ที่ทำตามๆกันมาโดยไม่มีข้อโต้แย้ง .. เมื่อมีการกระทำของใครสักคนที่ผิดแผกออกไปจึงกลายเป็น .. ความขัดแย้ง ต่อต้าน วิพากย์วิจารณ์ กันไปใหญ่โต ทั้งๆที่เป็นเรื่องเล็กนิดเดียวเมื่อมองด้วยสายตาของคนในยุคปัจจุบัน
คงไม่ต่างอะไรกับ"ความจงรักภักดี" ที่ยกย่องเชิดชู ถ่มถุยกัน ในยุคปัจจุบัน ที่ต่างก็วางกรอบให้ตนเองแล้วยังไม่พอ .. ยังพยายามก้าวข้ามไปเที่ยว"วางกรอบ"ให้คนอื่นเขาทำตามตัวเองกันอีก ทั้งๆที่ไม่มีสิทธิ์อะไร .. และไม่อาจพูดได้ว่า เป็นความถูกต้องดีงามอะไร แม้แต่น้อย
ความนิยมชมชอบในสิ่งใดสิ่งหนึ่ง .. หรือความไม่ชอบใจในสิ่งใดสิ่งหนึ่งของคนเรา .. มันย่อมมิใช่ ความดีหรือความเลว .. เป็นเพียงสิ่งที่ต้องกับจิตวิญญาณหนึ่งๆหรือไม่เท่านั้น .. มันไม่มีคำตัดสินใดๆในประเด็นของ ความชอบ หรือ ความไม่ชอบ .. มันเป็นเพียงปัจเจกภาวะ .. เป็นเพียงอัตวิสัย ต่อโลกแวดล้อม .. เท่านั้นเอง . )
อัคคิเวสนะ ! คนเราจะชื่อว่าเป็นคนหลงหรือไม่หลง เพราะเหตุเพียงเท่านี้ ก็หาไม่. แต่ว่า จะเป็นคนหลงหรือไม่หลงโดยเหตุใดนั้น ท่านจงกำหนดในใจให้ดี เราจะกล่าวให้ฟัง :
อัคคิเวสนะ ! - อาสวะเหล่าใดที่ทำผู้นั้นให้เศร้าหมองพร้อม .. - - - เป็นไปเพื่อความเกิดอีก - - - ประกอบด้วยความทุรนทราย - - - มีทุกข์เป็นผล - - - ทำให้มีชาติชรามรณะอีกสืบไป, เมื่อผู้ใดละมันไม่ได้ เรากล่าวว่าผู้นั้นเป็นคนหลง,
เมื่อผู้ใดละได้ขาด เรากล่าวว่าผู้นั้นเป็นคนไม่หลง เพราะว่าจะเป็นผู้ไม่หลงได้ ก็เพราะการละอาสวะได้ขาด.
อัคคิเวสนะ ! อาสวะทั้งหลายเหล่านั้น เป็นสิ่งที่ตถาคตละได้ขาดแล้ว ถอนขึ้นได้กระทั่งราก ทำให้เป็นเหมือนตาลไม่มีวัตถุ (คือหน่อสำหรับงอก) ไม่ให้มีไม่ให้เกิดได้อีกต่อไปดุจว่าต้นตาลถูกตัดที่คอแห่งต้นแล้วไม่อาจงอกได้สืบไป ฉันใดก็ฉันนั้น. . . . บาลี มหาสัจจกสูตร มู.ม. ๑๒/๔๖๑/๔๓๐. ตรัสแก่นิครนถ์ ชื่อสัจจกะ อัคคิเวสนะ ที่ป่ามหาวันใกล้เมืองเวสาลี
Create Date : 17 พฤศจิกายน 2555 |
|
0 comments |
Last Update : 17 พฤศจิกายน 2555 8:02:53 น. |
Counter : 1050 Pageviews. |
|
|
|